ประวัติ ลูก้า โมดริช ปิดฉาก 13 ปี กับ เรอัล มาดริด

ประวัติ ลูก้า โมดริช ปิดฉาก 13 ปี กับ เรอัล มาดริด

สิ้นสุดฤดูกาล 2024-25 ชื่อของ ลูก้า โมดริช กับสโมสรเรอัล มาดริด ได้กลายเป็นอดีต หลังจากที่เคยฝากเส้นทางลูกหนังร่วมกันเอาไว้นานถึง 13 ปีเต็ม


กองกลางทีมชาติโครเอเชียรายนี้ จะฝากผลงานทิ้งทวนกับทัพ "ราชันชุดขาว" ในศึกชิงแชมป์สโมสรโลก ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ 2025 ที่ทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกันว่าจะเป็นรายการสุดท้าย


24 พฤษภาคม ค.ศ. 2025 คือวันสุดท้ายที่ ลูก้า โมดริช ลงเล่นที่สนามซานติอาโก้ เบร์นาเบว รังเหย้าของสโมสร เป็นเกมที่พบกับ เรอัล โซเซียดาด ซึ่งหลังจบการแข่งขันได้มีพิธีอำลายิ่งใหญ่ต่อหน้าแฟนบอลอย่างสมเกียรติ


ตลอดระยะเวลา 13 ปี ในถิ่น เรอัล มาดริด เขามีส่วนสำคัญกับการสร้างความสำเร็จมาสู่สโมสรมากมาย พาทีมกวาดมาได้ 28 แชมป์ ไม่ว่าจะเป็น แชมป์ ลา ลีกา 4 สมัย / แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 6 สมัย / แชมป์ โกปา เดล เรย์ 2 สมัย / แชมป์สโมสรโลก 6 สมัย / แชมป์ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 5 สมัย และ แชมป์ สแปนิชซูเปอร์คัพ อีก 5 สมัย 


จากจำนวนถ้วยรางวัลดังกล่าว ลูก้า โมดริช กลายเป็นนักเตะที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรเรอัล มาดริด แถมยังเป็น 1 ใน 5 นักเตะที่คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ถึง 6 สมัย


ในวัย 39 ปี กับการจารึกชื่อในฐานะตำนานของสโมสรเรอัล มาดริด เขาไม่เคยมีข่าวเสียหายในด้านลบออกมาเลย ในทางกลับกันยังกลายเป็นนักเตะต้นแบบของเด็กๆรุ่นหลังที่จะดำเนินรอยตาม จึงไม่แปลกใจที่เขาจะได้รับความไว้วางใจไล่ต่อสัญญาเรื่อยมาทีละ 1 ซีซั่น ในช่วงท้ายๆ เพื่อตอบแทนกับทุกสิ่งที่เขาทำให้สโมสรแห่งนี้ 


เราจะขอพาทุกท่านย้อนไปติดตามเรื่องราว ประวัติชีวิตลูกหนังของ ลูก้า โมดริช ว่ากว่าที่จะมีวันนี้ เขาต้องผ่านเรื่องราวและอุปสรรค์อะไรมาบ้าง

สรุปข่าว

ลูก้า โมดริช ปิดฉากเส้นทาง 13 ปีกับเรอัล มาดริด หลังฤดูกาล 2024-25 โดยเกมอำลานัดสุดท้ายคือพบเรอัล โซเซียดาด วันที่ 24 พฤษภาคม 2025 ก่อนเตรียมลุยฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ 2025 เป็นรายการส่งท้าย ตลอดช่วงเวลากับ “ราชันชุดขาว” โมดริชคว้าแชมป์ 28 รายการ รวมถึงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 6 สมัย กลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร เส้นทางของเขาเริ่มต้นจากชีวิตวัยเด็กที่ยากลำบากในช่วงสงครามโครเอเชีย พัฒนาฝีเท้ากับดินาโม ซาเกร็บ ก่อนย้ายมาท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ในปี 2008 และสร้างชื่อจนถูกเรอัล มาดริด ดึงตัวไปร่วมทีมในปี 2012 แม้เริ่มต้นในถิ่นเบร์นาเบวจะยากลำบาก แต่เขาค่อยๆ พิสูจน์ตัวเองจนกลายเป็นหัวใจของทีม โดยเฉพาะในยุคคาร์โล อันเชล็อตติ และได้รับรางวัลบัลลงดอร์ในปี 2018 หลังพาโครเอเชียคว้ารองแชมป์โลก ในวัย 39 ปี โมดริชกลายเป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่ ทั้งในฐานะแชมป์และต้นแบบของนักฟุตบอลที่ยืนหยัดด้วยความมุ่งมั่น อ่อนน้อม และไร้เรื่องเสียหายตลอดอาชีพค้าแข้ง.

