มุกใหม่แก๊งคอลฯ หลอกสมัครสินเชื่อเงินด่วน-ลวงรหัส OTP ฉกเงินซื้อทองคำ สูญ 20 ล้านบาท

มุกใหม่แก๊งคอลฯ หลอกสมัครสินเชื่อเงินด่วน-ลวงรหัส OTP ฉกเงินซื้อทองคำ สูญ 20 ล้านบาท

พลตำรวจตรี วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผู้บังคับการปราบปราม นำทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจแถลงผลการจับกุม ผู้ต้องหา 3 ราย ซึ่งเป็นแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์สัญชาติไทย ที่มีพฤติการณ์ในการหลอกลวงเหยื่อให้สมัครสินเชื่อเงินด่วนผ่านโมบายแบงค์กิ้ง โดยจะอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่สถาบันการเงิน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเหยื่อในการกู้เงินด่วนออนไลน์ ซึ่งจะมีการหลอกเอาเลข OTP หลังการสมัครเสร็จสิ้น เพื่อนำไปซื้อทองคำ ก่อนชิ่งหนี

โดย ผู้บังคับการปราบปราม ระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ป. ได้รับการประสานงานจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบของธนาคารกรุงไทย โดยมีการแจ้งว่ามีลูกค้าของธนาคารหลายรายมีความสนใจสมัครบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต ได้ถูกคนร้ายหลอกลวงให้สมัครบัตรผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งคนร้ายได้มาแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร โดยมีแผนประทุษกรรมในการหลอกลวง โดยผู้ต้องหาจะติดต่อหาซื้อเพจ Facebook ที่มียอดผู้ติดตามสูงตามกลุ่ม LINE หรือเพจ Facebook สายเทา ก่อนที่จะนำมาเปลี่ยนปรับแต่งให้เป็นเหมือนเพจของสถาบันทางการเงิน พร้อมลงข้อความเชิญชวนประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่สนใจต้องการเปิดบัตรเครดิตหรือเดบิต โดยสร้างความน่าเชื่อถือ ด้วยการใช้รูป ชื่อนามสกุล ของเจ้าหน้าที่ธนาคารตัวจริงมาแอบอ้าง เมื่อมีผู้เสียหายมีความสนใจและกดเข้ามาที่เพจ ก็มีการสนทนากันผ่านทางข้อความ จากนั้นก็จะมีการพูดคุยสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลทั้งอาชีพ รายได้ วงเงินที่ผู้เสียหายต้องการใช้ และหมายเลขโทรศัพท์เพื่อติดต่อกลับ จากนั้นก็จะหลอกลวงให้เหยื่อ ใช้โทรศัพท์อีกเครื่องหนึ่ง ทำการวิดีโอคอลด้วยการเปิดกล้องในการสมัครสินเชื่อเงินด่วนผ่านโมบายแบงค์กิ้ง ในโทรศัพท์ของเหยื่อ ซึ่งผู้ต้องหาจะเป็นผู้อธิบายขั้นตอนวิธีการสมัคร ตลอดการพูดคุย จึงทำให้สามารถเห็นยอดวงเงินการสมัครสินเชื่อ เลขบัตรเดบิต 16 หลัก เลข CVV และ OTP โดยธนาคารจะใช้ระยะเวลาในการอนุมัติเพียงไม่กี่นาที ระหว่างนั้นผู้ต้องหาก็จะนำข้อมูลดังกล่าวไปกรอกเพื่อซื้อทองคำผ่านออนไลน์ เมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการครบแล้ว ก็ทำการซื้อทองคำทันที และ เมื่อได้ทองคำมาก็นำไปแปลงสภาพเป็นเงินเพื่อนำไปใช้จ่าย

ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับข้อมูลการประสานจากธนาคารแห่งหนึ่งใน จ.สงขลา จึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน และพบว่ามีหนึ่งในเหยื่อที่ถูกหลอกในพื้นที่ดังกล่าว ได้รับข้อมูลและหลักฐานครบถ้วนจึงได้ขออนุมัติหมายจับจากศาลจังหวัดสงขลา เพื่อจับกุมผู้ต้องหา จำนวน 3 ราย ประกอบด้วย นายกรกรต (สงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี นายกฤตนัย (สงวนนามสกุล) อายุ 28 ปี ซึ่งจับกุมได้ที่ห้องพักในคอนโดซอยสุขุมวิท 24 แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา และจับกุมนายปพนธีร์ (สงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี ได้ที่บ้านพักในจังหวัดลพบุรีในวันเดียวกัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถตรวจยึดของกลางจำนวน 53 รายการ อาทิ รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อ Mercedes Benz ที่ผู้ต้องหาใช้เงินสดซื้อ โทรศัพท์มือถือจำนวน 23 เครื่อง คอมพิวเตอร์และโน๊ตบุ๊ค จำนวน 6 เครื่อง เครื่องรับธนบัตรจำนวน 1 เครื่อง  แผ่นทองคำจำนวน 2 แผ่น และซิมการ์ดสมุดบัญชีอื่นอีก 20 รายการ ขณะเดียวกัน ยังพบหลักฐานซึ่งเป็นข้อมูลที่ผู้ต้องหาได้มีการถ่ายทำวิดีโอระหว่างหลอกลวงเหยื่อจำนวนกว่า 130 ไฟล์ และภาพนิ่งอีกกว่า 3,000 ภาพ  ซึ่งพบว่าผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ได้ทำการหลอกลวงเหยื่อมาแล้วเกือบ 400 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 20 ล้านบาท 


