แก๊งคอลเซ็นเตอร์! หลอกหารายได้พิเศษ ติดตั้งแอปฯ สั่งสินค้า สูญเงินกว่า 22 ล้าน

แก๊งคอลเซ็นเตอร์! หลอกหารายได้พิเศษ ติดตั้งแอปฯ สั่งสินค้า สูญเงินกว่า 22 ล้าน

นางสาววงศ์อะเคื้อ บุญศล โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ฝ่ายการเมือง เปิดเผยว่า ในช่วงวันที่ 2 – 8มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ศูนย์ AOC 1441 (Anti Online Scam Operation Center) ได้มีรายงานเคสตัวอย่างอาชญากรรมออนไลน์ที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากการถูกหลอกลวง จำนวน 5 เคส ประกอบด้วย

สรุปข่าว

AOC 1441 เตือนภัยล่าสุด “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” หลอกหารายได้พิเศษ ติดตั้งแอปฯ สั่งสินค้า พบสูญเงินกว่า 22 ล้านบาท เผยช่วงแรกได้รับผลตอบแทนจริง จึงโอนเงินไปลงทุนเพิ่มเป็นจำนวนมาก แต่ไม่สามารถถอนเงินได้ เมื่อผู้เสียหายสอบถามเรื่องเงิน มิจฉาชีพไม่ตอบคำถามใดๆ

นางสาววงศ์อะเคื้อ บุญศล โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ฝ่ายการเมือง เปิดเผยว่า ในช่วงวันที่ 2 – 8มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ศูนย์ AOC 1441 (Anti Online Scam Operation Center) ได้มีรายงานเคสตัวอย่างอาชญากรรมออนไลน์ที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากการถูกหลอกลวง จำนวน 5 เคส ประกอบด้วย

คดีที่ 1 คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ มูลค่าความเสียหาย 8,919,003 บาท โดยผู้เสียหายพบโฆษณาทำงานหารายได้พิเศษผ่านช่องทาง Facebook เป็นการโอนเงินสำรองทุนในการสั่งสินค้ามาจำหน่ายเพื่อรับค่าคอมมิชชัน ผู้เสียหายสนใจจึงทักไปสอบถามรายละเอียดผ่านทาง Messenger Facebook มิจฉาชีพแนะนำให้ติดตั้งแอปพลิเคชันและโอนเงินเข้าไปเพื่อลงทุน 

ช่วงแรกได้รับผลตอบแทนจริง จึงโอนเงินไปลงทุนเพิ่มเป็นจำนวนมาก แต่ไม่สามารถถอนเงินได้ เมื่อผู้เสียหายสอบถามเรื่องเงิน มิจฉาชีพไม่ตอบคำถามใดๆ และให้ลงทุนอีกเรื่อยๆ ผู้เสียหายเชื่อว่าตนถูกมิจฉาชีพหลอก

คดีที่ 2 คดีข่มขู่ทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงิน (Call Center) มูลค่าความเสียหาย 8,950,442 บาท โดยผู้เสียหายได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพผ่านทางโทรศัพท์ อ้างเป็นเจ้าหน้าที่ AIS แจ้งว่ามีบุคคลนำบัตรประชาชนของผู้เสียหายไปเปิดหมายเลขโทรศัพท์เพื่อใช้ในทางผิดกฎหมาย และโอนสายให้สนทนากับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แจ้งว่าผู้เสียหายมีส่วนเกี่ยวข้องกับสื่อลามก เว็บพนัน บัญชีม้า และคดีฟอกเงิน จะต้องโอนเงินไปตรวจสอบเส้นทางการเงิน หากไม่ให้ความร่วมมือจะมีความผิดขั้นร้ายแรงและมีคดีเพิ่ม ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไปจนหมด จากนั้นไม่สามารถติดต่อได้อีก ผู้เสียหายเชื่อว่าตนเองถูกมิจฉาชีพหลอก

คดีที่ 3 คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ มูลค่าความเสียหาย 1,800,545 บาท โดยผู้เสียหายพบโฆษณาทำงานหารายได้พิเศษผ่านช่องทาง Facebook ผู้เสียหายสนใจจึงติดต่อสอบถามผ่านทาง Messenger Facebook เป็นการกดถูกใจสินค้าและโพรโมทสินค้าเพื่อเพิ่มยอดขายให้ทางร้าน ต่อมามิจฉาชีพชักชวนให้โอนเงินสั่งสินค้าเพื่อรับค่าคอมมิชชัน ในช่วงแรกได้รับเงินจริง จากนั้นให้ลงทุนด้วยยอดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่สามารถถอนเงินได้ ผู้เสียหายเชื่อว่าตนถูกมิจฉาชีพหลอก

คดีที่ 4 คดีหลอกลวงให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ มูลค่าความเสียหาย 1,794,400 บาท ทั้งนี้ผู้เสียหายได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพผ่านช่องทาง Facebook ชักชวนเทรดหุ้นอสังหาริมทรัพย์ ผู้เสียหายสนใจจึงเพิ่มเพื่อนทาง Line ที่แสดงหน้าโพสต์เพื่อสอบถามรายละเอียด จากนั้นให้ทดลองโอนเงินเพื่อเทรดหุ้น ในครั้งแรกได้รับเงินคืนและสามารถถอนได้ ต่อมาให้ลงทุนด้วยเงินจำนวนมาก แต่ไม่สามารถถอนเงินได้ มิจฉาชีพแจ้งว่าต้องโอนเงินจ่ายค่านำเทรด และค่าภาษีก่อน เมื่อโอนไปแล้วไม่ได้รับเงินคืน ผู้เสียหายเชื่อว่าตนถูกมิจฉาชีพหลอก

