ประกันสังคมปรับพอร์ตลงทุนเพิ่มสินทรัพย์เสี่ยง รักษาเสถียรภาพกองทุน

นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงการขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงแรงงานในปี 2568 จะมุ่งเน้นใน 3 เรื่อง คือ 1. การบูรณาการร่วมมือของหน่วยงานภายในกระทรวงแรงงาน ให้มีรูปแบบการทำงานเป็นทีมและปฏิรูปการทำงานใหม่ โดยจะมีการนำเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้น เพื่อให้บริการลูกจ้าง- นายจ้างผ่านระบบ E-service รวมถึงการทำงานในเชิงรุก เพื่อให้สามารถช่วยเหลือพี่น้องแรงงานได้ทันท่วงที 

เรื่องที่ 2 คือสถานการณ์การทำงานในต่างประเทศของคนไทย หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีกรณีเรื่องของการหลอกลวงคนไทยไปทำงานต่างประเทศ ทางกระทรวงแรงงานได้มีการตั้ง “ชุดเฉพาะกิจไตรเทพพิทักษ์” ขึ้น โดยมีหน้าที่ ตรวจสอบผู้หลอกลวงและปกป้องผู้ที่ถูกหลอกลวง รวมถึงคนไทยที่ถูกต่างด้าวแย่งอาชีพ และต่างด้าวที่ลักลอบทำงานอย่างผิดกฎหมาย รวมไปถึงการค้ามนุษย์ ซึ่งชุดเฉพาะกิจนี้ จะมีอำนาจหน้าที่ในการปราบปรามจับกุมและดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำผิดตามกฎหมาย

รวมถึงจะเดินหน้าเชิงรุก ในการหาตลาดงานในต่างประเทศให้แก่คนไทย เนื่องจาก แรงงานไทย ถือเป็น กลุ่มที่สร้างรายได้ให้กับประเทศ โดยปี 2567 มีรายได้จากการส่งเงินกลับเข้าประเทศกว่า 2 แสน 6 หมื่น 2 พันล้านบาท 

ส่วนเรื่องสุดท้าย คือ การรักษาเสถียรภาพของกองทุนประกันสังคม ที่ผู้ประกันตนมีความกังวลใจว่า กองทุนประกันสังคมจะเกิดการล้มละลาย ยืนยันว่า “กองทุนประกันสังคม ไม่ล้มละลาย” แต่จะต้องมีการบริหารจัดการรูปแบบใหม่ โดย ปัจจุบัน กองทุนประกันสังคมมีเงินราว 2.6 ล้านล้านบาท โดยเงินก้อนนี้หากนำมาจ่ายสิทธิประโยชน์ทางเดียว แต่ไม่มีเงินรายได้กลับเข้าสู่กองทุนฯ ในอีก 30 ปีข้างหน้าอาจจะมีผลกระทบต่อเสถียรภาพได้

กระทรวงแรงงาน จึงได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์ใหม่ ให้พิจารณาเรื่องการลงทุนในกลุ่มเสี่ยงหรือในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงให้มากขึ้น แต่จะต้องเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง ที่คณะกรรมการฯ คณะอนุกรรมการ และนักลงทุน ยอมรับได้ โดยจะเพิ่มการลงทุนกลุ่มสินทรัพย์เสี่ยง เป็นร้อยละ 40 จากเดิมที่ร้อยละ 32 ส่วนอีกร้อยละ 60 เป็นการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มั่นคง ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของผู้ประกันตนและพี่น้องประชาชนทั้งหมด ซึ่งหากใช้แนวทางนี้จะทำให้กองทุนประกันสังคมมีผลตอบแทนเพิ่มขึ้น พร้อมตั้งเป้าหมายในปี 2568 นี้ จะมีผลตอบแทนเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 หรือราว 70,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่ได้ผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณร้อยละ 4 หรือประมาณ 60,000 ล้านบาท