ส่องประวัติ 'เควิน เดอ บรอยน์' ตำนานนักเตะที่ยังไม่สิ้นสุด

ส่องประวัติ 'เควิน เดอ บรอยน์' ตำนานนักเตะที่ยังไม่สิ้นสุด

หลังจบฤดูกาลที่ผ่านมา ข่าวที่แฟนบอลหลายคนทราบกันดี และรู้กันก่อนหน้านั้นมาสักพักแล้วก็คือ การที่ เควิน เดอ บรอยน์ ยอดกองกลางทีมชาติเบลเยียมจะอำลาทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หลังค้าแข้งในถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม มายาวนาน 10 ปีเต็ม และฝากผลงานอันทรงคุณค่าเอาไว้อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของฟอร์มการเล่นส่วนตัวอันยอดเยี่ยม รวมถึงยังช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จคว้าแชมป์รายการสำคัญๆ มาได้ครบถ้วน นั่นทำให้ เดอ บรอยน์ อยู่ในสถานะ "ตำนาน" อีกคนหนึ่งของทีมเรือใบวีฟ้าอย่างไม่ต้องสงสัย

อย่างไรก็ตาม การอำลาทีมของเขานั้น แม้จะรู้ดีว่า เดอ บรอยน์ เข้าข่ายเป็นผู้เล่นที่อายุเริ่มมากแล้ว ทำให้ แมนฯ ซิตี้ มองว่าการไม่ต่อสัญญาและแยกทางกันไปเป็นผลดีกับทั้งสองฝ่ายมากกว่า แต่กระนั้นทุกคนต่างก็รู้ดีว่า เดอ บรอยน์ ยังคงเป็นผู้เล่นที่มีคุณภาพสูงมาก และยังสามารถโลดแล่นในลีกระดับสูงของยุโรปต่อไปได้ โดยที่ยังไม่จำเป็นต้องไปเล่นในสหรัฐฯ หรือในซาอุดิอาระเบีย

ท้ายที่สุดแล้ว เดอ บรอยน์ จึงเลือกย้ายไปเล่นให้ นาโปลี ในศึก กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี แบบไม่มีค่าตัว ทำให้หลายคนมองว่าทีมแชมป์ เซเรีย อา ทีมล่าสุดได้ของดีไปแบบไม่น่าเชื่อ และการมาของ เดอ บรอยน์ ยังทำให้ เซเรีย อา กลายเป็นลีกที่น่าสนใจเพิ่มมากขึ้น ในฤดูกาลใหม่ 2025-26 ที่กำลังจะเปิดฉากขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้

วันนี้เราจะมาส่องประวัติของ เดอ บรอยน์ กันหน่อยว่าเส้นทางอาชีพที่ผ่านมาของแข้งรายนี้นั้นเป็นอย่างไร ก่อนจะกลายมาเป็นตำนานอีกคนหนึ่งของ แมนฯ ซิตี้...

ชีวิตในวัยเด็กและการเริ่มต้นอาชีพในเบลเยียม

เควิน เดอ บรอยน์ เกิดเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ปี 1991 ที่เมืองดรอนเจน ประเทศเบลเยียม (ปัจจุบันมีอายุ 34 ปี) เขาเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุเพียง 6 ขวบกับสโมสรท้องถิ่นอย่าง เควีวี ดรอนเก้น ก่อนจะย้ายไปอยู่กับทีมเยาวชนของ เกนท์ ในปี 1999 ช่วงเวลาที่อยู่กับ เกนท์ นั้น เดอ บรอยน์ ได้รับการฝึกฝนทักษะพื้นฐานอย่างเข้มข้นจากโค้ชที่เน้นไปที่เทคนิคส่วนตัว ซึ่งเขาเองก็ยอมรับว่าการฝึกฝนในช่วงนั้นมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการพัฒนาฝีเท้าของเขา

จากนั้นในปี 2005 ด้วยพรสวรรค์ที่โดดเด่น เดอ บรอยน์ ได้ย้ายไปอยู่กับทีมเยาวชนของ เกงค์ ซึ่งเป็นทีมที่ขึ้นชื่อเรื่องการปั้นนักเตะดาวรุ่ง ที่นั่นเขาได้พัฒนาฝีเท้าอย่างต่อเนื่องจนได้รับโอกาสให้ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในปี 2008 และได้ลงสนามเป็นครั้งแรกในฐานะนักฟุตบอลอาชีพเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2009 ในเกมที่ เกงค์ พ่ายต่อ ชาร์เลอรัว 3-0 

