
จากรากปัญหาสู่ไฟความขัดแย้ง
คดีเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ ไม่ใช่ข้อพิพาทใหม่ หากแต่มีประวัติยาวนานกว่า 50 ปี ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 2490–2500 รัฐบาลในขณะนั้นได้กันพื้นที่เขากระโดงเพื่อใช้เป็นเขตทางรถไฟและกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตอำเภอเมืองบุรีรัมย์ ครอบคลุมหลายตำบล
ต่อมา ในช่วงหลายสิบปีหลัง มีการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินในพื้นที่ดังกล่าวให้แก่ประชาชนและนิติบุคคลจำนวนมาก รวมแล้วกว่า 995 แปลง ครอบคลุมพื้นที่ราว 5,083 ไร่ ซึ่งรัฐมองว่าการออกโฉนดดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากที่ดินเป็นสมบัติของแผ่นดินเพื่อกิจการรถไฟ
จุดเปลี่ยนสำคัญในชั้นศาล
การต่อสู้ทางกฎหมายยืดเยื้อมาหลายรอบ จนในที่สุด ศาลฎีกาและศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาในสาระสำคัญว่า ที่ดินเขากระโดงเป็นของ รฟท. และการออกเอกสารสิทธิ์ให้บุคคลอื่นในภายหลังเป็นการออกโดยมิชอบ
คำพิพากษานี้เปิดช่องให้กรมที่ดินดำเนินการตาม ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 วรรค 8 ซึ่งให้อำนาจเพิกถอนโฉนดที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ขั้นตอนต้องผ่านการรังวัดและกำหนดแนวเขตที่ชัดเจน
ในปี 2567 การรังวัดร่วมระหว่าง รฟท. และกรมที่ดินเสร็จสิ้น ทำให้ทางราชการสามารถเดินหน้าเพิกถอนได้ในพื้นที่ที่แนวเขตไม่ซับซ้อน
สรุปข่าว
จากรากปัญหาสู่ไฟความขัดแย้ง
คดีเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ ไม่ใช่ข้อพิพาทใหม่ หากแต่มีประวัติยาวนานกว่า 50 ปี ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 2490–2500 รัฐบาลในขณะนั้นได้กันพื้นที่เขากระโดงเพื่อใช้เป็นเขตทางรถไฟและกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตอำเภอเมืองบุรีรัมย์ ครอบคลุมหลายตำบล
ต่อมา ในช่วงหลายสิบปีหลัง มีการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินในพื้นที่ดังกล่าวให้แก่ประชาชนและนิติบุคคลจำนวนมาก รวมแล้วกว่า 995 แปลง ครอบคลุมพื้นที่ราว 5,083 ไร่ ซึ่งรัฐมองว่าการออกโฉนดดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากที่ดินเป็นสมบัติของแผ่นดินเพื่อกิจการรถไฟ
จุดเปลี่ยนสำคัญในชั้นศาล
การต่อสู้ทางกฎหมายยืดเยื้อมาหลายรอบ จนในที่สุด ศาลฎีกาและศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาในสาระสำคัญว่า ที่ดินเขากระโดงเป็นของ รฟท. และการออกเอกสารสิทธิ์ให้บุคคลอื่นในภายหลังเป็นการออกโดยมิชอบ
คำพิพากษานี้เปิดช่องให้กรมที่ดินดำเนินการตาม ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 วรรค 8 ซึ่งให้อำนาจเพิกถอนโฉนดที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ขั้นตอนต้องผ่านการรังวัดและกำหนดแนวเขตที่ชัดเจน
ในปี 2567 การรังวัดร่วมระหว่าง รฟท. และกรมที่ดินเสร็จสิ้น ทำให้ทางราชการสามารถเดินหน้าเพิกถอนได้ในพื้นที่ที่แนวเขตไม่ซับซ้อน
รัฐบาลในบทบาท “ผู้บังคับใช้กฎหมาย”
ปี 2568 กระทรวงมหาดไทยในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลกรมที่ดินประกาศเดินตามคำพิพากษา “ภูมิธรรม เวชยชัย” ย้ำว่าการเพิกถอนจะเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย แต่รัฐบาลจะเปิดช่องให้ผู้ได้รับผลกระทบยื่นคำร้องหรือดำเนินการทางศาล หากเห็นว่าถูกละเมิดสิทธิ
สำหรับฝ่ายรัฐ นี่คือการปฏิบัติตามกฎหมายสูงสุดและคำตัดสินของศาล ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ ไม่ให้ปัญหาบานปลายสู่ความขัดแย้งทางสังคมและการเมือง
เสียงจากชุมชนและผู้ครอบครองที่ดิน
ในอีกฟากหนึ่ง ชาวบ้านและนิติบุคคลที่ครอบครองโฉนดจำนวนมากมองว่าตนได้สิทธิมาอย่างถูกต้อง หลายครอบครัวอยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่มาก่อนที่ รฟท. จะมีการใช้ประโยชน์จริง พวกเขายืนยันว่าจะไม่ย้ายออก พร้อมชูสโลแกน “ไม่หนี ไม่ย้าย ไม่ออก”