สิ้นสุดฤดูกาล 2024-25 ชื่อของ ลูก้า โมดริช กับสโมสรเรอัล มาดริด ได้กลายเป็นอดีต หลังจากที่เคยฝากเส้นทางลูกหนังร่วมกันเอาไว้นานถึง 13 ปีเต็ม


กองกลางทีมชาติโครเอเชียรายนี้ จะฝากผลงานทิ้งทวนกับทัพ "ราชันชุดขาว" ในศึกชิงแชมป์สโมสรโลก ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ 2025 ที่ทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกันว่าจะเป็นรายการสุดท้าย


24 พฤษภาคม ค.ศ. 2025 คือวันสุดท้ายที่ ลูก้า โมดริช ลงเล่นที่สนามซานติอาโก้ เบร์นาเบว รังเหย้าของสโมสร เป็นเกมที่พบกับ เรอัล โซเซียดาด ซึ่งหลังจบการแข่งขันได้มีพิธีอำลายิ่งใหญ่ต่อหน้าแฟนบอลอย่างสมเกียรติ


ตลอดระยะเวลา 13 ปี ในถิ่น เรอัล มาดริด เขามีส่วนสำคัญกับการสร้างความสำเร็จมาสู่สโมสรมากมาย พาทีมกวาดมาได้ 28 แชมป์ ไม่ว่าจะเป็น แชมป์ ลา ลีกา 4 สมัย / แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 6 สมัย / แชมป์ โกปา เดล เรย์ 2 สมัย / แชมป์สโมสรโลก 6 สมัย / แชมป์ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 5 สมัย และ แชมป์ สแปนิชซูเปอร์คัพ อีก 5 สมัย 


จากจำนวนถ้วยรางวัลดังกล่าว ลูก้า โมดริช กลายเป็นนักเตะที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรเรอัล มาดริด แถมยังเป็น 1 ใน 5 นักเตะที่คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ถึง 6 สมัย


ในวัย 39 ปี กับการจารึกชื่อในฐานะตำนานของสโมสรเรอัล มาดริด เขาไม่เคยมีข่าวเสียหายในด้านลบออกมาเลย ในทางกลับกันยังกลายเป็นนักเตะต้นแบบของเด็กๆรุ่นหลังที่จะดำเนินรอยตาม จึงไม่แปลกใจที่เขาจะได้รับความไว้วางใจไล่ต่อสัญญาเรื่อยมาทีละ 1 ซีซั่น ในช่วงท้ายๆ เพื่อตอบแทนกับทุกสิ่งที่เขาทำให้สโมสรแห่งนี้ 


เราจะขอพาทุกท่านย้อนไปติดตามเรื่องราว ประวัติชีวิตลูกหนังของ ลูก้า โมดริช ว่ากว่าที่จะมีวันนี้ เขาต้องผ่านเรื่องราวและอุปสรรค์อะไรมาบ้าง

ประวัติ ลูก้า โมดริช


ลูก้า โมดริช เกิดเมื่อวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1985 ณ เมืองซาดาร์ ประเทศโครเอเชีย เขาเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุเพียงแค่ 5 ขวบ ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่สงบในบ้านเกิด เพราะมันเป็นช่วงสงครามประกาศอิสรภาพโครเอเชีย


เขาได้เข้าร่วมสโมสรNK Zadar ทีมท้องถิ่น จากนั้นไม่นานก็ได้โอกาสเข้าสู่ระบบอคาเดมี เพื่อฝึกอย่างจริงจังกับสโมสรดินาโม ซาเกร็บ ทีมยักษ์ใหญ่ของโครเอเชีย และได้โอกาสเซ็นสัญญาอาชีพครั้งแรกกับสโมสรแห่งนี้


