สธ.วางแผนฟื้นฟู รพ. 8 ขั้นตอน เบื้องต้นความเสียหายอยู่ที่ 146 ล้าน!

สธ.วางแผนฟื้นฟู รพ. 8 ขั้นตอน เบื้องต้นความเสียหายอยู่ที่ 146 ล้าน!

สถานพยาบาลได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา 149 แห่ง

นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงแนวทางการฟื้นฟูสถานพยาบาลที่ได้รับผลกระทบจากกรณีสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ปัจจุบันมีสถานพยาบาลที่ได้รับผลกระทบสะสมรวม 169 แห่ง แบ่งเป็น โรงพยาบาล 20 แห่ง เปิดตามปกติ 6 แห่ง เปิดบางส่วน 11 แห่ง ปิดบริการ 3 แห่ง และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) 149 แห่ง 

เปิดตามปกติ 39 แห่ง เปิดบางส่วน 31 แห่ง และปิดบริการ 79 แห่ง ความเสียหายของสถานพยาบาลเบื้องต้นอยู่ที่ประมาณ 146 ล้านบาท โดยโรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.สุรินทร์ ได้รับความเสียหายมากสุด

สรุปข่าว

รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย มีสถานพยาบาลได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา 149 แห่ง ได้รับความเสียหายจากการสู้รบโดยตรง 5 แห่ง วางแผนฟื้นฟูโรงพยาบาล 8 ขั้นตอน

สถานพยาบาลได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา 149 แห่ง

นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงแนวทางการฟื้นฟูสถานพยาบาลที่ได้รับผลกระทบจากกรณีสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ปัจจุบันมีสถานพยาบาลที่ได้รับผลกระทบสะสมรวม 169 แห่ง แบ่งเป็น โรงพยาบาล 20 แห่ง เปิดตามปกติ 6 แห่ง เปิดบางส่วน 11 แห่ง ปิดบริการ 3 แห่ง และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) 149 แห่ง 

เปิดตามปกติ 39 แห่ง เปิดบางส่วน 31 แห่ง และปิดบริการ 79 แห่ง ความเสียหายของสถานพยาบาลเบื้องต้นอยู่ที่ประมาณ 146 ล้านบาท โดยโรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.สุรินทร์ ได้รับความเสียหายมากสุด

สธ.วางแผนฟื้นฟู รพ. 8 ขั้นตอน

ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำแผนฟื้นฟูโรงพยาบาล (Recovery Plan) กรณีภัยสงคราม เพื่อเตรียมกลับมาให้บริการเมื่อสถานการณ์สงบและมีความปลอดภัยโดยแบ่งเป็น 8 ขั้นตอน ดังนี้ 

1.การประเมินสถานการณ์หลังเหตุการณ์ โดยประเมินความเสียหายทางกายภาพ เช่น อาคาร เครื่องมือแพทย์ ระบบไฟฟ้า/น้ำ รวมถึงความปลอดภัยของบุคลากรและผู้ป่วยในเดิม 

2.โครงสร้างพื้นฐานและสิ่งแวดล้อม ให้ซ่อมแซมหรือสร้างอาคารใหม่ที่ปลอดภัย แข็งแรง ทนทานต่อภัยพิบัติและเหตุการณ์รุนแรง ฟื้นฟูระบบไฟฟ้า น้ำประปา การสื่อสาร ระบบไอที และห้องสำคัญ เช่น ห้องผ่าตัด ไอซียู และตรวจสอบความปลอดภัยของพื้นที่โดยรอบร่วมกับหน่วยความมั่นคง

3.การจัดการทรัพยากรบุคคล ให้มีการติดตาม สื่อสารและสนับสนุนบุคลากรที่อพยพหรือได้รับผลกระทบให้กลับเข้าปฏิบัติงานได้ จัดระบบดูแลสภาพจิตใจและระบบเวรที่เหมาะสมเพื่อลดความเหนื่อยล้า 

4.การฟื้นฟูระบบบริการสุขภาพ โดยเริ่มเปิดบริการที่จำเป็นก่อน เช่น ห้องฉุกเฉิน, คลินิกโรคเรื้อรัง,แม่และเด็ก รวมถึงประเมินความต้องการของประชาชนในพื้นที่ และเปิดบริการอื่นๆ ตามลำดับอย่างเหมาะสม

5.การฟื้นฟูเวชภัณฑ์และอุปกรณ์การแพทย์ โดยตรวจสอบคลังเวชภัณฑ์และจัดหาสิ่งที่ขาดแคลน โดยร่วมกับคลังกลางหรือหน่วยสนับสนุน 

6.การฟื้นฟูระบบข้อมูลและสารสนเทศ ให้กู้คืนระบบเวชระเบียนและระบบสารสนเทศต่างๆ ของโรงพยาบาล ประเมินความปลอดภัยของข้อมูล และจัดระบบสำรองข้อมูลในอนาคต และเพิ่มระบบเตือนภัยและสื่อสารฉุกเฉิน 

7.การสื่อสารกับประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ให้ทราบถึงการเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ รับฟังข้อเสนอแนะหรือความต้องการของประชาชน พร้อมประชาสัมพันธ์แผนฟื้นฟูและสร้างความเชื่อมั่นต่อการให้บริการ 

8.การพัฒนาความพร้อมในอนาคต โดยปรับปรุงระบบบริหารความเสี่ยงและแผนตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน จัดทำแผนการอพยพและแผนเผชิญเหตุที่เป็นระบบมากขึ้น และปรับปรุงโครงสร้างอาคารให้แข็งแรงมั่นคงปลอดภัย

ที่มาข้อมูล : รัฐบาล

ที่มารูปภาพ : รัฐบาล