อุตสาหกรรมคอลเซ็นเตอร์-สแกมเมอร์ ทำไมเฟื่องฟูในกัมพูชา มูลค่าถึง 620,000 ล้านบาท คิดเป็น 60% ของ GDP

อุตสาหกรรมคอลเซ็นเตอร์-สแกมเมอร์ ทำไมเฟื่องฟูในกัมพูชา มูลค่าถึง 620,000 ล้านบาท คิดเป็น 60% ของ GDP

กัมพูชากลายเป็นแหล่งอุตสาหกรรมสแกมเมอร์และคอลเซ็นเตอร์ เฟื่องฟู สร้างเงิน 400,000 ถึง 620,000 ล้านบาท คิดเป็น 60% ของจีดีพี 

เรียกว่า มันกลายเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศไปแล้ว และนี่คือสภาพของประเทศเพื่อนบ้านไทย ที่กำลังขัดแย้งและพิพาทดินแดน หลังกรณีช่องบก 

หรือวาทกรรมยื่นศาลโลก มันเป็นเพียงการเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนและโลก จากปัญหาที่มันใหญ่กว่า

สรุปข่าว

กัมพูชากลายเป็นแหล่งอุตสาหกรรมสแกมเมอร์และคอลเซ็นเตอร์สร้างรายได้ 400,000-620,000 ล้านบาท คิดเป็น 60% ของ GDP มากกว่าอุตสาหกรรมสิ่งทอที่เป็นอุตสาหกรรมหลักเดิม รายงานของ เจค็อบ ซิมส์ ระบุว่ามีคนเกี่ยวข้อง 150,000 คน จากการค้ามนุษย์ที่หลอกคนจาก 70 ประเทศ โดยเจ้าหน้าที่รัฐและสมาชิกพรรครัฐบาลมีส่วนเกี่ยวข้อง รัฐบาลใช้รายได้นี้สนับสนุนโครงการต่างๆ รวมถึงกวาดล้างฝ่ายค้าน ขณะที่กาสิโนกลายเป็นแหล่งฟอกเงิน ผู้เชี่ยวชาญมองว่าอุตสาหกรรมนี้ "ใหญ่เกินกว่าจะล้มได้" และเป็นภัยต่อความมั่นคงโลก แม้รัฐบาลกัมพูชาจะปฏิเสธรายงานนี้ว่าเกินจริง ทำให้ข้อเสนอของสส.ไทยให้ใช้การตัดไฟฟ้า-อินเทอร์เน็ตเป็นแรงกดดันในช่วงขัดแย้งดินแดนจึงอาจสมเหตุสมผล

กัมพูชากลายเป็นแหล่งอุตสาหกรรมสแกมเมอร์และคอลเซ็นเตอร์ เฟื่องฟู สร้างเงิน 400,000 ถึง 620,000 ล้านบาท คิดเป็น 60% ของจีดีพี 

เรียกว่า มันกลายเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศไปแล้ว และนี่คือสภาพของประเทศเพื่อนบ้านไทย ที่กำลังขัดแย้งและพิพาทดินแดน หลังกรณีช่องบก 

หรือวาทกรรมยื่นศาลโลก มันเป็นเพียงการเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนและโลก จากปัญหาที่มันใหญ่กว่า

รายงานที่เพิ่งเผยแพร่ว่าด้วย อาชญากรรมข้ามชาติที่สนับสนุนโดยรัฐ ในฐานะภัยคุกคามความมั่นคงโลก โดย เจค็อบ ซิมส์   ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมข้ามพรมแดน และความมั่นคงภูมิภาค

ชี้ว่า อุตสาหกรรมอาชญากรรมไซเบอร์ในกัมพูชา ใกล้ถึงจุด “ใหญ่เกินกว่าจะล้มได้” กัมพูชากลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งการสแกม ขับเคลื่อนด้วยแก๊งอาชญากรรมชาวจีน จนเป็นภัยต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงระดับโลก

แน่นอนว่า แม้เมียนมาและลาว เป็นฮับขนาดใหญ่ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ เจค็อบ ซิมส์ ชี้ว่า ปี 2025 กัมพูชานี่แหละที่จะเป็นศูนย์กลางระดับโลกด้านการลวงเงินยุคใหม่

รายงานความยาว 73 หน้านี้ มีใจความสำคัญ ที่ตอกย้ำถึงอุตสาหกรรมไซเบอร์สแกมในกัมพูชาอย่างไรบ้าง 

หนึ่ง อุตสาหรรมอาชญากรรมไซเบอร์อย่างเป็นระบบในกัมพูชา มีคนเกี่ยวข้องถึง 150,000 คน และเติบโตอย่างก้าวกระโดด ท่ามกลางการค้ามนุษย์ที่ระบาดหนัก หลอกคนรุ่นใหม่ตกงาน จากเกือบ 70 ประเทศทั่วโลก มาเป็นมิจฉาชีพ

