ประวัติ แอนจ์ ปอสเตโคกลู ผู้พา สเปอร์ ได้แชมป์รอบ 17 ปี แต่ก็ยังดีไม่พอ

ประวัติ แอนจ์ ปอสเตโคกลู ผู้พา สเปอร์ ได้แชมป์รอบ 17 ปี แต่ก็ยังดีไม่พอ

ให้หลังการเฉลิมฉลองแชมป์ ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ของ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ เพียงแค่ราวๆ 22 วัน สโมสรก็ประกาศปลด แอนจ์ ปอสเตโคกลู พ้นตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนของทีมเป็นที่เรียบร้อย ท่ามกลางความมึนงงของทั้งนักเตะและแฟนบอล


แม้กระแสที่ตามมาจะเสียงแตก มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของ แดเนี่ยล เลวี่ เจ้าของสโมสร แต่บทสรุปสุดท้ายทุกอย่างก็เป็นการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดและมีผลไปเป็นที่เรียบร้อย เมื่อค่ำวันที่ 6 เดือน 6 ปี 2025(ตามเวลาประเทศไทย)


กลุ่มที่ไม่เห็นด้วยมองว่าความสำเร็จของ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ กับการคว้าแชมป์ในรอบ 17 ปีของสโมสร ได้มาเพราะฝีมือการคุมทีมของ แอนจ์ แม้ว่าผลงานในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ จะตกต่ำด้วยการจบอันดับ 17 ของตาราง อยู่เหนือแค่ 3 ทีมที่ตกชั้นเท่านั้น


แต่นั่นก็มีสาเหตุทั้งเรื่องอาการบาดเจ็บของนักเตะตัวหลักแทบยกทีม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการปล่อยเซอร์ในลีกช่วงท้ายซีซั่น เพื่อต้องการเน้นสุดตัวกับศึกยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ที่หากได้แชมป์ก็จะเป็นเส้นทางลัดคว้าตั๋วไปลุยถ้วยใบใหญ่ของยุโรป มันเหมือนเป็นการบีบให้ต้องเลือกเอาสักทาง และสุดท้ายก็ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง


ความสำเร็จครั้งนี้หลายคนจึงมองว่าอย่างน้อยๆ เขาก็น่าจะได้รางวัลตอบแทนด้วยการอยู่คุมทีมต่อไปในฤดูกาลหน้า คือถ้าซีซั่นใหม่ผ่านไปสัก 5 นัด ทีมยังมีแต่ทรงกับทรุดก็ค่อยตัดสินใจกันใหม่ในช่วงเวลานั้น น่าจะเป็นทางลงที่สวยที่สุดของทั้งสองฝ่าย


แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าตัวอย่างในกรณีคล้ายๆกันก็มีให้เห็นมาแล้ว เช่นคู่แข่งในนัดชิงชนะเลิศยูโรป้า อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ตัดสินใจผิดพลาด ยอมให้โอกาส เอริก เทนฮาก คุมทีมต่อไปในช่วงต้นฤดูกาลที่ผ่านมา เป็นเหมือนรางวัลตอบแทนภายหลังการคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ มาครองได้ในซีซั่น 2023-24


ก่อนที่ทีมจะเดินหน้าทุ่มงบประมาณเสริมทัพแหลก แต่สุดท้ายก็ไปไม่ถึงดวงดาว เมื่อศึกพรีเมียร์ลีก ผ่านไป 9 นัด สโมสรตัดสินใจปลด เทนฮาก ออกจากตำแหน่งทันที หลังมีผลงานชนะ 3 เสมอ 2 แพ้ 4 เก็บได้เพียง 11 คะแนน รั้งอันดับ 14 ของตาราง 


ก่อนจะขยับ รุด ฟาน นิสเตลรอย ขึ้นมาขัดตาทัพ แล้วไปดึง รูเบน อโมริม เข้ามารับเผือกร้อนต่อ และสุดท้ายทีมก็มีฤดูกาลที่พังไม่เป็นท่า พร้อมกับการยอมรับของบอร์ดบริหารสโมสรถึงการตัดสินใจที่ผิดพลาดตั้งแต่เริ่มต้นฤดูกาล


