
เพจ Tensia ที่ให้ความรู้เรื่องสุขภาพ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยที่ทำให้กรดยูริกสูง ซึ่งเป็นที่มาของการเกิดโรคเกาต์ได้
ยูริกในเลือดสูงเกิดจากอะไร?
ยูริก (Uric acid/Urate) คือสารผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการสลายพิวรีน ซึ่งพิวรีนคือกรดนิวคลิอิกประเภทหนึ่ง ที่เป็นส่วนประกอบของ DNA และ RNA ซึ่งร่างกายสร้างทุกวัน และต้องขับทิ้งทุกวัน
ยูริกไม่ได้เป็นแค่ของเสียที่เตรียมทิ้งอย่างเดียว มันสามารถทำหน้าได้หลายที่ระหว่างทาง แต่เป็นสารที่ประหลาดค่ะ เพราะมันมีลักษณะเหมือนดาบสองคม
- ถ้าอยู่ในระดับปกติ: โมเลกุลยูริคใช้ต้านอนุมูลอิสระได้, และช่วยให้เยื่อบุผนังหลอดเลือดสร้างก๊าซ Nitric oxide (NO) ดีขึ้น ซึ่งเป็นก๊าซที่ช่วยดูแลหลอดเลือด
- ถ้าสูงกว่าปกติ: มันจะกระตุ้นการสร้างสารอนุมูลอิสระแทน (NADPH oxidase), และยังสามารถเข้าไปในเซลล์ รบกวนการส่งสัญญาณของฮอร์โมนต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดผลเสียมากมาย รวมทั้งการดื้ออินซูลิน
จึงเป็นที่มาว่าภาวะยูริกในเลือดสูง ส่งผลเสียต้องร่างกายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ตกผลึกจนเม็ดเลือดขาวมากินจนเกิดข้ออักเสบเกาต์, ร่างกายอยู่ในภาวะอักเสบอ่อนจนดื้ออินซูลิน/ไขมันแทรกผนังหลอดเลือด, ก๊าซ NO น้อยลงจนเพิ่มความดัน, ตกผลึกที่ไต ฯลฯ
สรุปข่าว
เพจ Tensia ที่ให้ความรู้เรื่องสุขภาพ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยที่ทำให้กรดยูริกสูง ซึ่งเป็นที่มาของการเกิดโรคเกาต์ได้
ยูริกในเลือดสูงเกิดจากอะไร?
ยูริก (Uric acid/Urate) คือสารผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการสลายพิวรีน ซึ่งพิวรีนคือกรดนิวคลิอิกประเภทหนึ่ง ที่เป็นส่วนประกอบของ DNA และ RNA ซึ่งร่างกายสร้างทุกวัน และต้องขับทิ้งทุกวัน
ยูริกไม่ได้เป็นแค่ของเสียที่เตรียมทิ้งอย่างเดียว มันสามารถทำหน้าได้หลายที่ระหว่างทาง แต่เป็นสารที่ประหลาดค่ะ เพราะมันมีลักษณะเหมือนดาบสองคม
- ถ้าอยู่ในระดับปกติ: โมเลกุลยูริคใช้ต้านอนุมูลอิสระได้, และช่วยให้เยื่อบุผนังหลอดเลือดสร้างก๊าซ Nitric oxide (NO) ดีขึ้น ซึ่งเป็นก๊าซที่ช่วยดูแลหลอดเลือด
- ถ้าสูงกว่าปกติ: มันจะกระตุ้นการสร้างสารอนุมูลอิสระแทน (NADPH oxidase), และยังสามารถเข้าไปในเซลล์ รบกวนการส่งสัญญาณของฮอร์โมนต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดผลเสียมากมาย รวมทั้งการดื้ออินซูลิน
จึงเป็นที่มาว่าภาวะยูริกในเลือดสูง ส่งผลเสียต้องร่างกายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ตกผลึกจนเม็ดเลือดขาวมากินจนเกิดข้ออักเสบเกาต์, ร่างกายอยู่ในภาวะอักเสบอ่อนจนดื้ออินซูลิน/ไขมันแทรกผนังหลอดเลือด, ก๊าซ NO น้อยลงจนเพิ่มความดัน, ตกผลึกที่ไต ฯลฯ
คำถามคือแล้วยูริกในเลือดสูงจากอะไรล่ะ?