แม้จะเริ่มต้นจากการเป็นผู้เล่นสำรอง แต่ เดอ บรอยน์ ก็ค่อยๆ สร้างชื่อเสียงให้ตัวเองด้วยฟอร์มการเล่นที่สม่ำเสมอ เขาเป็นกำลังสำคัญในการพา เกงค์ คว้าแชมป์ เบลเจียน โปร ลีก ในฤดูกาล 2010-11 ซึ่งเป็นแชมป์ลีกสูงสุดของเบลเยียม หลังจากทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจด้วยการทำ 5 ประตูกับอีก 16 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 32 นัดในลีก ฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นของเขาทำให้ เดอ บรอยน์ เริ่มเป็นที่จับตามองของสโมสรยักษ์ใหญ่ทั่วยุโรป

สรุปข่าว

ส่องประวัติ 'เควิน เดอ บรอยน์' เส้นทางอาชีพของยอดกองกลางเบลเยียม จากดาวรุ่งสู่การเป็นตำนานนักเตะของ แมนฯ ซิตี้ และยังไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้นกับบทบาทใหม่ที่ นาโปลี

หลังจบฤดูกาลที่ผ่านมา ข่าวที่แฟนบอลหลายคนทราบกันดี และรู้กันก่อนหน้านั้นมาสักพักแล้วก็คือ การที่ เควิน เดอ บรอยน์ ยอดกองกลางทีมชาติเบลเยียมจะอำลาทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หลังค้าแข้งในถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม มายาวนาน 10 ปีเต็ม และฝากผลงานอันทรงคุณค่าเอาไว้อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของฟอร์มการเล่นส่วนตัวอันยอดเยี่ยม รวมถึงยังช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จคว้าแชมป์รายการสำคัญๆ มาได้ครบถ้วน นั่นทำให้ เดอ บรอยน์ อยู่ในสถานะ "ตำนาน" อีกคนหนึ่งของทีมเรือใบวีฟ้าอย่างไม่ต้องสงสัย

อย่างไรก็ตาม การอำลาทีมของเขานั้น แม้จะรู้ดีว่า เดอ บรอยน์ เข้าข่ายเป็นผู้เล่นที่อายุเริ่มมากแล้ว ทำให้ แมนฯ ซิตี้ มองว่าการไม่ต่อสัญญาและแยกทางกันไปเป็นผลดีกับทั้งสองฝ่ายมากกว่า แต่กระนั้นทุกคนต่างก็รู้ดีว่า เดอ บรอยน์ ยังคงเป็นผู้เล่นที่มีคุณภาพสูงมาก และยังสามารถโลดแล่นในลีกระดับสูงของยุโรปต่อไปได้ โดยที่ยังไม่จำเป็นต้องไปเล่นในสหรัฐฯ หรือในซาอุดิอาระเบีย

ท้ายที่สุดแล้ว เดอ บรอยน์ จึงเลือกย้ายไปเล่นให้ นาโปลี ในศึก กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี แบบไม่มีค่าตัว ทำให้หลายคนมองว่าทีมแชมป์ เซเรีย อา ทีมล่าสุดได้ของดีไปแบบไม่น่าเชื่อ และการมาของ เดอ บรอยน์ ยังทำให้ เซเรีย อา กลายเป็นลีกที่น่าสนใจเพิ่มมากขึ้น ในฤดูกาลใหม่ 2025-26 ที่กำลังจะเปิดฉากขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้

วันนี้เราจะมาส่องประวัติของ เดอ บรอยน์ กันหน่อยว่าเส้นทางอาชีพที่ผ่านมาของแข้งรายนี้นั้นเป็นอย่างไร ก่อนจะกลายมาเป็นตำนานอีกคนหนึ่งของ แมนฯ ซิตี้...

ชีวิตในวัยเด็กและการเริ่มต้นอาชีพในเบลเยียม

เควิน เดอ บรอยน์ เกิดเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ปี 1991 ที่เมืองดรอนเจน ประเทศเบลเยียม (ปัจจุบันมีอายุ 34 ปี) เขาเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุเพียง 6 ขวบกับสโมสรท้องถิ่นอย่าง เควีวี ดรอนเก้น ก่อนจะย้ายไปอยู่กับทีมเยาวชนของ เกนท์ ในปี 1999 ช่วงเวลาที่อยู่กับ เกนท์ นั้น เดอ บรอยน์ ได้รับการฝึกฝนทักษะพื้นฐานอย่างเข้มข้นจากโค้ชที่เน้นไปที่เทคนิคส่วนตัว ซึ่งเขาเองก็ยอมรับว่าการฝึกฝนในช่วงนั้นมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการพัฒนาฝีเท้าของเขา