ขณะที่ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ได้ทำการหลอกลวงเหยื่อในลักษณะนี้ มาตั้งแต่ปี 2566 จนถึงปัจจุบันเป็นระยะระยะเวลา 2 ปีแล้ว โดยอ้างว่าวิธีการที่นำมาหลอกลวงเป็นวิธีที่เคยถูกหลอกมาก่อน จึงได้นำวิธีการมาปรับใช้และไปหลอกลวงเหยื่อรายอื่นๆ ขณะที่เงินที่นำมาได้ในการหลอกลวงเหยื่อ ก็ถูกนำไปใช้จ่ายทั้งซื้อรถหรู เช่าคอนโดราคากว่า 30,000 บาทต่อเดือนในย่านสุขุมวิท อีกทั้งได้นำเงินไปเที่ยวกินหรูอยู่สบาย และนำไปเล่นการพนันในคาสิโนประเทศเพื่อนบ้านด้วย ขณะที่เงินคงเหลือติดบัญชีมีจำนวนหลักพันถึงหลักหมื่นบาทเท่านั้น


เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาว่าเป็นการกระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนอันมิใช่ความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา และร่วมกันใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ อีกทั้งความผิดยังเข้าข่ายฐานฟอกเงินอีกด้วย 


โดยหลังจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการขยายผลสืบสวนสอบสวนในกลุ่มดังกล่าวว่ามีการไปหลอกลวงผู้เสียหายรายอื่นๆอีกหรือไม่รวมถึงการประสานข้อมูลร่วมกับธนาคารเพื่อที่จะช่วยเหลือเหยื่อที่เคยถูกหลอกลวงว่าจะดำเนินการอายัดบัตร ประสานกับร้านค้าหรือผู้ให้บริการเพื่อยกเลิกธุรกรรมต่างๆ พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชนรายอื่นๆที่เคยถูกคนร้ายกลุ่มนี้หลอกลวงในลักษณะเดียวกันสามารถนำหลักฐานมาติดต่อเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ป. เพื่อตรวจสอบและดำเนินคดีเพิ่มเติม

สรุปข่าว

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) แถลงผลการทลายแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์สัญชาติไทย อ้างเป็นเจ้าหน้าที่สถาบันการเงินหลอกลวงเหยื่อกว่า 400 ราย สมัครสินเชื่อเงินด่วนผ่านโมบายแบงค์กิ้ง หลอกเอาเลข OTP ซื้อทองคำ มูลค่าความเสียหายกว่า 20 ล้านบาท

พลตำรวจตรี วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผู้บังคับการปราบปราม นำทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจแถลงผลการจับกุม ผู้ต้องหา 3 ราย ซึ่งเป็นแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์สัญชาติไทย ที่มีพฤติการณ์ในการหลอกลวงเหยื่อให้สมัครสินเชื่อเงินด่วนผ่านโมบายแบงค์กิ้ง โดยจะอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่สถาบันการเงิน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเหยื่อในการกู้เงินด่วนออนไลน์ ซึ่งจะมีการหลอกเอาเลข OTP หลังการสมัครเสร็จสิ้น เพื่อนำไปซื้อทองคำ ก่อนชิ่งหนี

โดย ผู้บังคับการปราบปราม ระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ป. ได้รับการประสานงานจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบของธนาคารกรุงไทย โดยมีการแจ้งว่ามีลูกค้าของธนาคารหลายรายมีความสนใจสมัครบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต ได้ถูกคนร้ายหลอกลวงให้สมัครบัตรผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งคนร้ายได้มาแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร โดยมีแผนประทุษกรรมในการหลอกลวง โดยผู้ต้องหาจะติดต่อหาซื้อเพจ Facebook ที่มียอดผู้ติดตามสูงตามกลุ่ม LINE หรือเพจ Facebook สายเทา ก่อนที่จะนำมาเปลี่ยนปรับแต่งให้เป็นเหมือนเพจของสถาบันทางการเงิน พร้อมลงข้อความเชิญชวนประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่สนใจต้องการเปิดบัตรเครดิตหรือเดบิต โดยสร้างความน่าเชื่อถือ ด้วยการใช้รูป ชื่อนามสกุล ของเจ้าหน้าที่ธนาคารตัวจริงมาแอบอ้าง เมื่อมีผู้เสียหายมีความสนใจและกดเข้ามาที่เพจ ก็มีการสนทนากันผ่านทางข้อความ จากนั้นก็จะมีการพูดคุยสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลทั้งอาชีพ รายได้ วงเงินที่ผู้เสียหายต้องการใช้ และหมายเลขโทรศัพท์เพื่อติดต่อกลับ จากนั้นก็จะหลอกลวงให้เหยื่อ ใช้โทรศัพท์อีกเครื่องหนึ่ง ทำการวิดีโอคอลด้วยการเปิดกล้องในการสมัครสินเชื่อเงินด่วนผ่านโมบายแบงค์กิ้ง ในโทรศัพท์ของเหยื่อ ซึ่งผู้ต้องหาจะเป็นผู้อธิบายขั้นตอนวิธีการสมัคร ตลอดการพูดคุย จึงทำให้สามารถเห็นยอดวงเงินการสมัครสินเชื่อ เลขบัตรเดบิต 16 หลัก เลข CVV และ OTP โดยธนาคารจะใช้ระยะเวลาในการอนุมัติเพียงไม่กี่นาที ระหว่างนั้นผู้ต้องหาก็จะนำข้อมูลดังกล่าวไปกรอกเพื่อซื้อทองคำผ่านออนไลน์ เมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการครบแล้ว ก็ทำการซื้อทองคำทันที และ เมื่อได้ทองคำมาก็นำไปแปลงสภาพเป็นเงินเพื่อนำไปใช้จ่าย

ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับข้อมูลการประสานจากธนาคารแห่งหนึ่งใน จ.สงขลา จึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน และพบว่ามีหนึ่งในเหยื่อที่ถูกหลอกในพื้นที่ดังกล่าว ได้รับข้อมูลและหลักฐานครบถ้วนจึงได้ขออนุมัติหมายจับจากศาลจังหวัดสงขลา เพื่อจับกุมผู้ต้องหา จำนวน 3 ราย ประกอบด้วย นายกรกรต (สงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี นายกฤตนัย (สงวนนามสกุล) อายุ 28 ปี ซึ่งจับกุมได้ที่ห้องพักในคอนโดซอยสุขุมวิท 24 แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา และจับกุมนายปพนธีร์ (สงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี ได้ที่บ้านพักในจังหวัดลพบุรีในวันเดียวกัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถตรวจยึดของกลางจำนวน 53 รายการ อาทิ รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อ Mercedes Benz ที่ผู้ต้องหาใช้เงินสดซื้อ โทรศัพท์มือถือจำนวน 23 เครื่อง คอมพิวเตอร์และโน๊ตบุ๊ค จำนวน 6 เครื่อง เครื่องรับธนบัตรจำนวน 1 เครื่อง  แผ่นทองคำจำนวน 2 แผ่น และซิมการ์ดสมุดบัญชีอื่นอีก 20 รายการ ขณะเดียวกัน ยังพบหลักฐานซึ่งเป็นข้อมูลที่ผู้ต้องหาได้มีการถ่ายทำวิดีโอระหว่างหลอกลวงเหยื่อจำนวนกว่า 130 ไฟล์ และภาพนิ่งอีกกว่า 3,000 ภาพ  ซึ่งพบว่าผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ได้ทำการหลอกลวงเหยื่อมาแล้วเกือบ 400 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 20 ล้านบาท 


ขณะที่ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ได้ทำการหลอกลวงเหยื่อในลักษณะนี้ มาตั้งแต่ปี 2566 จนถึงปัจจุบันเป็นระยะระยะเวลา 2 ปีแล้ว โดยอ้างว่าวิธีการที่นำมาหลอกลวงเป็นวิธีที่เคยถูกหลอกมาก่อน จึงได้นำวิธีการมาปรับใช้และไปหลอกลวงเหยื่อรายอื่นๆ ขณะที่เงินที่นำมาได้ในการหลอกลวงเหยื่อ ก็ถูกนำไปใช้จ่ายทั้งซื้อรถหรู เช่าคอนโดราคากว่า 30,000 บาทต่อเดือนในย่านสุขุมวิท อีกทั้งได้นำเงินไปเที่ยวกินหรูอยู่สบาย และนำไปเล่นการพนันในคาสิโนประเทศเพื่อนบ้านด้วย ขณะที่เงินคงเหลือติดบัญชีมีจำนวนหลักพันถึงหลักหมื่นบาทเท่านั้น


เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาว่าเป็นการกระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนอันมิใช่ความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา และร่วมกันใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ อีกทั้งความผิดยังเข้าข่ายฐานฟอกเงินอีกด้วย 


โดยหลังจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการขยายผลสืบสวนสอบสวนในกลุ่มดังกล่าวว่ามีการไปหลอกลวงผู้เสียหายรายอื่นๆอีกหรือไม่รวมถึงการประสานข้อมูลร่วมกับธนาคารเพื่อที่จะช่วยเหลือเหยื่อที่เคยถูกหลอกลวงว่าจะดำเนินการอายัดบัตร ประสานกับร้านค้าหรือผู้ให้บริการเพื่อยกเลิกธุรกรรมต่างๆ พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชนรายอื่นๆที่เคยถูกคนร้ายกลุ่มนี้หลอกลวงในลักษณะเดียวกันสามารถนำหลักฐานมาติดต่อเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ป. เพื่อตรวจสอบและดำเนินคดีเพิ่มเติม

ที่มาข้อมูล : ทีมข่าวสังคม

ที่มารูปภาพ : ทีมข่าวสังคม