
เมื่อพูดถึงคำว่า “นมแมลงสาบ” หลายคนอาจรู้สึกขนลุกทันที แต่ในแวดวงวิทยาศาสตร์กลับมองสิ่งนี้ว่าอาจเป็นหนึ่งในอาหารอนาคตที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงอย่างคาดไม่ถึง โดยนมชนิดนี้ไม่ได้มาจากแมลงสาบทั่วไป แต่ผลิตจาก แมลงสาบด้วงแปซิฟิก หรือ แมลงสาบเต่าทองแปซิฟิก( Pacific beetle cockroach (Diploptera punctata) ) ซึ่งเป็นแมลงสาบที่ออกลูกเป็นตัว ไม่ใช่วางไข่เหมือนสายพันธุ์อื่น ๆ
สรุปข่าว
เมื่อพูดถึงคำว่า “นมแมลงสาบ” หลายคนอาจรู้สึกขนลุกทันที แต่ในแวดวงวิทยาศาสตร์กลับมองสิ่งนี้ว่าอาจเป็นหนึ่งในอาหารอนาคตที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงอย่างคาดไม่ถึง โดยนมชนิดนี้ไม่ได้มาจากแมลงสาบทั่วไป แต่ผลิตจาก แมลงสาบด้วงแปซิฟิก หรือ แมลงสาบเต่าทองแปซิฟิก( Pacific beetle cockroach (Diploptera punctata) ) ซึ่งเป็นแมลงสาบที่ออกลูกเป็นตัว ไม่ใช่วางไข่เหมือนสายพันธุ์อื่น ๆ
สิ่งที่ถูกเรียกว่า “นมแมลงสาบ” จริง ๆ คือ ผลึกโปรตีนที่อยู่ในระบบย่อยอาหารของตัวอ่อนแมลงสาบ Diploptera punctata ไม่ใช่น้ำนมจริง ๆ อย่างในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แต่เป็น โปรตีนผลึกที่ประกอบด้วยโปรตีน ไขมัน และน้ำตาล ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก
ทั้งนี้ตัวอ่อนแมลงสาบชนิดนี้ไม่ได้กินอาหารเอง แต่แม่จะผลิตสารอาหารชนิดหนึ่งเก็บไว้ในถุงเล็ก ๆ ในลำไส้ของลูก สารนี้มีลักษณะเป็น ผลึกโปรตีน-น้ำตาล-ไขมัน (glycosylated protein crystal) นักวิทยาศาสตร์พบว่าผลึกโปรตีนนี้ มีความหนาแน่นพลังงานสูงมาก
ภายในน้ำนมที่แมลงสาบชนิดนี้สร้างขึ้นเพื่อเลี้ยงลูก พบว่ามี “ผลึกโปรตีน” (protein crystals) ที่อัดแน่นไปด้วยสารอาหาร นักวิจัยจากสถาบันวิจัยเซลล์ต้นกำเนิดและเวชศาสตร์ฟื้นฟู ประเทศอินเดีย ได้ทำการวิเคราะห์ผลึกเหล่านี้ และพบว่ามีพลังงานหนาแน่นสูงกว่านมวัวถึง 3 เท่า เมื่อเปรียบเทียบในปริมาณเท่ากัน
นอกจากนี้ ผลึกโปรตีนยังจัดเป็น “โปรตีนสมบูรณ์” เพราะมีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน พร้อมทั้งมีไขมันและน้ำตาลในปริมาณที่สมดุล อีกทั้งยังค่อย ๆ ปล่อยพลังงานออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานที่ยาวนานกว่าเครื่องดื่มบำรุงทั่วไป
แม้ผลการวิจัยจะยืนยันถึงคุณค่าทางโภชนาการ แต่นมแมลงสาบก็ยังไม่ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลให้ใช้เป็นอาหารในปัจจุบัน ดังนั้นผู้บริโภคยังไม่สามารถหาซื้อหรือนำมาใช้แทนนมทั่วไปได้ในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้ทำให้เราเห็นว่าโลกกำลังมองหาแหล่งโภชนาการใหม่ ๆ ที่อาจช่วยตอบโจทย์ความมั่นคงทางอาหารในอนาคต
ที่มารูปภาพ : Canva