จากนั้นในปี 2005 ด้วยพรสวรรค์ที่โดดเด่น เดอ บรอยน์ ได้ย้ายไปอยู่กับทีมเยาวชนของ เกงค์ ซึ่งเป็นทีมที่ขึ้นชื่อเรื่องการปั้นนักเตะดาวรุ่ง ที่นั่นเขาได้พัฒนาฝีเท้าอย่างต่อเนื่องจนได้รับโอกาสให้ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในปี 2008 และได้ลงสนามเป็นครั้งแรกในฐานะนักฟุตบอลอาชีพเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2009 ในเกมที่ เกงค์ พ่ายต่อ ชาร์เลอรัว 3-0 

แม้จะเริ่มต้นจากการเป็นผู้เล่นสำรอง แต่ เดอ บรอยน์ ก็ค่อยๆ สร้างชื่อเสียงให้ตัวเองด้วยฟอร์มการเล่นที่สม่ำเสมอ เขาเป็นกำลังสำคัญในการพา เกงค์ คว้าแชมป์ เบลเจียน โปร ลีก ในฤดูกาล 2010-11 ซึ่งเป็นแชมป์ลีกสูงสุดของเบลเยียม หลังจากทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจด้วยการทำ 5 ประตูกับอีก 16 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 32 นัดในลีก ฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นของเขาทำให้ เดอ บรอยน์ เริ่มเป็นที่จับตามองของสโมสรยักษ์ใหญ่ทั่วยุโรป

ช่วงเวลาที่ท้าทายในอังกฤษและเยอรมนี

ในเดือนมกราคมปี 2012 วันสุดท้ายของตลาดนักเตะหน้าหนาว ความฝันที่จะได้ค้าแข้งในลีกใหญ่ของยุโรปของ เดอ บรอยน์ ก็เป็นจริง เมื่อเขาตกลงเซ็นสัญญากับ เชลซี ทีมดังในศึกพรีเมียร์ลีก ด้วยค่าตัว 7 ล้านปอนด์ โดย เดอ บรอยน์ ที่ตอนนั้นอายุ 21 ปี จะเล่นให้ เกงค์ ต่อจนจบฤดูกาล 2011-12 และจะย้ายมายังถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ในช่วงซัมเมอร์ ซึ่งเจ้าตัวเปิดเผยว่าการได้ย้ายมายัง เชลซี ถือเป็นเหมือนความฝันที่เป็นจริง

อย่างไรก็ตาม การค้าแข้งในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ กลับไม่เป็นอย่างที่เขาคาดหวัง ในฤดูกาลแรกเขาถูกปล่อยให้ แวร์เดอร์ เบรเมน ทีมในบุนเดสลีกา เยอรมนี ยืมตัวไปใช้งานในฤดูกาล 2012-13 ซึ่ง เดอ บรอยน์ ก็โชว์ฟอร์มได้น่าประทับใจ หลังทำไป 10 ประตูกับ 10 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 34 นัดในทุกรายการ ซึ่งเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพที่แท้จริงของเขา

แต่กระนั้น แม้จะทำผลงานได้ดีในการยืมตัว แต่เมื่อเขากลับมายังเชลซีในฤดูกาล 2013-14 ก็ยังคงได้รับโอกาสน้อยอยู่ดี โดย เดอ บรอยน์ ได้โอกาสจาก โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือของทีมในเวลานั้นลงเล่นให้ เชลซี ไปแค่ 3 นัดเท่านั้น ในช่วงครึ่งแรกของฤดูกาล ทำให้ในที่สุด เดอ บรอยน์ ตัดสินใจย้ายทีมอย่างถาวร โดยเลือกย้ายไปร่วมทีม โวล์ฟสบวร์ก ในบุนเดสลีกาด้วยค่าตัวประมาณ 18 ล้านปอนด์ ในเดือนมกราคมปี 2014

ที่ โวล์ฟสบวร์ก เดอ บรอยน์ ได้แสดงความสามารถของเขาได้อย่างเต็มที่ เขาเป็นกำลังหลักในการพาทีมจบอันดับ 2 ในบุนเดสลีกา ฤดูกาล 2014-15 และคว้าแชมป์ เดเอฟเบ โพคาล มาครองได้สำเร็จ ผลงานส่วนตัวของเขาในฤดูกาลนั้นน่าทึ่งมาก หลังทำไป 16 ประตูกับอีก 28 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 51 นัดในทุกรายการ ทำให้เขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของเยอรมนีไปครอง และได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในกองกลางที่ดีที่สุดในโลก ณ ขณะนั้น

ยุคทองกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

ด้วยฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นกับ โวล์ฟสบวร์ก ทำให้ยักษ์ใหญ่จากอังกฤษอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตัดสินใจทุ่มเงินก้อนโต คว้าตัว เดอ บรอยน์ มาร่วมทีมในเดือนสิงหาคมปี 2015 ด้วยค่าตัวเป็นสถิติสโมสรในขณะนั้นที่ 55 ล้านปอนด์ หรือราว 2,419 ล้านบาท การย้ายทีมครั้งนี้เป็นการกลับมายังพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง และในครั้งนี้เองที่ เดอ บรอยน์ ได้พิสูจน์ว่าเขาคือราชันบนสนามตัวจริง

ช่วงแรกกับการพิสูจน์ตัวเอง (2015-2017)

เดอ บรอยน์ เริ่มต้นกับ แมนฯ ซิตี้ ได้อย่างน่าประทับใจทันที เขาปรับตัวเข้ากับทีมได้อย่างรวดเร็วและกลายเป็นหัวใจในแดนกลางของทีมภายใต้การคุมทีมของ มานูเอล เปเยกรินี่ แม้จะมีอาการบาดเจ็บรบกวนในช่วงท้ายฤดูกาล 2015-16 แต่เขาก็ยังคงทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการทำไป 16 ประตูกับอีก 13 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 41 นัดในทุกรายการ พาทีมคว้าแชมป์ ลีก คัพ มาครองได้ รวมถึงมีบทบาทสำคัญในการพาทีมเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร

หลังจากนั้น เมื่อ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เข้ามาคุมทีมต่อจาก เปเยกรินี่ ในฤดูกาล 2016-17 เดอ บรอยน์ ยังคงเป็นผู้เล่นคนสำคัญที่ เป๊ป ให้ความไว้วางใจ เขาก้าวขึ้นมาเป็นกองกลางตัวรุกที่ เป๊ป ใช้เป็นแกนหลักในการสร้างเกมรุกที่หลากหลายและเฉียบคม โดยในฤดูกาลนี้เขาทำไป 7 ประตูกับอีก 20 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 49 เกมในทุกรายการ แม้จะไม่ได้แชมป์อะไรเลยในฤดูกาลนี้ แต่ฟอร์มของเขาเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำคัญที่เขามีต่อการสร้างโอกาสการทำประตูของทีม

ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด (2017-2025)

นี่คือช่วงเวลาที่ เดอ บรอยน์ก้าว ขึ้นมาเป็นกองกลางระดับโลกอย่างเต็มตัว เขากลายเป็นผู้เล่นที่สมบูรณ์แบบทั้งการจ่ายบอล การทำประตู และการเป็นผู้นำในแดนกลาง

ฤดูกาล 2017-18 : สร้างประวัติศาสตร์ 100 แต้ม

เดอ บรอยน์ เป็นกำลังสำคัญในการพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยคะแนนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 100 แต้ม เขามีส่วนร่วมกับเกมรุกอย่างมหาศาล และได้รับรางวัลเพลย์เมกเกอร์แห่งปีของพรีเมียร์ลีก จากผลงาน 16 แอสซิสต์ในลีก และทำไปทั้งสิ้น 12 ประตูกับ 21 แอสซิสต์ในฤดูกาลดังกล่าว นอกจากแชมป์พรีเมียร์ลีกแล้ว ยังคว้าแชมป์ ลีก คัพ ได้อีกรายการด้วย

ฤดูกาล 2018-19 : การต่อสู้กับอาการบาดเจ็บ

แม้จะเผชิญกับอาการบาดเจ็บหนักที่หัวเข่าและต้องพักยาว ทำให้ได้ลงเล่นในลีกไปเพียง 19 นัด แต่เขาก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในการพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง พร้อมทั้งยังพาทีมคว้าแชมป์บอลถ้วยภายในประเทศครบทั้ง เอฟเอคัพ และ ลีกคัพ โดยผลงานในซีซั่นนี้ของ เดอ บรอยน์ ยังคงยอดเยี่ยม เมื่อทำไป 6 ประตูกับ 11 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 32 เกมในทุกรายการ

ฤดูกาล 2019-20 : คว้ารางวัล PFA Player of the Year

เดอ บรอยน์ ระเบิดฟอร์มได้อย่างสุดยอดในฤดูกาลนี้ เขายิงไป 13 ประตูและทำสถิติเทียบเท่า เธียร์รี อองรี ในการทำ 20 แอสซิสต์ในพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดตลอดกาล ทำให้เขาได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ PFA เป็นครั้งแรก และเพลย์เมกเกอร์แห่งปีของพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งที่สอง และแน่นอนว่าในฤดูกาลนี้ แมนฯ ซิตี้ ยังเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกและ ลีก คัพ

