
ไบรอัน จอห์นสัน (Bryan Johnson) มหาเศรษฐีและนักลงทุนด้านเทคโนโลยีชาวอเมริกัน วัย 45 ปี ตัดสินใจทดลองใช้วิธี "ถ่ายพลาสมา" ระหว่างรุ่น เพื่อหวังยืดอายุและชะลอความแก่
เมื่อเดือนเมษายน 2023 จอห์นสันได้เดินทางไปคลินิกใกล้เมืองดัลลัส รัฐเทกซัส พร้อมกับลูกชายวัย 17 ปี และบิดาวัย 70 ปี โดยมีการนำเลือดลูกชายเข้าสู่กระบวนการแยกพลาสมา ก่อนที่จะฉีดกลับเข้าสู่ร่างกายของเขา ขณะเดียวกัน เลือดของเขาก็ถูกถ่ายไปยังบิดาด้วย ทำให้กระบวนการนี้กลายเป็นการ “แลกเปลี่ยนเลือดสามรุ่น”
สรุปข่าว
ไบรอัน จอห์นสัน (Bryan Johnson) มหาเศรษฐีและนักลงทุนด้านเทคโนโลยีชาวอเมริกัน วัย 45 ปี ตัดสินใจทดลองใช้วิธี "ถ่ายพลาสมา" ระหว่างรุ่น เพื่อหวังยืดอายุและชะลอความแก่
เมื่อเดือนเมษายน 2023 จอห์นสันได้เดินทางไปคลินิกใกล้เมืองดัลลัส รัฐเทกซัส พร้อมกับลูกชายวัย 17 ปี และบิดาวัย 70 ปี โดยมีการนำเลือดลูกชายเข้าสู่กระบวนการแยกพลาสมา ก่อนที่จะฉีดกลับเข้าสู่ร่างกายของเขา ขณะเดียวกัน เลือดของเขาก็ถูกถ่ายไปยังบิดาด้วย ทำให้กระบวนการนี้กลายเป็นการ “แลกเปลี่ยนเลือดสามรุ่น”
สื่อบางแห่งรายงานว่า หลังจากทำการถ่ายพลาสมาและควบคุมการดูแลสุขภาพเข้มข้นเป็นเวลา 18 เดือน พบว่า ค่าต่าง ๆ ในร่างกายของจอห์นสันดีขึ้น และแก่ช้ากว่าคนวัยเดียวกันถึงร้อยละ 94 อย่างไรก็ตาม แพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ยังย้ำว่า ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานวิจัยที่ชัดเจนรองรับว่าการถ่ายพลาสมาจากผู้เยาว์มาช่วยชะลอวัยได้จริง
ดังนั้น แม้กรณีของไบรอัน จอห์นสันจะสร้างความสนใจในแวดวงสุขภาพและเทคโนโลยี แต่ก็ยังถูกตั้งคำถามถึงจริยธรรม ความปลอดภัย และความจริงทางวิทยาศาสตร์ ว่าสุดท้ายแล้ว “เกล็ดเลือดทายาท” จะเป็นเพียงแฟชั่นสุดแหวกของมหาเศรษฐี หรือก้าวใหม่ของการแพทย์ชะลอวัยกันแน่
การถ่ายพลาสมาจากผู้อื่น (Plasma Transfusion หรือ Young Plasma Transfusion) คือการนำส่วนพลาสมา ซึ่งเป็นของเหลวสีเหลืองใสในเลือดที่มีน้ำ โปรตีน ฮอร์โมน สารอาหาร และปัจจัยการแข็งตัวของเลือด จากผู้บริจาคมาใส่ในร่างกายของผู้รับ โดยในทางการแพทย์ทั่วไป การถ่ายพลาสมามีประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่มีปัญหาการแข็งตัวของเลือด ผู้ป่วยโรคตับรุนแรง หรือผู้ที่สูญเสียพลาสมาจำนวนมาก แต่ในช่วงหลังมีกระแสการนำ “พลาสมาจากคนอายุน้อย” มาถ่ายให้ผู้สูงอายุเพื่อหวังผลชะลอวัย โดยเชื่อว่าจะได้รับโปรตีนและโกรทแฟกเตอร์ที่ช่วยคืนความอ่อนเยาว์ให้ร่างกาย อย่างไรก็ตาม การใช้วิธีนี้เพื่อวัตถุประสงค์ด้านความงามหรือการชะลอวัย ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนรองรับ และมีความเสี่ยงสูง ทั้งต่อการติดเชื้อ การเกิดปฏิกิริยาภูมิคุ้มกัน หรืออาการแพ้รุนแรง จึงถือว่าเป็นวิธีการที่ไม่ปลอดภัยและยังไม่ควรนำมาใช้ในปัจจุบัน
การทำ PRP (Platelet-Rich Plasma) และ การถ่ายพลาสมาจากผู้อื่น แม้จะเกี่ยวข้องกับเลือดเหมือนกัน แต่มีความแตกต่างสำคัญหลายประการ โดย PRP เป็นการนำเลือดของผู้ป่วยเองมาปั่นแยกเพื่อให้ได้เกล็ดเลือดเข้มข้นที่อุดมไปด้วยโกรทแฟกเตอร์ แล้วฉีดกลับเข้าสู่ร่างกายในตำแหน่งที่ต้องการรักษา เช่น บาดเจ็บเส้นเอ็น ข้อเข่าเสื่อม ฟื้นฟูผิว หรือแก้ปัญหาผมร่วง ซึ่งวิธีนี้มีความปลอดภัยสูง เพราะใช้เลือดของตัวเองจึงไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือการแพ้ และได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในวงการแพทย์และความงาม แม้ผลการรักษาอาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล
ในขณะที่การถ่ายพลาสมาจากผู้อื่น เป็นการนำพลาสมาธรรมดาที่ได้จากผู้บริจาค (บางกรณีคือผู้ที่อายุน้อยกว่า) มาถ่ายเข้าสู่ร่างกายของผู้รับ การใช้ในทางการแพทย์มาตรฐานจะช่วยผู้ป่วยโรคเลือด โรคตับ หรือผู้ที่ขาดแฟกเตอร์การแข็งตัวของเลือด แต่ในแง่ของ “การชะลอวัย” ที่กำลังเป็นกระแส เช่น การใช้เลือดคนอายุน้อยฉีดให้ผู้สูงอายุ ยังไม่มีงานวิจัยที่ชัดเจนยืนยันประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันสูง ดังนั้น PRP จึงเป็นวิธีที่ปลอดภัยและยอมรับได้มากกว่า ขณะที่การถ่ายพลาสมาจากผู้อื่นยังถือเป็นการทดลองที่ไม่ควรทำเพื่อวัตถุประสงค์ด้านความงามหรือการชะลอวัยในปัจจุบัน
- ญี่ปุ่นคิดค้นเลือดเทียม ใช้ได้กับทุกกรุ๊ปเลือด เก็บได้นานถึง 2 ปี
- นักวิจัยพบ "กลุ่มโปรตีน" ที่ช่วยต้านมะเร็ง ชะลอวัย
- สัญญาณเตือน! เลือดสำรองคงคลังเริ่มขาดแคลนทั่วประเทศ วอน คนสุขภาพดีบริจาคช่วยผู้ป่วย
- ผงะ ! เศรษฐีอเมริกันใช้เลือดลูกชายตัวเองเป็นยาชะลอวัย
- ครั้งแรกของโลก! นักวิจัยถ่าย "เลือดเทียม" เข้าสู่ร่างกายอาสาสมัครได้สำเร็จ
ที่มารูปภาพ : IG bryanjohnson_