ตัดกลับมาในมุมของคนที่เห็นด้วยกับ แดเนี่ยล เลวี่ เคสของแมนฯยูฯถือเป็นกรณีศึกษา หากให้โอกาส แอนจ์ คุมทีมต่อไป มีหวังสโมสรอาจจะขุนไม่ขึ้น และต้องไม่ลืมว่าในฤดูกาลที่ผ่านมา มีช่วงที่สเปอร์ฟอร์มหลุดลุ่ย จนได้รับเสียงก่นด่าไปในทิศทางเดียวกัน แต่ตอนนั้น เลวี่ ก็เลือกที่จะนิ่งสงบ และให้ทีมเดินหน้าต่อไปจนสุดท้ายก็ประสบความสำเร็จในศึกยูโรป้าลีก


มองในแง่ของจิตใจอาจจะดูโหดร้ายกับการสั่งปลดครั้งนี้ แต่มองในเรื่องเหตุและผล เลวี่ ก็เชื่อว่าเขาชั่งน้ำหนักมาดีแล้ว และนี่คือทางออกที่สวยที่สุด สโมสรประสบความสำเร็จ ส่วนตัวโค้ชก็จะได้เริ่มต้นเส้นทางครั้งใหม่ ในแบบที่เขาเองก็เพิ่งจะคว้าถ้วยรางวัลติดมือมาหมาดๆ เพราะฉะนั้นย่อมมีบรรดาสโมสรยักษ์ใหญ่ให้ความสนใจคว้าตัวไปร่วมงาน


จากที่กล่าวมา แอนจ์ ยังเป็นกุนซือมากฝีมือที่พร้อมไล่ล่าความสำเร็จในระดับสูง น่าสนใจว่าก้าวต่อไปของเขาจะไปหยุดที่ตรงไหน เราจะพาทุกท่านย้อนไปรู้จักกุนซือสัญชาติออสเตรเลีย รายนี้ให้มากขึ้น ว่าเขาจะมีเส้นทางโค้ชเป็นอย่างไร กว่าจะก้าวมาเป็นเป็นกุนซือประวัติศาสตร์ของท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์

สรุปข่าว

แอนจ์ ปอสเตโคกลู โค้ชชาวออสเตรเลีย ผู้พา ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ คว้าแชมป์ยูโรป้า ลีก หลังจากรอคอยนานถึง 17 ปี ถูกปลดจากตำแหน่งเพียง 22 วันหลังคว้าแชมป์ แม้แฟนบอลบางส่วนไม่เห็นด้วย โดยมองว่าเขาควรได้รับโอกาสต่อไป การตัดสินใจของสโมสรเกิดจากผลงานในพรีเมียร์ลีกที่จบอันดับ 17 แม้จะมีปัจจัยเรื่องอาการบาดเจ็บและการโฟกัสในถ้วยยุโรป ส่วนฝ่ายที่สนับสนุนการปลด มองว่าเป็นการเรียนรู้จากกรณีของแมนฯ ยูไนเต็ด ที่เคยให้โอกาสกุนซือต่อแล้วล้มเหลว แอนจ์ มีเส้นทางอาชีพที่น่าสนใจ เริ่มจากนักเตะตำแหน่งฟูลแบ็ก ก่อนแขวนสตั๊ดเร็วเพราะอาการบาดเจ็บ และผันตัวเป็นโค้ช พาทีมเซาท์ เมลเบิร์น คว้าแชมป์ทั้งในฐานะนักเตะและโค้ช จากนั้นผ่านงานคุมทีมเยาวชนทีมชาติออสเตรเลีย, สโมสรในกรีซ, เจลีก และพาออสเตรเลียคว้าแชมป์เอเชีย 2 สมัย เขากลายเป็นที่จับตามองหลังประสบความสำเร็จอย่างสูงกับ กลาสโกว์ เซลติก ด้วยการคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ในสกอตแลนด์ ก่อนย้ายมาคุม สเปอร์ ในปี 2023 โดยฤดูกาลที่ 2 เขาทำได้ตามสัญญา คว้าแชมป์ยูโรป้า ลีก แม้จะไม่ได้อยู่ต่อ แต่ผลงานของเขาสะท้อนถึงความสามารถและสไตล์เกมรุกที่เร้าใจ เชื่อว่าเส้นทางข้างหน้าของ แอนจ์ ยังมีอีกไกล และน่าจับตาว่าทีมใดจะได้ตัวเขาไปร่วมงานต่อไป.