แต่เส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะถึงแม้ว่า โมดริช จะมีทักษะฟุตบอลที่ดีแต่เขาเป็นเด็กที่มีรูปร่างเล็ก เทียบกับเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆ ต่อให้ฝีเท้าดีแค่ไหน แต่พอถึงเวลาในสนามจริงก็โดนชนกระจาย ไม่สามารถรับแรงเสียดทานได้ไหว


สิ่งที่ดีที่สุดในตอนนั้นคือการออกไปเสริมกระดูก เก็บประสบการณ์กับทีมอื่นในฐานะสัญญายืมตัว ปี ค.ศ. 2003 เขาถูกส่งไปให้กับสโมสรซรินจ์สกี้ โมสตาร์ ในประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ก่อนที่ในฤดูกาลต่อมาจะกลับมาเล่นในบ้านเกิดอีกครั้งกับสโมสรอินเตอร์ ซาเปรซิช


ตลอด 2 ฤดูกาลที่ถูกปล่อยยืมตัว ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เขาได้อัพเลเวลของตัวเองขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด จากการที่ได้ลงสนามอย่างต่อเนื่อง เขาพยายามใช้จุดแข็งที่มี ไม่ว่าจะเป็นทักษาความสามารถเฉพาะตัว การครองบอลที่เหนียวแน่น และการจ่ายบอลสั้นบอลยาวที่ชาญฉลาด แถมวิ่งไล่บอลด้วยพละกำลังที่ไม่มีหมดตลอดทั้งเกม เพื่อลบข้อด้อยของตัวเองลง จนกลายเป็นนักเตะที่แม้จะมีส่วนสูงเพียง 171 เซนติเมตร แต่ก็ถูกหักลบด้วยสภาพร่างกายที่แข็งแกร่ง เล่นด้วยมันสมอง บวกกับความฟิตที่เกินร้อย


ลูก้า โมดริช ย้ายร่วมทีมท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์


โมดริช กลับมาเป็นกำลังสำคัญของ ดินาโม ซาเกร็บ ในปี ค.ศ. 2005 ฟอร์มของเขาโดดเด่นมากขึ้นเรื่อยๆ จนได้รับโอกาสติดทีมชาติชุดใหญ่ในปี 2006 จากนั้นผลงานก็ไปเข้าตาสโมสรท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ทีมในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ คว้าตัวไปร่วมทีม ในปี 2008 


นับเป็นความท้าทายก้าวสำคัญกับการย้ายไปเล่นในอังกฤษ เวทีที่ขึ้นชื่อเรื่องความดุดัน การเป็นนักเตะรูปร่างเล็กจึงมีหลายคนตั้งคำถามว่าจะไหวหรือไม่? แต่สุดท้ายเขาก็ตอบเสียงวิจารณ์ด้วยฟอร์มที่ยอดเยี่ยมในสนาม 


โดยเฉพาะในฤดูกาล 2009-10 ภายใต้การคุมทัพของ แฮร์รี่ เรดแนปป์ ที่พาสโมสรท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ สร้างประวัติศาสตร์คว้าตั๋วไปเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี 


ลูก้า โมดริช ย้ายร่วมทีมเรอัล มาดริด


เข้าสู่ปี 2012 สโมสรเรอัล มาดริด ยักษ์ใหญ่แห่งศึกลาลีกา สเปน ตัดสินใจทุ่มเงินจำนวน 30 ล้านปอนด์ คว้าตัว ลูก้า โมดริช ไปร่วมทีม แต่เส้นทางก็ไม่ได้เป็นดังฝัน ภายใต้การคุมทัพของ โชเซ่ มูรินโญ่ เข้าได้รับบทบาทในตำแหน่งเบอร์ 10 กลายเป็นว่าการลงเล่นในตำแหน่งที่ไม่ใช่ ส่งผลให้ฟอร์มของเขาไม่ดีอย่างที่ควรจะเป็น จนกลายเป็นกระแสวิจารณ์ถึงความล้มเหลวในดีลนี้