ฤดูกาล 2022-23 : การคว้าทริปเปิ้ลแชมป์

ในฤดูกาล 2022-23 นี่คือจุดพีกที่สุดของ เดอ บรอยน์ และ แมนฯ ซิตี้ อย่างแท้จริง เขาเป็นแกนหลักของทีม เมื่อทำไป 10 ประตูกับอีก 31 แอสซิสต์รวมทุกรายการ ช่วยให้ แมนฯ ซิตี้ ทำ "ทริปเปิ้ลแชมป์" นั่นคือการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้ในปีเดียวกัน ทำสถิติเป็นทีมที่สองของอังกฤษที่ทำได้ ต่อจาก แมนฯ ยูไนเต็ด ในปี 1998-99  นอกจากนี้ การจับคู่ของเขากับ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ในฤดูกาลนี้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับวงการฟุตบอลเป็นอย่างมาก ด้วยการจ่ายบอลที่แม่นยำของเขาทำให้ ฮาแลนด์ ทำประตูได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ

ฤดูกาล 2024-25 : ปิดฉากด้วยความยิ่งใหญ่

หลังจากพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้ถึง 6 สมัย, เอฟเอ คัพ 2 สมัย, ลีก คัพ 5 สมัย และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย เดอ บรอยน์ ได้ตัดสินใจย้ายไปร่วมทีมนาโปลีหลังหมดสัญญากับทีม ทำให้เป็นการปิดฉาก 10 ปีอันยิ่งใหญ่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ในที่สุด

ตลอดระยะเวลาที่อยู่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เดอ บรอยน์ ได้ทำผลงานได้อย่างสม่ำเสมอและสร้างสถิติสำคัญไว้มากมาย เขาทำไป 108 ประตูจาก 422 นัดในทุกรายการ และที่น่าประทับใจยิ่งกว่าคือจำนวนแอสซิสต์ที่มากถึง 177 ครั้ง ทำให้เขาได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในตำนานของสโมสรและเป็นหนึ่งในกองกลางที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีกอย่างแท้จริง

บทบาทกับทีมชาติเบลเยียม

นอกเหนือจากความสำเร็จในระดับสโมสรแล้ว เควิน เดอ บรอยน์ ยังเป็นแกนหลักและกัปตันทีมชาติเบลเยียม เขาเป็นหนึ่งในผู้เล่น "ยุคทอง" (Golden Generation) ของเบลเยียม ที่ประกอบด้วยผู้เล่นระดับโลกมากมาย

ฟุตบอลโลก 2018 : เดอ บรอยน์ เป็นกำลังสำคัญในการพาทีมชาติเบลเยียมคว้าอันดับสามในฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย ซึ่งเป็นผลงานที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีมชาติ

ยูโร 2020 และฟุตบอลโลก 2022 : แม้ทีมชาติเบลเยียมจะไม่ได้ไปถึงรอบชิงชนะเลิศ แต่ เดอ บรอยน์ ก็ยังคงโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นและเป็นหัวใจสำคัญในแดนกลางของทีมเสมอ ปัจจุบันเขายังคงรับหน้าที่เป็นกัปตันทีมชาติเบลเยียม แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำและความสำคัญของเขาต่อทีม หลังจากที่เริ่มติดทีมชาติครั้งแรกเมื่อปี 2010 ปัจจุบัน เดอ บรอยน์ เล่นให้เบลเยียมมาแล้ว 111 นัด ทำไป 31 ประตูกับอีก 52 แอสซิสต์ ถือเป็นสถิติที่น่าทึ่งเป็นอย่างมาก

เส้นทางอาชีพของ เควิน เดอ บรอยน์ คือเรื่องราวของการไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ตั้งแต่การถูกมองข้ามที่ เชลซี ไปจนถึงการเป็นกองกลางระดับโลกที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เขาได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตำแหน่งกองกลางในยุคปัจจุบัน และด้วยความสำเร็จมากมายทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ ทำให้เขาได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลเบลเยียมและเป็นตำนานของพรีเมียร์ลีกอย่างแท้จริง

หลังจากนี้เราต้องมาติดตามดูกันต่อว่าบทใหม่ในชีวิตของ เดอ บรอยน์ ในการย้ายไปในเล่นใน กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี จะออกมาเป็นอย่างไร บนวัย 34 ปี เขาจะยังทำผลงานได้อย่างสุดยอดเหมือนเดิมหรือไม่ ในฤดูกาลนี้เราจะได้เห็นกันอย่างแน่นอน...

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : AFP