ให้หลังการเฉลิมฉลองแชมป์ ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ของ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ เพียงแค่ราวๆ 22 วัน สโมสรก็ประกาศปลด แอนจ์ ปอสเตโคกลู พ้นตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนของทีมเป็นที่เรียบร้อย ท่ามกลางความมึนงงของทั้งนักเตะและแฟนบอล


แม้กระแสที่ตามมาจะเสียงแตก มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของ แดเนี่ยล เลวี่ เจ้าของสโมสร แต่บทสรุปสุดท้ายทุกอย่างก็เป็นการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดและมีผลไปเป็นที่เรียบร้อย เมื่อค่ำวันที่ 6 เดือน 6 ปี 2025(ตามเวลาประเทศไทย)


กลุ่มที่ไม่เห็นด้วยมองว่าความสำเร็จของ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ กับการคว้าแชมป์ในรอบ 17 ปีของสโมสร ได้มาเพราะฝีมือการคุมทีมของ แอนจ์ แม้ว่าผลงานในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ จะตกต่ำด้วยการจบอันดับ 17 ของตาราง อยู่เหนือแค่ 3 ทีมที่ตกชั้นเท่านั้น


แต่นั่นก็มีสาเหตุทั้งเรื่องอาการบาดเจ็บของนักเตะตัวหลักแทบยกทีม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการปล่อยเซอร์ในลีกช่วงท้ายซีซั่น เพื่อต้องการเน้นสุดตัวกับศึกยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ที่หากได้แชมป์ก็จะเป็นเส้นทางลัดคว้าตั๋วไปลุยถ้วยใบใหญ่ของยุโรป มันเหมือนเป็นการบีบให้ต้องเลือกเอาสักทาง และสุดท้ายก็ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง


ความสำเร็จครั้งนี้หลายคนจึงมองว่าอย่างน้อยๆ เขาก็น่าจะได้รางวัลตอบแทนด้วยการอยู่คุมทีมต่อไปในฤดูกาลหน้า คือถ้าซีซั่นใหม่ผ่านไปสัก 5 นัด ทีมยังมีแต่ทรงกับทรุดก็ค่อยตัดสินใจกันใหม่ในช่วงเวลานั้น น่าจะเป็นทางลงที่สวยที่สุดของทั้งสองฝ่าย


แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าตัวอย่างในกรณีคล้ายๆกันก็มีให้เห็นมาแล้ว เช่นคู่แข่งในนัดชิงชนะเลิศยูโรป้า อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ตัดสินใจผิดพลาด ยอมให้โอกาส เอริก เทนฮาก คุมทีมต่อไปในช่วงต้นฤดูกาลที่ผ่านมา เป็นเหมือนรางวัลตอบแทนภายหลังการคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ มาครองได้ในซีซั่น 2023-24


ก่อนที่ทีมจะเดินหน้าทุ่มงบประมาณเสริมทัพแหลก แต่สุดท้ายก็ไปไม่ถึงดวงดาว เมื่อศึกพรีเมียร์ลีก ผ่านไป 9 นัด สโมสรตัดสินใจปลด เทนฮาก ออกจากตำแหน่งทันที หลังมีผลงานชนะ 3 เสมอ 2 แพ้ 4 เก็บได้เพียง 11 คะแนน รั้งอันดับ 14 ของตาราง 


ก่อนจะขยับ รุด ฟาน นิสเตลรอย ขึ้นมาขัดตาทัพ แล้วไปดึง รูเบน อโมริม เข้ามารับเผือกร้อนต่อ และสุดท้ายทีมก็มีฤดูกาลที่พังไม่เป็นท่า พร้อมกับการยอมรับของบอร์ดบริหารสโมสรถึงการตัดสินใจที่ผิดพลาดตั้งแต่เริ่มต้นฤดูกาล