สอง อุตสาหกรรมสิ่งทอ คือ อุตสาหกรรมหลักของกัมพูชา มีมูลค่า 3 แสนล้านบาท คิดเป็น 30% ของ GDP แต่อุตสาหกรรมอาชญากรรมไซเบอร์ กลับสูงยิ่งกว่า ถึง 620,000 ล้านบาท คิดเป็น 60% ของ GDP  

สาม การคอรัปชันและเจ้าหน้าที่รัฐที่มีเอี่ยวในขบวนการอาชญากรรม สร้างสภาพแวดล้อมทำให้อาชญากรรมไซเบอร์ในกัมพูชา เฟื่องฟูได้ง่าย ที่สำคัญ ตัวรายงานชี้ว่า สมาชิกระดับสูงในพรรครัฐบาลกัมพูชา มีส่วนได้ส่วนเสียด้วย 

สี่ ตัวรายงานถึงขั้นชี้ว่า รัฐบาลกัมพูชานี่เองที่สนับสนุนอุตสาหกรรมมิจฉาชีพนี้ มันเป็นรายได้ที่รัฐบาลนำไปใช้สนับสนุนโครงการต่าง ๆ รวมถึงกวาดล้างผู้เห็นต่างทางการเมือง 

ห้า อุตสาหกรรมการพนันและกาสิโน กลายเป็นแหล่งฟอกเงินชั้นดี นำเงินผิดกฎหมายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ กลายเป็นเงินสะอาด อัดฉีดเข้าระบบเศรษฐกิจ

ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้อุตสาหกรรมสแกมเมอร์ ไม่ใช่ผลลัพธ์ข้างเคียง แต่คืออุตสาหกรรมหลักที่ผุดขึ้นจากการอนุญาต สนับสนุน และปล่อยปละละเลยของรัฐบาลกัมพูชาเอง 

แม้รัฐบาลกัมพูชาจะปฏิเสธมาโดยตลอดว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง อีกทั้ง ก็ปฏิเสธรายงานฉบับนี้ ชี้ว่า มีเนื้อหาเกินจริงไปมาก ต้องการปลุกปั่นทางการเมือง และไม่น่าเชื่อถือ 

และมันไม่เพียงเป็นวิกฤตของประเทศ แต่เป็นภัยความมั่นคงระดับโลก

ดังนั้น ข้อเสนอของ สส.พรรคประชาชน บางคน ที่ชี้ว่า การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์  ด้วยการตัดไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ต รวมถึงปราบปรามไทยเทาที่มีส่วนเกี่ยวข้อง จะเป็นแนวทางกดดันกัมพูชา ในห้วงเวลาที่ขัดแย้งดินแดนกับไทย ได้ดีที่สุด อาจไม่เกินจริงนัก ในเมื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ คือ อุตสาหกรรมหลักของกัมพูชาขนาดนี้

กัมพูชาสร้างรายได้จากการสแกมเมอร์แค่ไหน

จากรายงานของ United States Institute of Peace เรื่องอาชญากรรมข้ามชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่าในปี 2023 สแกมเมอร์ หรืออาชญากรเหล่านี้สามารถหลอกเงินจากผู้คนทั่วโลกไปได้ประมาณ 64,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 2.24 ล้านล้านบาท แต่ในทั้งหมดนี้ มากกว่าครึ่ง มาอยู่ที่ 3 ประเทศในอาเซียน คือ กัมพูชา ลาว และพม่า มากถึง 1.533 ล้านล้านบาท

มพูชาได้เงินจากการสแกมไปมากถึง 437.5 พันล้านบาท โดยส่วนใหญ่แล้วเงินนั้นตกไปอยู่ที่กลุ่มคนชั้นสูงในท้องถิ่นเป็นเจ้าของธุรกิจ และถึงแม้ว่าทางรายงานจะไม่ได้ระบุเงินที่ลาว และพม่าได้รับ แต่สำนักข่าว The Diplomat ก็วิเคราะห์ต่อไปว่า เงินสัดส่วนของลาวน่าจะอยู่ที่ 378 พันล้านบาท ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้น พม่าก็จะได้เงินจากการสแกมไปถึง 717.5 พันล้านบาท

รายงานของกลุ่มศึกษายังได้คำนวณว่าเงินที่ถูกสแกมไปโดยกลุ่มอาชญากรเหล่านี้ซึ่งมีฐานอยู่ในกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขงน่าจะเกิน 1.533 ล้านล้านบาทต่อปีนี้ จะถือว่าคิดเป็นเกือบ 40% ของ GDP อย่างเป็นทางการรวมกันของลาว กัมพูชา และพม่า ซึ่งรายงานระบุว่ากำไรส่วนใหญ่เหล่านี้ไหลเข้าสู่กองทัพเมียนมาร์และชนชั้นสูงในกัมพูชาและลาวด้วย