
พระคาร์ดินัล คือ สมณศักดิ์สูงสุดรองจากพระสันตะปาปา เป็นองค์ที่ปรึกษาโป๊ปเพื่อปกครองคริสตจักรโรมันคาทอลิก
ทั่วโลกมีพระคาร์ดินัล 252 องค์ แต่พระคาร์ดินัลที่มีคุณสมบัติเข้า Conclave เพื่อเลือกตั้งสมเด็จพระสันตะปาปา แทนที่โป๊ปฟรานซิสที่สิ้นพระชนม์ไป มีเพียง 135 องค์เท่านั้น เพราะตามหลักจะต้องมีอายุไม่เกิน 80 ปี
สรุปข่าว
พระคาร์ดินัล คือ สมณศักดิ์สูงสุดรองจากพระสันตะปาปา เป็นองค์ที่ปรึกษาโป๊ปเพื่อปกครองคริสตจักรโรมันคาทอลิก
ทั่วโลกมีพระคาร์ดินัล 252 องค์ แต่พระคาร์ดินัลที่มีคุณสมบัติเข้า Conclave เพื่อเลือกตั้งสมเด็จพระสันตะปาปา แทนที่โป๊ปฟรานซิสที่สิ้นพระชนม์ไป มีเพียง 135 องค์เท่านั้น เพราะตามหลักจะต้องมีอายุไม่เกิน 80 ปี
ไทยนั้นมีคาร์ดินัล 2 องค์ พระคาร์ดินัล ฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช อายุ 96 ปี และ พระคาร์ดินัล ฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช อายุ 80 ปี ดังนั้น จะมีเพียง พระคาร์ดินัล ฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ ที่จะเข้า Conclave

แล้วจาก 135 พระคาร์ดินัลทั่วโลก อยู่ที่ไหนกันบ้าง พบว่า อยู่ในทวีปยุโรป 53 องค์ ทวีปเอเชีย 23 องค์ ทวีปละตินอเมริกา 21 องค์ ทวีปแอฟริกา 18 องค์ ทวีปอเมริกาเหนือ 16 องค์ และโอเชียนเนีย 4 องค์
แล้วพระคาร์ดินัลเอเชีย มีโอกาสเป็นโป๊ปพระองค์ใหม่แค่ไหน ตามที่ CNN รายงาน ชี้ว่า มี 3 องค์ที่น่าจับตา
หนึ่ง ลุยส์ อันโตนิโอ เทเกิล ผู้นำสำนักวาติกันเพื่อการเผยแผ่ศาสนา อายุ 67 ปี จากประเทศฟิลิปปินส์
สอง พระคาร์ดินัลปาโปล เวอร์จิลิโอ ซิองโก เดวิด บิชอปแห่งคาโลโอกัน อายุ 66 ปี จากประเทศฟิลิปปินส์
สาม พระคาร์ดินัลทาซิชีอุส อิซาโอะ คิดคูจิ อาร์ชบิชอปแห่งโตเกียว อายุ 66 ปี จากประเทศญี่ปุ่น
- รู้จัก MOU43 คืออะไร แล้วมีความสำคัญอย่างไร กับชายแดนไทย-กัมพูชา
- วิสัยทัศน์ “ASEAN 2045: Our Shared Future” คืออะไร ที่นายกฯ แพทองธารเพิ่งลงนามไปที่กรุงกัวลาลัมเปอร์
- เปิดประวัติ โป๊ป เลโอที่ 14 สมเด็จพระสันตะปาปาอเมริกันพระองค์แรกในประวัติศาสตร์
- ทำไมโป๊ปองค์ใหม่ เลือกใช้ชื่อ “เลโอที่ 14” ชื่อนี้มีความหมายอย่างไร
- "โป๊ปเลโอที่ 14" สมเด็จพระสันตะปาปาอเมริกันพระองค์แรก ที่มีความเป็นอเมริกันน้อยสุด-อาจมีจุดยืนต้านทรัมป์
- รู้จัก “โป๊ปเลโอ ที่ 14” พระสันตะปาปาองค์ใหม่คนแรกจากสหรัฐอเมริกา
- พระคาร์ดินัล "โรเบิร์ต พรีโวสต์" เป็นพระสันตะปาปาองค์ใหม่ภายใต้ชื่อ "ลีโอที่ 14" สัญชาติอเมริกันคนแรก
ที่มาข้อมูล : BBC and CNN
ที่มารูปภาพ : Reuters