ตัดกลับมาในมุมของคนที่เห็นด้วยกับ แดเนี่ยล เลวี่ เคสของแมนฯยูฯถือเป็นกรณีศึกษา หากให้โอกาส แอนจ์ คุมทีมต่อไป มีหวังสโมสรอาจจะขุนไม่ขึ้น และต้องไม่ลืมว่าในฤดูกาลที่ผ่านมา มีช่วงที่สเปอร์ฟอร์มหลุดลุ่ย จนได้รับเสียงก่นด่าไปในทิศทางเดียวกัน แต่ตอนนั้น เลวี่ ก็เลือกที่จะนิ่งสงบ และให้ทีมเดินหน้าต่อไปจนสุดท้ายก็ประสบความสำเร็จในศึกยูโรป้าลีก


มองในแง่ของจิตใจอาจจะดูโหดร้ายกับการสั่งปลดครั้งนี้ แต่มองในเรื่องเหตุและผล เลวี่ ก็เชื่อว่าเขาชั่งน้ำหนักมาดีแล้ว และนี่คือทางออกที่สวยที่สุด สโมสรประสบความสำเร็จ ส่วนตัวโค้ชก็จะได้เริ่มต้นเส้นทางครั้งใหม่ ในแบบที่เขาเองก็เพิ่งจะคว้าถ้วยรางวัลติดมือมาหมาดๆ เพราะฉะนั้นย่อมมีบรรดาสโมสรยักษ์ใหญ่ให้ความสนใจคว้าตัวไปร่วมงาน


จากที่กล่าวมา แอนจ์ ยังเป็นกุนซือมากฝีมือที่พร้อมไล่ล่าความสำเร็จในระดับสูง น่าสนใจว่าก้าวต่อไปของเขาจะไปหยุดที่ตรงไหน เราจะพาทุกท่านย้อนไปรู้จักกุนซือสัญชาติออสเตรเลีย รายนี้ให้มากขึ้น ว่าเขาจะมีเส้นทางโค้ชเป็นอย่างไร กว่าจะก้าวมาเป็นเป็นกุนซือประวัติศาสตร์ของท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์

ประวัติ แอนจ์ ปอสเตโคกลู


แอนจ์ ปอสเตโคกลู เกิดเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 1965 ณ กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ก่อนที่ครอบครัวของเขาจะอพยพมาอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย ตั้งแต่ที่เขาอายุเพียงแค่ 5 ขวบ ด้วยสาเหตุที่ประเทศกรีซ ถูกปฏิวัติ ทำให้ธุรกิจของคุณพ่อได้รับผลกระทบจนล้มลง สุดท้ายต้องตัดสินใจข้ามน้ำข้ามทะเลมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในดินแดนจิงโจ้ ด้วยสถานะชาวต่างด้าว


พ่อของเขาต้องทำงานหนักด้วยการเป็นช่างเฟอร์นิเจอร์ แต่ก็มีช่วงเวลาแห่งความสุขเล็กๆ กับการตั้งทีมฟุตบอลเพื่อแข่งขันในหมู่ชาวต่างด้าวด้วยกันเอง ในทุกๆสุดสัปดาห์ แอนจ์ และคุณพ่อ จะเฝ้ารอเวลานี้อยู่เสมอ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการนั่งชมการถ่ายทอดสดแข่งขันฟุตบอลอังกฤษ ถือเป็นช่วงเวลาที่พ่อและลูกได้เชื่อมความสัมพันธ์กัน


จุดนี้เองทำให้ แอนจ์ ปอสเตโคกลู ตกหลุมรักกีฬาฟุตบอลเข้าเต็มเปา และใช้เวลาฝึกฝนตัวเองจนได้โอกาสร่วมทีมเซาท์ เมลเบิร์นฯ ซึ่งเป็นสโมสรที่ก่อตั้งจากผู้อพยพชาวกรีก บ้านเกิดของเขา