สำหรับชาวบ้าน นี่ไม่ใช่แค่การปกป้องทรัพย์สิน แต่เป็นการปกป้องวิถีชีวิตและรากเหง้าทางสังคม พื้นที่นี้ยังมีธุรกิจขนาดเล็ก โรงงาน และโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ดำเนินการมานาน การเพิกถอนโฉนดจึงหมายถึงการสูญเสียทั้งบ้าน ที่ดินทำกิน และแหล่งรายได้
ศึกตีความกฎหมายและความจริงในพื้นที่
นักกฎหมายและนักวิชาการด้านที่ดินมองต่างกัน
• ฝ่ายหนึ่งชี้ว่าคำพิพากษาศาลสูงสุดผูกพันทุกฝ่าย ทำให้การเพิกถอนโฉนดเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้
• อีกฝ่ายมองว่าคำพิพากษาผูกพันเฉพาะคู่ความในคดี และการเพิกถอนโฉนดต้องอาศัยพระราชกฤษฎีกาที่มีแผนที่แนบท้ายอย่างชัดเจน ซึ่งยังไม่ปรากฏในกรณีนี้
ข้อถกเถียงเหล่านี้ทำให้การบังคับใช้กฎหมายต้องเดินอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เปิดช่องให้มีการฟ้องกลับทั้งทางแพ่งและอาญา
แรงกระเพื่อมต่อการเมืองและสังคม
1. ระดับชุมชน – ความไม่มั่นคงด้านที่อยู่อาศัยและเศรษฐกิจท้องถิ่น อาจนำไปสู่การประท้วงหรือการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์
2. ระดับการเมืองท้องถิ่น – นักการเมืองในพื้นที่ถูกกดดันให้แสดงจุดยืน สนับสนุนหรือคัดค้านการเพิกถอน
3. ระดับประเทศ – คดีนี้อาจถูกใช้เป็นกรณีศึกษาเรื่องการจัดการที่ดินของรัฐ ความชัดเจนของกฎหมาย และความสมดุลระหว่างอำนาจรัฐกับสิทธิของประชาชน
ทางออกคดีเขากระโดง ข้อเสนอและแนวทางแก้ไข
สถานการณ์ปัจจุบัน
ณ วันที่ 8 สิงหาคม 2568 ยังไม่มีคำสั่งเพิกถอนที่มีผลบังคับเด็ดขาด ภาครัฐยืนตามแนวทางกฎหมายและคำพิพากษา ขณะที่ชาวบ้านและภาคธุรกิจในพื้นที่ยังคงต่อสู้ในศาลและบนเวทีสาธารณะ
แนวทางที่เป็นไปได้
1. ตรวจสอบสิทธิอย่างละเอียด – ตั้งคณะกรรมการสามฝ่าย (รัฐ-ประชาชน-นักกฎหมายอิสระ) ตรวจสอบเอกสารสิทธิแต่ละแปลง เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและยุติธรรม
2. ฟ้องร้องหรืออุทธรณ์ทางศาล – ประเด็นที่ยังโต้แย้งควรให้ศาลแพ่งและศาลปกครองตัดสินขั้นเด็ดขาด และหากรัฐเพิกถอนโดยมิชอบ ประชาชนควรมีสิทธิฟ้องกลับ
3. เจรจาและไกล่เกลี่ย – เปิดเวทีพูดคุยหาทางออก เช่น การเยียวยา ชดเชย หรือจัดรูปที่ดินใหม่ เพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสียทั้งสองฝ่าย
4. แก้กฎหมายหรือออกกฎหมายเฉพาะกิจ – เพื่อกำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์และการโอนกรรมสิทธิ์ที่เป็นธรรม ผ่านการพิจารณาของรัฐสภา
ข้อสังเกตสำคัญ
• หลีกเลี่ยงมาตรการที่ละเมิดสิทธิหรือสร้างผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตโดยไม่มีการเยียวยา
• กระบวนการต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ และให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม
• ต้องยึดหลักรัฐธรรมนูญและสิทธิมนุษยชนเป็นกรอบการตัดสินใจ
คดีเขากระโดงคือสมรภูมิที่กฎหมาย ประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิตมาบรรจบกัน การหาทางออกจึงไม่อาจใช้เพียงคำพิพากษาเป็นคำตอบสุดท้าย แต่ต้องอาศัยการเจรจา ความร่วมมือ และกลไกตรวจสอบที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้รัฐได้ปฏิบัติตามกฎหมาย ขณะเดียวกันประชาชนก็ได้รับความเป็นธรรม และลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นกับชุมชน
- ประวัติ ขจรเกียรติ รักพานิชมณี อธิบดีกรมที่ดินคนใหม่
- ดีลภาษีไทย–สหรัฐฯ คืบหน้า พรรคเพื่อไทยย้ำยึดเขากระโดงไม่ใช่เกมการเมือง
- คดีเขากระโดง สรุปต้นตอ–แนวทางรัฐยึดคืนที่ดิน
- รฟท.ดันไฮสปีด ไทย-จีน ดึงเอกชนร่วมทุน จ่อเปิดประมูล Q3/69
- "รฟท."เร่งพัฒนาเส้นทางรถไฟท่องเที่ยว"อีอีซี"
- พณ.-มหาดไทย ร่วมสกัดนอมินีถือครองที่ดิน
- "รฟท."สำรองขบวนรถเสริมรับปชช.เดินทาง"สงกรานต์"
ที่มาข้อมูล : TNN
ที่มารูปภาพ : Google Maps
บรรณาธิการออนไลน์
