วิกฤต “ไมโครพลาสติก” โลกร้อนทำพิษ อันตรายกระจายทั่วโลก

Share on Line Share on Facebook Share on X
วิกฤต “ไมโครพลาสติก”  โลกร้อนทำพิษ อันตรายกระจายทั่วโลก

งานวิจัยล่าสุดชี้ว่า ภาวะโลกร้อนและเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วกำลังทำให้ปัญหาไมโครพลาสติกรุนแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ไม่เพียงแพร่กระจายไกลกว่าเดิม แต่ยังสลายตัวเร็ว กลายเป็นอนุภาคขนาดเล็กลง และเป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพมากยิ่งขึ้น


งานศึกษานี้เผยแพร่ในวารสาร Frontiers in Science โดยทีมนักวิทยาศาสตร์ที่วิเคราะห์งานวิจัยหลายร้อยชิ้น พบ “หลักฐานชัดเจน” ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังเร่งให้ปัญหาพลาสติกปะปนอยู่ในน้ำ ดิน อากาศ และสัตว์ป่าเลวร้ายขึ้น โดย ศ.แฟรงก์ เคลลี แห่งมหาวิทยาลัยอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน ระบุว่า “ปัญหาพลาสติกและสภาพภูมิอากาศเป็นวิกฤตคู่ขนานที่ยิ่งเสริมความรุนแรงให้กันและกัน”


งานวิจัยระบุว่า อุณหภูมิที่สูงขึ้น ความชื้น และแสงแดด ล้วนทำให้พลาสติกกรอบ แตกตัว และสลายเป็นชิ้นเล็กลงได้เร็วขึ้น ตัวอย่างเช่น คลื่นความร้อนที่อุณหภูมิสูงขึ้น 10 องศาเซลเซียส อาจเร่งอัตราการเสื่อมสภาพของพลาสติกได้ถึง “ 2 เท่า”

สรุปข่าว

ภาวะโลกร้อนและสภาพอากาศสุดขั้วไม่ได้เพียงทำให้ภัยธรรมชาติรุนแรงขึ้น แต่ยังเร่งให้ “วิกฤตขยะพลาสติก” เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม ทั้งแตกตัวเร็วกว่าเดิม แพร่กระจายกว้างขึ้น และเพิ่มความเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมและสัตว์ทะเล งานวิจัยชิ้นใหม่ชี้ชัดว่า “ไมโครพลาสติก” กำลังกลายเป็นมลพิษที่เคลื่อนที่ได้ง่ายและอันตรายมากขึ้น พร้อมเตือนว่าหากไม่ลดการผลิตพลาสติก โลกอาจเผชิญผลกระทบใหญ่ระดับระบบนิเวศในอนาคต

งานวิจัยล่าสุดชี้ว่า ภาวะโลกร้อนและเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วกำลังทำให้ปัญหาไมโครพลาสติกรุนแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ไม่เพียงแพร่กระจายไกลกว่าเดิม แต่ยังสลายตัวเร็ว กลายเป็นอนุภาคขนาดเล็กลง และเป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพมากยิ่งขึ้น


งานศึกษานี้เผยแพร่ในวารสาร Frontiers in Science โดยทีมนักวิทยาศาสตร์ที่วิเคราะห์งานวิจัยหลายร้อยชิ้น พบ “หลักฐานชัดเจน” ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังเร่งให้ปัญหาพลาสติกปะปนอยู่ในน้ำ ดิน อากาศ และสัตว์ป่าเลวร้ายขึ้น โดย ศ.แฟรงก์ เคลลี แห่งมหาวิทยาลัยอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน ระบุว่า “ปัญหาพลาสติกและสภาพภูมิอากาศเป็นวิกฤตคู่ขนานที่ยิ่งเสริมความรุนแรงให้กันและกัน”


งานวิจัยระบุว่า อุณหภูมิที่สูงขึ้น ความชื้น และแสงแดด ล้วนทำให้พลาสติกกรอบ แตกตัว และสลายเป็นชิ้นเล็กลงได้เร็วขึ้น ตัวอย่างเช่น คลื่นความร้อนที่อุณหภูมิสูงขึ้น 10 องศาเซลเซียส อาจเร่งอัตราการเสื่อมสภาพของพลาสติกได้ถึง “ 2 เท่า”

