รู้ได้อย่างไรว่าอ้วนแล้ว จนเสี่ยงเกิดโรคเรื้อรัง

รู้ได้อย่างไรว่าอ้วนแล้ว จนเสี่ยงเกิดโรคเรื้อรัง

โรคอ้วน (Obesity) คือ ภาวะที่ร่างกายมีการสะสมของไขมันมากกว่าปกติ ซึ่งการที่มีการสะสมของไขมันมากขึ้นนั้นอาจเนื่องมาจากร่างกายได้รับพลังงานเกินกว่าที่ต้องการ จึงทำให้มีการสะสมพลังงานที่เหลือเอาไว้ในรูปของไขมันตามอวัยวะต่างๆ และเป็นสาเหตุของโรคเรื้อรังต่างๆ ซึ่งเป็นโรคไม่ติดต่อ หรือกลุ่มโรค NCDs

โรคอ้วนเป็นโรคเรื้อรังชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากปริมาณไขมันในร่างกายมากกว่าปกติจนมีผลกระทบต่อสุขภาพ โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท

อ้วนทั้งตัว :  ไขมันทั้งร่างกายมีมากกว่าปกติ

อ้วนลงพุง :  มีไขมันของอวัยวะภายในช่องท้องมากกว่าปกติ

สรุปข่าว

รู้ได้อย่างไรว่าอ้วนแล้ว สำหรับโรคอ้วน เราสามารถใช้ค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index หรือ BMI) เพื่อการวินิจฉัยโรคอ้วนทั้งตัว และการวัดเส้นรอบเอวเพื่อวินิฉัยโรคอ้วนลงพุง หรือโรคอ้วนที่มีไขมันช่องท้องสะสมเยอะนั่นเอง

โรคอ้วน (Obesity) คือ ภาวะที่ร่างกายมีการสะสมของไขมันมากกว่าปกติ ซึ่งการที่มีการสะสมของไขมันมากขึ้นนั้นอาจเนื่องมาจากร่างกายได้รับพลังงานเกินกว่าที่ต้องการ จึงทำให้มีการสะสมพลังงานที่เหลือเอาไว้ในรูปของไขมันตามอวัยวะต่างๆ และเป็นสาเหตุของโรคเรื้อรังต่างๆ ซึ่งเป็นโรคไม่ติดต่อ หรือกลุ่มโรค NCDs

โรคอ้วนเป็นโรคเรื้อรังชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากปริมาณไขมันในร่างกายมากกว่าปกติจนมีผลกระทบต่อสุขภาพ โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท

อ้วนทั้งตัว :  ไขมันทั้งร่างกายมีมากกว่าปกติ

อ้วนลงพุง :  มีไขมันของอวัยวะภายในช่องท้องมากกว่าปกติ

รู้ได้อย่างไรว่าอ้วนแล้ว

สำหรับโรคอ้วน เราสามารถใช้ค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index หรือ BMI) เพื่อการวินิจฉัยโรคอ้วนทั้งตัว และการวัดเส้นรอบเอวเพื่อวินิฉัยโรคอ้วนลงพุง หรือโรคอ้วนที่มีไขมันช่องท้องสะสมเยอะนั่นเอง

1. วัดจากดัชนีมวลกาย  (Body Mass Index หรือ BMI)

ค่า BMI = น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมและหารด้วยส่วนสูงที่วัดเป็นเมตรยกกำลังสอง

โดยหลังจากคำนวณหาค่าดัชนีมวลกาย หรือ BMI แล้ว สามารถบอกกลุ่มเสี่ยงและผู้เป็นโรคอ้วนทั้งตัวได้ ดังนี้

ผู้ที่มี BMI ระหว่าง 23.0-24.9 กิโลกรัม/ตารางเมตร² คือ ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน กลุ่มนี้เป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะพัฒนาให้เกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหลอดเลือดหัวใจ จึงควรลดน้ำหนักที่เกินด้วยการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย

ผู้ที่มี BMI > 25 กิโลกรัม/ตารางเมตร² คือ ผู้ที่เป็นโรคอ้วน ร่วมกับการมีโรคเรื้อรังมากกว่า 2 โรค และมีเส้นรอบเอวมากกว่าปกติ กลุ่มนี้ควรเข้ารับการรักษาจากแพทย์ผู้ชำนาญการร่วมกับการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย

2. วัดจากรอบเอว

ในการวัดรอบเอว หรือวัดเส้นรอบพุง จะเป็นการประเมินความเสี่ยงต่อการก่อโรคและค้นหาความเสี่ยงต่อโรคอ้วนลงพุง โดยการวัดรอบเอว หรือวัดเส้นรอบพุงที่ถูกต้อง ควรทำดังนี้

ตำแหน่งที่วัดเส้นรอบเอวคือ จุดกึ่งกลางระหว่างขอบล่างของกระดูกซี่โครงและขอบบนของกระดูกเชิงกราน หรืออธิบายให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นคือตรงกับสะดือพอดี 

ควรวัดในท่ายืนตรง ขณะหายใจออก

ควรวัดในตอนเช้าก่อนรับประทานอาหาร

พันสายวัดให้แนบกับลำตัว ระวังอย่าให้สายบิด ไม่รัดแน่นเกินไปและสายวัดต้องขนานกับพื้น

ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เมื่อวัดเส้นรอบเอวแล้วไม่ควรเกิน ดังนี้

ผู้ชายควรมีเส้นรอบเอวน้อยกว่า 90 เซนติเมตร

ผู้หญิงควรมีเส้นรอบเอวน้อยกว่า 80 เซนติเมตร 

หากเส้นรอบเอวใหญ่เกินกว่าค่าดังกล่าวนี้จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ สูงขึ้น 

ที่มาข้อมูล : โรงพยาบาลวิมุต

ที่มารูปภาพ : Canva

avatar

TNNThailand