คดีที่ 5 คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล หรือวัตถุประสงค์อื่นๆ มูลค่าความเสียหาย 1,439,202 บาท โดยผู้เสียหายพบโฆษณาแจกสินค้าตัวอย่างให้ทดลองใช้ฟรีผ่านช่องทาง Facebook ผู้เสียหายสนใจจึงสอบถามรายละเอียดผ่านทาง Messenger Facebook จากนั้นเพิ่มเพื่อนทาง Line เพื่อสมัครสมาชิก และได้รับการชักชวนให้ร่วมกิจกรรมโพรโมทสินค้าเพื่อรับผลตอบแทน ช่วงแรกได้รับเงินจริง จึงโอนเงินไปลงทุนเป็นจำนวนมาก แต่ไม่สามารถถอนเงินได้ มิจฉาชีพแจ้งว่าเกิดข้อผิดพลาดจะต้องโอนเงินเพื่อยืนยันบัญชีเรื่อยๆ ผู้เสียหายจึงเชื่อว่าตนเองถูกมิจฉาชีพหลอก

สำหรับมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้ง 5 คดี รวม 22,903,592 บาท

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของ ศูนย์ AOC 1441 ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ถึง วันที่ 6 มิถุนายน 2568 มีตัวเลขสถิติผลการดำเนินงาน ดังนี้

1. สายโทรเข้า 1441 จำนวน 1,790,340 สาย / เฉลี่ยต่อวัน 3,066 สาย
2. ระงับบัญชีธนาคาร จำนวน 698,988 บัญชี / เฉลี่ยต่อวัน 1,290 บัญชี
3. ระงับบัญชีตามประเภทคดีสูงสุด 5 ประเภท ได้แก่ 

(1) หลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ 221,699 บัญชี คิด เป็นร้อยละ 31.72 

(2) หลอกลวงหารายได้พิเศษ 162,335 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 23.23 

(3) หลอกลวงลงทุน 98,230 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 14.05 

(4) หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล 93,904 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 13.43 

(5) หลอกลวงให้กู้เงิน 50,209 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 7.18 (และคดีอื่นๆ 72,611 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 10.39)

“จากเคสตัวอย่างจะเห็นได้ว่า มิจฉาชีพใช้กลอุบายหลอกลวงผู้เสียหาย ให้ทำงานหารายได้พิเศษจากค่าคอมมิชชัน โดยให้สำรองเงินสั่งซื้อสินค้า นอกจากนี้ยังมีเคสโทรข่มขู่หลอกลวงให้โอนเงินตรวจสอบบัญชี อ้างว่าผู้เสียหายเกี่ยวข้องกับบัญชีม้า รวมทั้งมิจฉาชีพยังมีการหลอกลวงรับรางวัลและหลอกลงทุนเทรดหุ้น ซึ่งพบว่ามีมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 22 ล้านบาท 

ทั้งนี้ขอย้ำว่า การลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีการรับรองโดยหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือ เป็นการเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวง ขอให้ผู้เสียหายตรวจสอบและติดต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสอบถามรายละเอียดให้แน่ชัด ด้านหน่วยงานของรัฐ ข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ จะไม่มีการโทรติดต่อโดยตรง หรือติดต่อผ่านทางโซเชียลมีเดีย และจะไม่มีการให้โอนเงินเพื่อตรวจสอบบัญชีแต่อย่างใด” นางสาววงศ์อะเคื้อ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนยึดหลัก 4 ไม่ คือ 1. ไม่กดลิงก์ 2.ไม่เชื่อ 3.ไม่รีบ และ 4.ไม่โอน ก่อนที่จะทำธุรกรรมใดๆ อย่ากดเข้าลิงก์เว็บไซต์ หรือดาวน์โหลด และอัปโหลดแพลตฟอร์ม ที่มีการส่งต่อจากช่องทางที่ไม่แน่ใจ โดยกระทรวงดีอี ได้เร่งดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการเผยแพร่ให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันภัยอาชญากรรมออนไลน์ ผ่านศูนย์ AOC 1441 เพื่อแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง


ข่าวที่เกี่ยวข้อง

- เตือนภัย! กลโกง "แก๊งคอลเซ็นเตอร์" หลอกคุยโทรศัพท์ 7 วัน 7 คืน สูญเงินกว่า 8 ล้าน

- “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” พรมแดนไทย-เมียนมา ยังเหลืออีกเป็นแสน พร้อมคืนชีพทุกเมื่อ

- DSI เตือนภัย! มิจฉาชีพหลอกคดีฟอกเงิน พูดชื่อ - เลขบัตรประชาชนถูกหมด

ที่มาข้อมูล : รัฐบาล

ที่มารูปภาพ : Getty Images