แม้จะมีกระแสด้านลบ แต่ โมดริช ก็ก้มหน้าก้มตาเล่นฟุตบอลของตัวเองต่อไป จนกระทั่งจุดเปลี่ยนสำคัญก็มาถึง เมื่อ มูรินโญ่ ตัดสินใจลองขยับถอยเขาลงมาเล่นตรงกลางร่วมกับ ชาบี อลอนโซ่ ในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล ทีนี้กลายเป็นว่าอะไรก็ฉุดไม่อยู่


ผลงานออกมาแตกต่างอย่างชัดเจน เขาเล่นอย่างเป็นธรรมชาติ คอยคุมจังหวะ ขับเคลื่อนเกมตรงกลาง และโชว์คลาสผ่านบอลสวยๆให้กับเพื่อนร่วมทีม ในยามคับขันเขาเปลี่ยนจังหวะทำเรื่องยากให้กลายเป็นเรื่องง่าย 


เข้าสู่ฤดูกาลที่ 2 ในสีเสื้อเรอัล มาดริด สโมสรมีการเปลี่ยนแปลงกุนซือมาเป็น คาร์โล อันเชลอตติ โค้ชที่ขึ้นชื่อในเรื่องการให้อิสระนักเตะในการเล่น คราวนี้แสงในตัวของ โมดริช ยิ่งส่องประกายมากขึ้นกว่าเดิม บวกกับการเข้ามาผนึกกำลังของ โทนี่ โครส และ คาเซมิโร่ ยิ่งส่งให้ทีมชุดนี้ไร้เทียมทาน เดินหน้ากวาดความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง 


ลูก้า โมดริช คว้ารางวัลบัลลงดอร์


เข้าสู่ฤดูกาล 2017-18 ลูก้า โมดริช ร่างทองได้ถือกำเนิดในโลกฟุตบอลบนวัย 33 ปี นอกจากพา เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ยุโรปมาครองได้แล้ว ผลงานชิ้นโบวแดงคือการพาทีมชาติโครเอเชีย สร้างประวัติศาสตร์คว้ารองแชมป์โลก


บทสรุปสุดท้ายเขาได้รับการโหวตให้คว้ารางวัลบัลลงดอร์ 2018 นับเป็นนักเตะคนแรกในรอบ 10 ปี ที่ได้รางวัลนี้ นอกจากการสลับกันรับรางวัลของ คริสเตียโน โรนัลโด และ ลิโอเนล เมสซี่ พ่วงด้วยรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีอีก 2 สถาบัน ทั้งยูฟ่า และฟีฟ่า มาครองอย่างยิ่งใหญ่ 


แม้กราฟชีวิตจะพุ่งถึงจุดสูงสุดในวัย 33 ปี แต่ โมดริช ยังคงรักษามาตรฐานของตัวเองเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม เขายังคงก้มหน้าก้มตาฝึกซ้อมด้วยความมุ่งมั่นต่อไปในแบบที่ไม่สนคำเยินยอ และมีความอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เสมอทั้งในและนอกสนาม


ตลอดระยะเวลา 13 ปี กับสโมสรเรอัล มาดริด เขาคือนักเตะต้นแบบที่เด็กรุ่นหลังควรดำเนินรอยตาม แม้อาจจะไม่ได้ทั้งหมด แต่ขอเพียงแค่สักครึ่งเดียวที่ ลูก้า โมดริช ทำไว้ 


จากคนที่ลี้ภัยสงคราม ใช้ชีวิตวัยเด็กส่วนใหญ่ในโรงแรม แต่กลับไม่มีความย่อท้อต่อโชคชะตา เล่นฟุตบอลด้วยความรักความอดทน จนกลายเป็นตำนานของสโมสรเรอัล มาดริด ที่ยากจะหาใครมาเปรียบเทียบ ในโลกฟุตบอลปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

อ่านเรื่องราวอื่นๆที่น่าสนใจ

ประวัติ แอนจ์ ปอสเตโคกลู ผู้พา สเปอร์ ได้แชมป์รอบ 17 ปี แต่ก็ยังดีไม่พอ


ประวัติ มิลอส เคอร์เคซ แบ็กซ้ายที่ ลิเวอร์พูล ต้องการตัว


ประวัติ รายาน แชร์กี้ เด็กปั้น ลียง ที่กำลังเนื้อหอม

ที่มาข้อมูล : thestandard,trueid,wikipedia

ที่มารูปภาพ : AFP