แอนจ์ ปอสเตโคกลู สมัยเป็นนักเตะ


แอนจ์ ปอสเตโคกลู เล่นในตำแหน่งฟูลแบ็ก แม้ฝีเท้าอาจจะไม่ได้โดดเด่นมากนัก แต่สิ่งที่ทำได้ดีโดยไม่รู้ตัวคือภาวะความเป็นผู้นำ เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นกัปตันทีมของสโมสรด้วยวัยเพียงแค่ 22 ปี ก่อนจะพาต้นสังกัดเป็นแชมป์ลีกได้ถึง 2 ครั้ง และมีชื่อถูกเรียกติดทีมชาติออสเตรเลีย 4 นัด


ครั้งหนึ่งที่ เฟเรนซ์ ปุสกัส อดีตนักเตะระดับตำนานของโลกฟุตบอลชาวฮังการี เข้ามารับงานคุมทีมเซาท์ เมลเบิร์นฯ และต้องสื่อสารกับนักเตะในทีม แบบที่เขาเองก็พูดภาษาอังกฤษไม่คล่อง ก็เป็น แอนจ์ ปอสเตโคกลู ที่คอยรับหน้าที่ถ่ายทอดวิชาให้กับเพื่อนร่วมทีม ทำให้เขาได้โอกาสเก็บเกี่ยววิชาตั้งแต่ยังเป็นผู้เล่น


ฝีเท้าของ แอนจ์ ปอสเตโคกลู ไม่หวือหวาแต่เปี่ยมไปด้วยวินัยกับการก้มหน้าก้มตาเล่นเพื่อทีม เขาเคยได้รับการติดต่อจากสโมสรในประเทศกรีซ เพื่อดึงตัวไปร่วมทีม แต่สุดท้ายดีลต้องล่มลงไปจากปัญหาอาการบาดเจ็บร้ายแรงที่หัวเข่า สุดท้ายเขาเลือกที่จะแขวนสตั๊ดในวัยเพียงแค่ 27 ปี

 

แอนจ์ ปอสเตโคกลู เริ่มต้นการเป็นโค้ช


แม้ต้องเจออาการบาดเจ็บที่มาพรากเขาไปจากการเป็นนักเตะ แต่เขาไม่เคยหันหลังให้กับฟุตบอล แอนจ์ ปอสเตโคกลู เดินหน้าศึกษาศาสตร์การเป็นโค้ชฟุตบอลอย่างเอาจริงเอาจัง และไม่นานในปี ค.ศ. 1996 ก็ได้โอกาสเริ่มต้นงานโค้ชครั้งแรกกับ เซาท์ เมลเบิร์นฯ ต้นสังกัดสมัยเป็นนักเตะ ในขณะที่ตนเองอายุ 31 ปี


ด้วยความผูกพันและรู้ทุกมุมหญ้าของสโมสรแห่งนี้ เพียงแค่ฤดูกาลที่ 2 ของการคุมทัพ เขาเสกแชมป์ลีกให้กับทีม แถมยังสามารถป้องกันแชมป์ได้อีก 1 สมัย กลายเป็นคนที่สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์กับสโมสรได้ทั้งในฐานะผู้เล่นและโค้ชรวมกัน 4 สมัย


ชื่อเสียงในฐานะกุนซือเริ่มขยายวงกว้างมากขึ้น เขาได้โอกาสคุมทัพเยาวชนทีมชาติออสเตรเลีย ชุดU17 ในปี ค.ศ. 2000 จากนั้นขยับมาคุมทีมชาติชุดU20 ในปี ค.ศ. 2005 ก่อนจะออกโบยบินไปคุมทีมในแผ่นดินเกิด ประเทศกรีซ กับสโมสรพานาไชกิ ในปี ค.ศ. 2008 แต่ไม่นานก็ต้องแยกทางกลับมาทำงานที่ประเทศออสเตรเลียอีกครั้ง


เข้าสู่ ค.ศ. 2009 เขาเริ่มต้นใหม่กับการคุมทีมวิตเทิลซี ซีบราส์ แต่ผ่านไปแค่ 3 เดือนก็เป็นอันต้องแยกทาง จากนั้นก็ได้โยกไปคุมทัพบริสเบน รอร์ และเพียงแค่ฤดูกาลที่2 เขาก็สามารถพาทีมผงาดคว้าแชมป์เอลีก ออสเตรเลีย มาครองได้สำเร็จ และแน่นอนเขาสามารถป้องกันแชมป์เอาไว้ได้อีกครั้งในซีซั่นต่อมา


