โลกเปลี่ยน…แต่เมืองไม่เปลี่ยน ระบบระบายน้ำพังทลาย ท่วมซ้ำทุกปีไม่มีจบ

Share on Line Share on Facebook Share on X
โลกเปลี่ยน…แต่เมืองไม่เปลี่ยน ระบบระบายน้ำพังทลาย  ท่วมซ้ำทุกปีไม่มีจบ

“ประเทศไทย” และ “มาเลเซีย” กำลังเผชิญน้ำท่วมรุนแรงอีกครั้งจนทำให้หลายหมื่นคนต้องอพยพ หลายพื้นที่ถูกตัดขาด และยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทบชีวิตประชาชนนับล้าน เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะฝนมรสุมที่ตกหนักเท่านั้น แต่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่สั่งสมมายาวนาน ทั้งการขยายตัวของเมืองที่รวดเร็ว การรุกพื้นที่ลุ่มน้ำ การตัดป่า และการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ทำให้รูปแบบการไหลของน้ำเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง 

แม้ปริมาณฝนในปีนี้จะไม่ต่างจากหลายปีก่อน แต่ภูมิประเทศในหลายเมืองกลับไม่สามารถดูดซับน้ำได้เหมือนเดิม พื้นที่ที่เคยเป็นทุ่งนา ป่า หรือพื้นที่ชุ่มน้ำถูกแทนที่ด้วยคอนกรีต ถนน และอาคาร ทำให้น้ำซึมลงดินได้น้อยลงและไหลบ่าลงสู่แอ่งเมืองอย่างรวดเร็ว เมื่อฝนตกพร้อมกันมาก ระบบระบายน้ำที่รองรับไม่ไหวก็อุดตัน แม่น้ำล้นตลิ่ง และน้ำเลือกเส้นทางใหม่คือการไหลเข้าบ้านเรือนชุมชนแทน ขณะเดียวกันสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงทำให้อากาศอุ่นขึ้นและก่อให้เกิดฝนหนักแบบฉับพลันมากขึ้น น้ำทะเลที่สูงขึ้นก็ยิ่งชะลอการระบายของพื้นที่ชายฝั่ง จึงไม่น่าแปลกใจที่แม้เพียงมรสุมปกติ น้ำกลับท่วมหนักกว่าที่เคย

สรุปข่าว

“ไทย” และ “มาเลเซีย” เผชิญน้ำท่วมรุนแรงซ้ำซาก เนื่องจากการขยายตัวของเมืองและการใช้ที่ดินที่เปลี่ยนไป ทำให้พื้นที่ดูดซับน้ำลดลงและน้ำไหลท่วมเร็วขึ้น ขณะเดียวกันสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้นจาก Climate Change ก็ยิ่งทำให้น้ำท่วมเกิดบ่อยและหนักกว่าเดิม สิ่งที่ต้องทำคือการออกแบบเมืองใหม่ให้มีพื้นที่รับน้ำ การปรับปรุงระบบระบายน้ำให้ทันสมัย การไม่รุกล้ำพื้นที่ลุ่มน้ำ และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ทนทานต่อสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้น

“ประเทศไทย” และ “มาเลเซีย” กำลังเผชิญน้ำท่วมรุนแรงอีกครั้งจนทำให้หลายหมื่นคนต้องอพยพ หลายพื้นที่ถูกตัดขาด และยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทบชีวิตประชาชนนับล้าน เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะฝนมรสุมที่ตกหนักเท่านั้น แต่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่สั่งสมมายาวนาน ทั้งการขยายตัวของเมืองที่รวดเร็ว การรุกพื้นที่ลุ่มน้ำ การตัดป่า และการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ทำให้รูปแบบการไหลของน้ำเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง 

แม้ปริมาณฝนในปีนี้จะไม่ต่างจากหลายปีก่อน แต่ภูมิประเทศในหลายเมืองกลับไม่สามารถดูดซับน้ำได้เหมือนเดิม พื้นที่ที่เคยเป็นทุ่งนา ป่า หรือพื้นที่ชุ่มน้ำถูกแทนที่ด้วยคอนกรีต ถนน และอาคาร ทำให้น้ำซึมลงดินได้น้อยลงและไหลบ่าลงสู่แอ่งเมืองอย่างรวดเร็ว เมื่อฝนตกพร้อมกันมาก ระบบระบายน้ำที่รองรับไม่ไหวก็อุดตัน แม่น้ำล้นตลิ่ง และน้ำเลือกเส้นทางใหม่คือการไหลเข้าบ้านเรือนชุมชนแทน ขณะเดียวกันสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงทำให้อากาศอุ่นขึ้นและก่อให้เกิดฝนหนักแบบฉับพลันมากขึ้น น้ำทะเลที่สูงขึ้นก็ยิ่งชะลอการระบายของพื้นที่ชายฝั่ง จึงไม่น่าแปลกใจที่แม้เพียงมรสุมปกติ น้ำกลับท่วมหนักกว่าที่เคย

สถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในสองประเทศเพื่อนบ้านเท่านั้น อินเดียก็เผชิญเหตุการณ์คล้ายกัน ทั้งน้ำท่วมใหญ่ในเกรละ ภัยพิบัติในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และฝนหนักผิดปกติในหลายรัฐ ซึ่งต่างได้รับผลกระทบจากการเติบโตของเมืองแบบไร้การวางแผน การสูญเสียพื้นที่ดูดซับน้ำ และโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่สอดรับกับสภาพอากาศใหม่ จึงเห็นภาพร่วมกันว่าปัญหาน้ำท่วมสมัยนี้ไม่ใช่แค่ฝนมาก แต่เป็นการที่ดิน พื้นที่รับน้ำ และระบบเมืองไม่เหมือนในอดีตอีกต่อไป

เมื่อพิจารณาเช่นนี้ น้ำท่วมที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในมาเลเซียและไทยจึงเป็นสัญญาณเตือนว่าการรับมือเพียงการพยากรณ์ฝนไม่เพียงพออีกต่อไป สิ่งที่ต้องทำคือการออกแบบเมืองใหม่ให้มีพื้นที่รับน้ำ การปรับปรุงระบบระบายน้ำให้ทันสมัย การไม่รุกล้ำพื้นที่ลุ่มน้ำ และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ทนทานต่อสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้น 

หากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถวางแผนอย่างเป็นระบบและเคารพลักษณะทางธรรมชาติของพื้นที่ ก็จะลดความเสียหายจากน้ำท่วมได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และไม่ต้องเผชิญเหตุการณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่สร้างความสูญเสียเกินกว่าจะประเมินค่าได้

ที่มาข้อมูล : indiatoday.in

ที่มารูปภาพ : Reuters

แท็กบทความ