ขณะเดียวกัน พายุที่รุนแรง น้ำท่วม และลมแรง ก็มีบทบาทในการพาพลาสติกออกจากที่เดิม กระจายกว้างไกลขึ้น และเร่งให้เกิดการแตกสลาย เช่น งานวิจัยที่ฮ่องกงพบว่า หลังพายุไต้ฝุ่นพัดเข้าฝั่ง ปริมาณไมโครพลาสติกในตะกอนชายหาดเพิ่มขึ้นเกือบ 40 เท่า นอกจากนี้ น้ำท่วมยังทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “หินพลาสติก (plastic rock)” ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อพลาสติกหลอมรวมกับหินตามธรรมชาติ กลายเป็นแหล่งผลิตไมโครพลาสติกรูปแบบใหม่ นอกจากนี้ ไฟป่าที่เกิดจากอากาศร้อนและความแห้งแล้ง ยังเผาไหม้บ้านเรือน อาคาร และยานพาหนะ ปล่อยไมโครพลาสติกและสารพิษสู่อากาศอีกด้วย


นอกจากนี้ยังพบว่า ไมโครพลาสติกสามารถดูดซับสารกำจัดศัตรูพืช หรือสารเคมีตลอดกาล ที่ย่อยสลายยากมากได้ และอุณหภูมิที่สูงขึ้นอาจทำให้พลาสติกทำปฏิกิริยาและปล่อยสารเหล่านี้ง่ายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีบทบาทใน “การแพร่พิษผ่านห่วงโซ่อาหาร” เมื่อสัตว์น้ำตัวเล็ก เช่น หอยแมลงภู่ กรองน้ำและกักไมโครพลาสติกไว้ในร่างกาย ก่อนส่งต่อไปยังผู้ล่า เช่น ปลาใหญ่ และสัตว์ทะเลระดับสูงอย่างวาฬเพชฌฆาต (ออร์กา) ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เตือนว่าอาจเป็น “สัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า” ของระบบนิเวศทะเล


งานวิจัยในปะการัง หอยทะเล เม่นทะเล หอยแมลงภู่ และปลา พบว่าการมีไมโครพลาสติกในร่างกายทำให้สัตว์เหล่านี้ “รับมือกับอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้น” และ “ภาวะกรดในมหาสมุทร” ได้แย่ลง ซึ่งทั้งสองอย่างเป็นผลโดยตรงจากภาวะโลกร้อน

รายงานระบุว่า แนวทางแก้วิกฤตรวมถึงการลดการใช้พลาสติก การออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ การรีไซเคิล และการยกเลิกพลาสติกใช้ครั้งเดียวโดยไม่จำเป็นถือเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่ “ความหวังสูงสุด” คือสนธิสัญญาพลาสติกโลกฉบับผูกพันทางกฎหมายนั้น จนถึงขณะนี้ยังตกลงกันไม่ได้ เพราะหลายประเทศยังเห็นต่าง โดยเฉพาะประเด็นการจำกัดการผลิตพลาสติก ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมองว่าเป็นหัวใจสำคัญในการแก้ปัญหา


การเร่งหาทางออกเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะปริมาณการผลิตพลาสติกโลกเพิ่มขึ้น 200 เท่า ระหว่างปี 1950–2023 และยังคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต เมื่อโลกหันไปใช้พลังงานสะอาดมากขึ้นและบริษัทน้ำมันหันไปลงทุนในภาคพลาสติกแทนเชื้อเพลิงฟอสซิล ด้านศ.ทามารา แกลโลเวย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพิษวิทยาสิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยเอกซีเตอร์ ซึ่งไม่ได้ร่วมวิจัยครั้งนี้ กล่าวว่าการศึกษาใหม่นี้ช่วยเปิดมุมมองสำคัญว่า หากมนุษย์ยังทำให้โลกร้อนขึ้นต่อไป ทั้งสองวิกฤตจะยิ่งซ้อนทับกันมากขึ้น เธอย้ำว่า “รากของปัญหา ทั้งโลกร้อนและพลาสติก คือการบริโภคเกินจำเป็นของมนุษย์”

ที่มาข้อมูล : Reuters

ที่มารูปภาพ : Reuters