แอนจ์ ปอสเตโคกลู ได้โอกาสคุมทีมชาติออสเตรเลีย


เข้าสู่ ค.ศ. 2012 เมลเบิร์น วิคตอรี่ ดึงตัว แอนจ์ เข้ามาคุมทัพ แต่เวลาผ่านไปไม่ถึง 2 ฤดูกาลเต็ม เขาก็ได้โอกาสครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตกับการคุมทีมชาติออสเตรเลียชุดใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธ เขาตัดสินใจอำลาสโมสรเพื่อไปรับภารกิจระดับชาติในปี ค.ศ. 2013 


ก่อนจะพาออสเตรเลีย ไปลุยศึกฟุตบอลโลก 2014 รอบสุดท้ายที่ประเทศบราซิล ทำผลงานแพ้ 3 นัดรวด กับการอยู่ร่วมกลุ่มสุดโหดที่มีทั้ง เนเธอร์แลนด์, ชิลี และสเปน


แม้จะผิดหวังในบอลโลก แต่เขาก็กู้ชื่อด้วยการพา ออสเตรเลีย คว้าแชมป์เอเชีย มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ถึง 2 สมัย ในปี ค.ศ. 2015 และ 2017 ก่อนจะทิ้งทวนผลงานกับทีมชาติด้วยการพาทีมตีตั๋วเข้ารอบสุดท้ายในศึกฟุตบอลโลก 2018 

แอนจ์ ปอสเตโคกลู กับการคุมโยโกฮามา เอฟ มารินอส


สถานีต่อไป ถึงเวลาที่เขาจะออกไปหาประสบการณ์นอกประเทศอีกครั้ง คราวนี้เขาตัดสินใจค่อยๆขยับเดินทีละก้าว กับการรับงานคุมทีมโยโกฮามา เอฟ มารินอส ในศึกเจลีก ญี่ปุ่น ในปี 2018 


และแน่นอนว่าเพียงแค่ฤดูกาลที่2 เขาก็สามารถพาทีมผงาดคว้าแชมป์เจลีก มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ นับเป็นการกลับมาคว้าแชมป์อีกครั้งของสโมสรในรอบ 15 ปีเลยทีเดียว แถมยังปรุงแต่งฝีเท้าของ ธีราทร บุญมาทัน แบ็กซ้ายทีมชาติไทยให้กลายเป็นนักเตะแถวหน้าของศึกเจลีก ด้วยผลงานที่ทำได้อย่างโดดเด่นและคงเส้นคงวา 


แอนจ์ ปอสเตโคกลู ลุยเวทียุโรปกับกลาสโกว์ เซลติก


เข้าสู่ปี ค.ศ. 2021 เขาได้รับโอกาสครั้งสำคัญในชีวิต กับการไปแก้ไขปมในเวทีระดับยุโรปอีกครั้ง สโมสรกลาสโกว์ เซลติก ยักษ์ใหญ่ของสกอตแลนด์ ติดต่อให้เขาไปคุมทัพ ซึ่งแน่นอนว่า แอนจ์ ไม่ปล่อยโอกาสครั้งนี้ให้หลุดลอยไป


เพียงแค่ฤดูกาลแรก แอนจ์ ใช้ประสบการณ์ทั้งผิดหวังและสมหวังใส่ไปกับสโมสรแห่งนี้ ก่อนจะพาทีมคว้าดับเบิลแชมป์(สกอตติช พรีเมียร์ชิพ และบอล) ถ้วยมาครองได้สำเร็จ ไม่เพียงแค่นั้น ในฤดูกาลต่อมาเขาพาสโมสรครองความยิ่งใหญ่ด้วยการคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ กวาดทุกรายการในประเทศ ถึงเวลานี้ชื่อของ แอนจ์ ปอสเตโคกลู กลายเป็นกุนซือที่ได้รับการจับตามองในเวทียุโรป


