
รายงานล่าสุดจาก Global Coral Reef Monitoring Network ระบุว่า แนวปะการังในแถบทะเลแคริบเบียนกำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ หลังพบว่า “ปะการังชนิดแข็ง” หรือ Hard Coral ในภูมิภาคลดลงไปกว่า 48% นับตั้งแต่ปี 1980 ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศใต้ทะเลที่เคยอุดมสมบูรณ์ และสัตว์ทะเลนับร้อยสายพันธุ์ ซึ่งสาเหตุหลักมาจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ก่อให้เกิดคลื่นความร้อนในทะเลรุนแรงและเกิดขึ้นต่อเนื่อง
ข้อมูลในรายงานระบุว่า ช่วงปี 2023-2024 แนวปะการังในแคริบเบียนเผชิญกับความเครียดจากความร้อนรุนแรง จนจำนวนปะการังลดลงถึง 16.9% ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 1 ปี นับเป็นอัตราความเร็วที่อันตราย ความร้อนจากน้ำทะเลส่งผลกระทบต่อสาหร่ายทะเลซูแซนเทลลีซึ่งเป็นอาหารหลักของปะการังอยู่ไม่ได้ เมื่อสาหร่ายเหล่านี้ตายลงและทำให้เกิดปรากฏการณ์ “ปะการังฟอกขาว” ขึ้น ภาวะโลกร้อนทำให้สถานการณ์ในปัจจุบันรุนแรงมากขึ้นกว่าในทศวรรษที่ผ่านมา
สรุปข่าว
รายงานล่าสุดจาก Global Coral Reef Monitoring Network ระบุว่า แนวปะการังในแถบทะเลแคริบเบียนกำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ หลังพบว่า “ปะการังชนิดแข็ง” หรือ Hard Coral ในภูมิภาคลดลงไปกว่า 48% นับตั้งแต่ปี 1980 ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศใต้ทะเลที่เคยอุดมสมบูรณ์ และสัตว์ทะเลนับร้อยสายพันธุ์ ซึ่งสาเหตุหลักมาจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ก่อให้เกิดคลื่นความร้อนในทะเลรุนแรงและเกิดขึ้นต่อเนื่อง
ข้อมูลในรายงานระบุว่า ช่วงปี 2023-2024 แนวปะการังในแคริบเบียนเผชิญกับความเครียดจากความร้อนรุนแรง จนจำนวนปะการังลดลงถึง 16.9% ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 1 ปี นับเป็นอัตราความเร็วที่อันตราย ความร้อนจากน้ำทะเลส่งผลกระทบต่อสาหร่ายทะเลซูแซนเทลลีซึ่งเป็นอาหารหลักของปะการังอยู่ไม่ได้ เมื่อสาหร่ายเหล่านี้ตายลงและทำให้เกิดปรากฏการณ์ “ปะการังฟอกขาว” ขึ้น ภาวะโลกร้อนทำให้สถานการณ์ในปัจจุบันรุนแรงมากขึ้นกว่าในทศวรรษที่ผ่านมา
การสูญเสียแนวปะการังไม่ได้มีสาเหตุจากคลื่นความร้อนใต้ทะเลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ท่ามกลางวิกฤตสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อนยังเพิ่มโอกาสเกิดพายุที่รุนแรงขึ้น เร่งการสูญเสียปะการังเร็วขึ้น หลายพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากพายุเคลื่อนผ่านได้ทำลายโครงสร้างของปะการังแตกหักเสียหายเหลือเพียงเศษซากที่กระจายบนพื้นทะเล นั่นหมายถึงที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลจำนวนมาก ทั้งกุ้งมังกร เต่าทะเล ปลาต่างๆ ถูกทำลายลงเช่นกัน โดยแนวปะการังเพียงแค่ 1% ของพื้นมหาสมุทร เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลไม่ต่ำกว่า 25% ของสายพันธุ์ทั้งหมด จำนวนปะการังที่ลดลงจึงหมายความความมั่นคงทางอาหารและความหลากหลายทางชีวภาพใต้ทะเลอีกด้วย
ที่ผ่านมาแนวปะการังในแถบทะเลแคริบเบียนเป็นแหล่งสร้างรายได้ทั้งด้านการประมงและการท่องเที่ยวมากกว่า 10% ของ GDP ของภูมิภาค การหายไปของแนวปะการังก็อาจกระทบต่อเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของผู้คนอีกมากมาย
แม้ว่าปะการังยังมีโอกาสฟื้นฟูได้ตามธรรมชาติแต่ก็ต้องใช้ระยะเวลานาน และหากถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง การฟื้นฟูย่อมเป็นไปได้ยากเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม มนุษย์ยังคงเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูหากมีแนวทางการจัดการที่ถูกต้อง เมื่ออุณหภูมิน้ำทะเลลดลง ก็จะสามารถลดความเครียดของปะการังลงได้ นอกจากนี้การจัดการภัยคุกคาม ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงคุณภาพน้ำ การจัดการระบบบำบัดน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพ การจำกัดการท่องเที่ยว ประกาศพื้นที่ควบคุมและคุ้มครองทางทะเล ก็จะเป็นอีกหนทางหนึ่งในการฟื้นฟูแนวปะการังในระยะยาวได้อย่างยั่งยืน
- แนวคิด “เมืองฟองน้ำ” รับมือวิกฤตน้ำท่วม ตัวอย่างที่หลายประเทศพิสูจน์แล้ว
- โลกร้อนต่อไม่หยุด ปี 2025 จ่อร้อนทุบสถิติอีก ทั่วโลกเสี่ยงเจอภัยธรรมชาติหนักกว่าเดิม
- โลกร้อนกระทบคนทำงาน เครียดมากขึ้น-ต้องการลาออก
- อสังหาฯ ทั่วโลกสั่นสะเทือน ราคาบ้านร่วง เพราะภัยโลกร้อนไล่บี้
- WMO ชี้ “ลานีญากำลังอ่อน” ยังอยู่ช่วงธ.ค.68-ก.พ.69 แต่ไม่ได้ช่วยให้โลกเย็นลง
ที่มาข้อมูล : The Guardian
ที่มารูปภาพ : Reuters