ปัจจุบันมี 4 ปัจจัยหลักๆ ซึ่งมักจะเกิดหลายๆ ข้อ ถึงจะทำให้ยูริกในเลือดสูง
1. พันธุกรรม ทำให้ไตขับยูริกได้น้อยกว่าคนทั่วไป
- โปรตีน GLUT9 หรือ URAT1 ที่ใช้ดึงยูริกจากน้ำกรองกลับสู่เลือด ทำงานมากกว่าคนทั่วไป
- โปรตีน BCRP ที่ใช้หลั่งยูริคทิ้งทางไตและทางลำไส้ ทำงานน้อยกว่าคนทั่วไป
ซึ่งฝั่งเอเชียจะชอบเจอ BCRP(ยีน ABCG2) ตัวนี้ผิดปกติ
2. การกิน
- สุรา
- สาร ethanol เร่งการสลายพิวรีนเป็นยูริก
- เพิ่มการสร้าง Lactate ซึ่งไปลดการขับยูริกที่ไต
- เบียร์จะมีกระบวนการหมักที่ให้พิวรีนโดยตรง
- Fructose โดยเฉพาะของหวานที่มี high fructose corn syrup
- Fructose สลายไวมาก และใช้ ATP ทุกครั้ง
- สลายจนเหลือ AMP ซึ่งเป็นสารพิวรีน
- สลายสุดท้ายจนได้ยูริก
- อาหารที่มีพิวรีนสูง
3. โรคประจำตัว
- ภาวะดื้ออินซูลิน/เบาหวาน:
- กล้ามเนื้อและตับดื้ออินซูลิน ทำให้น้ำตาลสูงลอย
- ตับอ่อนหลั่งอินซูลินสู้ ทำให้สูงกว่าปกติ
- อินซูลินที่สูงกระตุ้นไตอย่างรุนแรง เพราะไตยังไม่ได้ดื้อ
- อินซูลินมีฤทธิ์ลดการขับยูริก
- โรคไตเสื่อมเรื้อรัง: สาเหตุส่วนใหญ่มาจากเบาหวานลงไต
อัตราการกรองที่ลดลง ทำให้ขับยูริกได้น้อยลง
- ภาวะเนื้องอกสลายตัว (Tumor lysis syndrome):
- เกิดจากเนื้องอก/มะเร็งตา-ยเป็นจำนวนมากแล้วปลดปล่อยยูริกออกมารุนแรง
- มักพบในมะเร็งที่มีเกิด-ดับของเซลล์มะเร็งอัตราสูงมาก เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด APL
- พบหลังรับคีโม
4. แบคทีเรียในลำไส้
แบคทีเรียกลุ่ม Lactobacillus spp. เช่น L. plantarum มีเอนไซม์ไว้ย่อยยูริกทิ้ง (Uricase) **ยังมีอีกหลายชนิด**
แบคทีเรียกลุ่มเดียวกันนี้ มักจะสร้างกรดไขมันสายสั้นด้วย มีฤทธิ์กระตุ้น ABCG2 ที่ช่วยหลั่งยูริกทิ้งทางลำไส้
ภาวะแบคทีเรียในลำไส้เปลี่ยนชนิด (Dysbiosis) จะทำให้กลุ่มนี้ลดลง ขาดตัวทำลายยูริก และเพิ่มตัวที่ทำให้ร่างกายอักเสบอ่อนๆ เพิ่มโอกาสดื้ออินซูลิน ซึ่งจะไปทำให้ยูริกสูงอีกที
ภาวะนี้เกิดจากหลายอย่างมาก เรื่องการกิน, ความอ้วน, ความเครียด, ฯลฯ สารพัดสิ่งที่ทำร้ายสุขภาพแหละค่ะ
และเนื่องจากมันมี 4 เหตุปัจจัยนี่แหละ มันเลยทำให้บางคนกินอาหารที่ทำให้ยูริกสูงแล้ว ตอบสนองไม่เหมือนกันเลย
การป้องกัน คือ ควบคุมการกิน ถ้าอ้วนควรลดความอ้วน ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เลี่ยงสุรา (ยิ่งถ้าสูงแล้ว งดไปเลยยิ่งดี) นอนเพียงพอ รักษาสุขภาพจิต
ที่มาข้อมูล : Facebook: Tensia
ที่มารูปภาพ : canva