แอนจ์ ปอสเตโคกลู เปิดตัวคุมท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์


ประจวบเหมาะกับทางฝั่ง ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ที่กำลังไร้กุนซือ และมองหาผู้นำทีมคนใหม่ พวกเขาตัดสินใจไปดึงตัว แอนจ์ เข้ามาคุมทัพก่อนออกสตาร์ทฤดูกาล 2023-24 


คำให้สัมภาษณ์แรกของเขาบอกว่าเขารู้ตัวเองว่าไม่ใช่ตัวเลือกแรกของสโมสร แต่เป็นตัวเลือกสุดท้าย คล้ายกับตอนที่ไปเซลติก แต่เขาก็ยินดีรับมัน และพร้อมจะทุ่มเทแรงกายแรงใจปลุกชีพสโมสรแห่งนี้ให้มุ่งหน้าสู่ความสำเร็จ


จบฤดูกาลแรก สเปอร์ มือเปล่า พร้อมกับคำมั่นสัญญาของ แอนจ์ ว่าจากประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมา ฤดูกาลที่2 ของเขามีถ้วยแชมป์ติดมือเสมอ 

ในตอนนั้นแฟนบอลหลายคนมองเป็นข้อแก้ตัวที่น่าขำ เพราะจริงอยู่ที่สถิติการทำงานของเขาเป็นเช่นนั้น แต่กับ สเปอร์ ที่ไร้ถ้วยแชมป์มายาวนาน ไม่ว่ากุนซือที่ขึ้นชื่อว่าการันตีแชมป์กี่คนต่อกี่คนเข้ามาก็มือเปล่าออกไปทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นอันโตนิโอ คอนเต้ หรือ โชเซ่ มูรินโญ่ ยิ่งเมื่อเทียบกับสโมสรก่อนๆที่เขาคุม ถือเป็นงานที่หนักหนาสาหัสและเป็นเรื่องยากที่จะทำได้อย่างที่ลั่นวาจา


ใครจะคิดว่าเมื่อเข้าสู่ฤดูกาลที่2 กุนซือผู้นี้จะทำได้จริงอย่างที่พูดเอาไว้ กับการพาสโมสรคว้าแชมป์ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก พร้อมสิทธิ์ไปลุยถ้วยใหญ่ของยุโรปในซีซั่นหน้า 


แม้บทสรุปสุดท้ายเขาจะไม่ได้ไปต่อกับทีม แต่เชื่อว่าผลงานของเขากับ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ก็เป็นเครื่องการันตีแล้วว่ากุนซือผู้นี้มีของ โดยเฉพาะปรัชญาการทำทีมเล่นเกมรุกชนิดที่ไม่มีเบรก แม้นำห่าง 2-0 หรือ 3-0 เขายังสั่งลูกทีมให้เดินหน้าฆ่ามัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เวลาสเปอร์เก็บชัย พวกเขาจะชนะคู่แข่งที่ขาดลอยอยู่เสมอ ตรงกันข้าม ในยามที่ปราชัย ก็จะแพ้ด้วยช่องว่างเพียงแค่ 1 ประตูอยู่บ่อยครั้ง


น่าสนใจว่าสถานีต่อไปของ แอนจ์ ปอสเตโคกลู จะมีทีมไหนดึงตัวไปร่วมงาน แต่ไม่ว่าสุดท้ายจะลงเอยที่ใด สโมสรแห่งนั้นจะมีฟอร์มการเล่นที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างไม่ต้องสงสัย โปรดคอยติดตามชม...

อ่านเรื่องราวอื่นๆที่น่าสนใจ

ประวัติ มิลอส เคอร์เคซ แบ็กซ้ายที่ ลิเวอร์พูล ต้องการตัว


ประวัติ เลียม ดีแลป ว่าที่กองหน้าคนใหม่ของเชลซี


ประวัติ รายาน แชร์กี้ เด็กปั้น ลียง ที่กำลังเนื้อหอม

ที่มาข้อมูล : thestandard,wikipedia

ที่มารูปภาพ : AFP