กทม.เจอวิกฤต “ฝุ่นพุ่ง” ชวน “Work from Home” 4 ธ.ค.นี้

Share on Line Share on Facebook Share on X
กทม.เจอวิกฤต “ฝุ่นพุ่ง” ชวน “Work from Home” 4 ธ.ค.นี้

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ หลังค่าความเข้มข้นเมื่อวานนี้อยู่ในระดับสีส้ม โดยระบุว่าช่วงเวลานี้ กทม. กำลังเปลี่ยนผ่านจากฤดูฝนเข้าสู่ “ฤดูฝุ่น” ซึ่งมักเกิดขึ้นระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ ส่งผลให้หลายพื้นที่ในภาคกลาง ทั้งนครปฐม สมุทรปราการ สมุทรสงคราม ฉะเชิงเทรา และปทุมธานี เผชิญค่าฝุ่น PM2.5 ในระดับสีส้มเช่นกัน


สำหรับการวัดค่าฝุ่นของกรุงเทพมหานครใช้อัตรา PM2.5 แบบไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร แบ่งเป็น 5 ระดับสี ได้แก่ สีฟ้า 0–15 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร สีเขียว 15.1–25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร สีเหลือง 25.1–37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร สีส้ม 37.6–75 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และสีแดงตั้งแต่ 75.1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรขึ้นไป ซึ่งระดับสีส้มถือว่าเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ ประชาชนควรสวมหน้ากากป้องกัน PM2.5 ลดการทำกิจกรรมกลางแจ้ง และสังเกตอาการผิดปกติ เช่น ไอ หายใจลำบาก หรือแสบตา โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมนอกอาคาร และพบแพทย์ทันทีหากมีอาการผิดปกติ

สรุปข่าว

ค่าฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ พุ่งแตะสีส้มต่อเนื่อง ขณะที่การระบายอากาศช่วงต้นธันวาคมจะอยู่ในระดับเลวร้ายที่สุดของเดือน ทำให้ กทม. เตรียมประกาศมาตรการขอความร่วมมือ “Work from Home” ในวันที่ 4 ธันวาคม เพื่อลดปริมาณรถบนถนนและชะลอการสะสมของฝุ่นในช่วง 5–7 ธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงวิกฤตฝุ่นหนัก

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ หลังค่าความเข้มข้นเมื่อวานนี้อยู่ในระดับสีส้ม โดยระบุว่าช่วงเวลานี้ กทม. กำลังเปลี่ยนผ่านจากฤดูฝนเข้าสู่ “ฤดูฝุ่น” ซึ่งมักเกิดขึ้นระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ ส่งผลให้หลายพื้นที่ในภาคกลาง ทั้งนครปฐม สมุทรปราการ สมุทรสงคราม ฉะเชิงเทรา และปทุมธานี เผชิญค่าฝุ่น PM2.5 ในระดับสีส้มเช่นกัน


สำหรับการวัดค่าฝุ่นของกรุงเทพมหานครใช้อัตรา PM2.5 แบบไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร แบ่งเป็น 5 ระดับสี ได้แก่ สีฟ้า 0–15 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร สีเขียว 15.1–25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร สีเหลือง 25.1–37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร สีส้ม 37.6–75 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และสีแดงตั้งแต่ 75.1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรขึ้นไป ซึ่งระดับสีส้มถือว่าเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ ประชาชนควรสวมหน้ากากป้องกัน PM2.5 ลดการทำกิจกรรมกลางแจ้ง และสังเกตอาการผิดปกติ เช่น ไอ หายใจลำบาก หรือแสบตา โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมนอกอาคาร และพบแพทย์ทันทีหากมีอาการผิดปกติ

ผู้ว่าฯ ชัชชาติอธิบายว่าค่าสีส้มในช่วงนี้เกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก โดยปัจจัยแรกคือสภาพอากาศปิด มีมวลอากาศเย็นกดทับคล้ายฝาชีครอบกรุงเทพฯ ทำให้ฝุ่นลอยตัวได้ยากและสะสมในระดับพื้นดินเพิ่มขึ้น หากสภาพอากาศเปิด แม้ปริมาณฝุ่นจะเท่าเดิม แต่ความหนาแน่นจะลดลงได้ตามธรรมชาติ ปัจจัยที่สองคือการเผาไหม้จากเครื่องยนต์ ซึ่งปริมาณรถยนต์จำนวนมากในกรุงเทพฯ เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษสำคัญ และปัจจัยสุดท้ายคือการเผาชีวมวล โดยเฉพาะจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งล่าสุดตรวจพบจุดความร้อนสูงถึงประมาณ 790 จุด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในเดือนถัดไป


ด้านการพยากรณ์คุณภาพอากาศ 10 วันข้างหน้า กรมอุตุนิยมวิทยาประเมินจาก “อัตราการถ่ายเทอากาศ” ซึ่งยิ่งมีค่าสูงแสดงว่าการระบายอากาศดีขึ้น โดยพบว่าสภาพอากาศในกรุงเทพฯ วันนี้เริ่มดีขึ้นและมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง ก่อนจะกลับมาแย่อีกช่วงวันที่ 5–7 ธันวาคม 2568 ซึ่งถือเป็นช่วงที่อัตราการถ่ายเทอากาศต่ำที่สุด ประมาณ 600 ตารางเมตรต่อวินาที และจะเริ่มดีขึ้นอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคมเป็นต้นไป

ในช่วงวันที่ 5–7 ธันวาคม ซึ่งคาดว่าจะเป็น “3 วันที่ฝุ่นอากาศถ่ายเทได้น้อยที่สุด” กทม. เตรียมใช้มาตรการ “ฝ่าฝุ่น 3 วัน” เพื่อบรรเทาปัญหา โดยจะขอความร่วมมือหน่วยงานให้พนักงาน “Work from Home” ในวันที่ 4 ธันวาคม ส่วนโรงเรียนยังคงเปิดเรียนตามปกติ เนื่องจากเชื่อว่าการดูแลในโรงเรียนปลอดภัยกว่า หากปิดเรียนเด็กอาจต้องออกไปอยู่ในพื้นที่กลางแจ้งมากขึ้น เกณฑ์ประกาศ Work from Home อยู่ที่ค่าฝุ่นระดับสีส้มครบทั้ง 50 เขตต่อเนื่อง 2 วัน และมีจำนวนจุดความร้อนเพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้ตัวชี้วัดดังกล่าวอยู่ในระดับที่เข้าเกณฑ์แล้ว ปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมมาตรการแล้วกว่า 170,000 คน ตั้งเป้า 300,000 คน จากหน่วยงานที่เข้าร่วม 346 แห่ง โดยจะประกาศขอความร่วมมืออย่างเป็นทางการในวันที่ 4 ธันวาคม เพื่อลดปริมาณรถยนต์ ลดการปล่อยไอเสีย และชะลอการสะสมของฝุ่นในช่วงปลายสัปดาห์ที่สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย


นอกจากนี้ กรุงเทพมหานครยังเดินหน้ามาตรการระยะยาวกว่า 10 แนวทางเพื่อคุมเข้ม ลด และขจัดปัญหาฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่เมืองหลวง อาทิ การขยายเขตมลพิษต่ำให้ครอบคลุม 50 เขต การเชิญชวนผู้ประกอบการรถบรรทุก 6 ล้อขึ้นไปนำรถเข้าบำรุงรักษา ซึ่งขณะนี้มีรถเข้าสู่ระบบ “บัญชีสีเขียว” แล้วกว่า 13,000 คัน รวมถึงโครงการ Green List Plus ที่ส่งเสริมให้ผู้ใช้รถยนต์ 4 ล้อขึ้นไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรอง ตั้งเป้าครอบคลุม 500,000 คัน การลดค่าควันดำสูงสุดเหลือร้อยละ 20 การตรวจเข้มรถบรรทุกและเครื่องจักรในไซต์ก่อสร้าง การควบคุมมลพิษจากโรงงานและกิจการที่มีหม้อไอน้ำทุกราย การประสานจังหวัดรอบกรุงเทพฯ เพื่อลดการเผาในที่โล่ง และการจัดตั้งห้องปลอดฝุ่นให้ครอบคลุมโรงเรียนและศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัด กทม.


กรุงเทพมหานครยังตั้งเป้าขยายมาตรการ Work from Home ให้ถึง 300,000 คน พร้อมเดินหน้ารณรงค์ให้ประชาชนร่วมดูแลรถยนต์ของตนเอง ลดใช้รถดีเซลเก่า หันมาใช้ขนส่งสาธารณะ และงดการเผาในที่โล่ง ขณะเดียวกันยังมุ่งเพิ่มพื้นที่สีเขียวทั่วเมือง ตั้งเป้าปลูกต้นไม้ 3 ล้านต้น และพัฒนา “สวน 15 นาที” ให้ครบ 500 แห่ง เพื่อช่วยฟื้นฟูคุณภาพอากาศและสร้างพื้นที่พักผ่อนให้ประชาชนในระยะยาว.

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : ENVATO

แท็กบทความ