
หลังจากโพเดี้ยมแรกของทีมวิลเลียมส์ เรซซิ่ง ในศึกฟอร์มูล่าวัน ฤดูกาล 2025 เกิดขึ้นในสนามที่17 กับศึกอาเซอร์ไบจาน กรังด์ปรีซ์ ที่สนามบากู สตรีท เซอร์กิต เมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา
ภายใต้ผลงานของ คาร์ลอส ไซน์ซ ที่เข้าเส้นชัยในอันดับที่3 ตามหลัง แม็กซ์ เวอร์สเตปเปน เจ้าของแชมป์โลก 4 สมัย จากเร้ดบูลล์ เรซิ่ง ส่วนอันดับ2 เป็น จอร์จ รัสเซลล์ จากทีมเมอร์ซิเดส
นับเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมของเขาและทีม หลังจากที่ฝ่าฟันอุปสรรค์ต่างๆมามากมายตลอดตั้งแต่เริ่มฤดูกาล ไม่แปลกใจที่เจ้าตัวจะให้สัมภาษณ์ถึงการขึ้นโพเดี้ยมครั้งนี้ว่าเป็นความรู้สึกที่หอมหวานที่สุด มากกว่าตอนที่เขาเคยสัมผัสกับโพเดี้ยมแรกในชีวิตนักขับของตัวเองเสียอีก
เพราะด้วยความที่ทีมวิลเลียมส์ เรซซิ่ง ไม่ได้ถูกมองว่าเป็น 1 ใน 3 ทีมใหญ่ที่จะลุ้นแชมป์โลก แต่การได้สอดแทรกตัวเองขึ้นไปบนโพเดี้ยมในฐานะอันดับ3 เหนือบรรดาทีมเต็ง ก็นับเป็นความสำเร็จที่พวกเขาควรได้รับคำชื่นชม
ด้วยผลงานที่กลับมายอดเยี่ยมอีกครั้งของ คาร์ลอส ไซน์ซ เราจึงขอโอกาสพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับนักขับรายนี้กันให้มากขึ้น ว่าตลอดช่วงเวลาอาชีพที่ผ่านมา จะต้องผ่านอะไรมาบ้าง
ประวัติ คาร์ลอส ไซน์ซ
คาร์ลอส ไซน์ซ จูเนียร์ เกิดเมื่อวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1994 ที่กรุงมาดริด เมืองหลวงของประเทศสเปน โดยเป็นลูกชายของ คาร์ลอส ไซนซ์ ซีเนียร์ ตำนานนักขับแรลลี่(WRC2) เจ้าของแชมป์โลก 2 สมัย
ด้วยความที่เขามี DNA นักขับที่ถูกส่งต่อมาทางสายเลือดโดยตรง แถมในวัยเด็กก็ถูกปลูกฝังให้รักในความเร็วเพื่อดำเนินรอยตามคุณพ่อ ทำให้ชีวิตส่วนใหญ่ก็ได้โอกาสวนเวียนอยู่กับสนามแข่งรถ
ไซน์ซ เริ่มต้นด้วยการแข่งรถโกคาร์ท ในปี2006 และการได้วิชาจากคุณพ่อของเขาก็ยิ่งช่วยยกระดับฝีมือได้แบบก้าวกระโดด เขาเริ่มเก็บชัยชนะและคว้าแชมป์ในระดับเยาวชนมากมายหลายรายการ
สรุปข่าว
หลังจากโพเดี้ยมแรกของทีมวิลเลียมส์ เรซซิ่ง ในศึกฟอร์มูล่าวัน ฤดูกาล 2025 เกิดขึ้นในสนามที่17 กับศึกอาเซอร์ไบจาน กรังด์ปรีซ์ ที่สนามบากู สตรีท เซอร์กิต เมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา
ภายใต้ผลงานของ คาร์ลอส ไซน์ซ ที่เข้าเส้นชัยในอันดับที่3 ตามหลัง แม็กซ์ เวอร์สเตปเปน เจ้าของแชมป์โลก 4 สมัย จากเร้ดบูลล์ เรซิ่ง ส่วนอันดับ2 เป็น จอร์จ รัสเซลล์ จากทีมเมอร์ซิเดส
นับเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมของเขาและทีม หลังจากที่ฝ่าฟันอุปสรรค์ต่างๆมามากมายตลอดตั้งแต่เริ่มฤดูกาล ไม่แปลกใจที่เจ้าตัวจะให้สัมภาษณ์ถึงการขึ้นโพเดี้ยมครั้งนี้ว่าเป็นความรู้สึกที่หอมหวานที่สุด มากกว่าตอนที่เขาเคยสัมผัสกับโพเดี้ยมแรกในชีวิตนักขับของตัวเองเสียอีก
เพราะด้วยความที่ทีมวิลเลียมส์ เรซซิ่ง ไม่ได้ถูกมองว่าเป็น 1 ใน 3 ทีมใหญ่ที่จะลุ้นแชมป์โลก แต่การได้สอดแทรกตัวเองขึ้นไปบนโพเดี้ยมในฐานะอันดับ3 เหนือบรรดาทีมเต็ง ก็นับเป็นความสำเร็จที่พวกเขาควรได้รับคำชื่นชม
ด้วยผลงานที่กลับมายอดเยี่ยมอีกครั้งของ คาร์ลอส ไซน์ซ เราจึงขอโอกาสพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับนักขับรายนี้กันให้มากขึ้น ว่าตลอดช่วงเวลาอาชีพที่ผ่านมา จะต้องผ่านอะไรมาบ้าง
ประวัติ คาร์ลอส ไซน์ซ
คาร์ลอส ไซน์ซ จูเนียร์ เกิดเมื่อวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1994 ที่กรุงมาดริด เมืองหลวงของประเทศสเปน โดยเป็นลูกชายของ คาร์ลอส ไซนซ์ ซีเนียร์ ตำนานนักขับแรลลี่(WRC2) เจ้าของแชมป์โลก 2 สมัย
ด้วยความที่เขามี DNA นักขับที่ถูกส่งต่อมาทางสายเลือดโดยตรง แถมในวัยเด็กก็ถูกปลูกฝังให้รักในความเร็วเพื่อดำเนินรอยตามคุณพ่อ ทำให้ชีวิตส่วนใหญ่ก็ได้โอกาสวนเวียนอยู่กับสนามแข่งรถ
ไซน์ซ เริ่มต้นด้วยการแข่งรถโกคาร์ท ในปี2006 และการได้วิชาจากคุณพ่อของเขาก็ยิ่งช่วยยกระดับฝีมือได้แบบก้าวกระโดด เขาเริ่มเก็บชัยชนะและคว้าแชมป์ในระดับเยาวชนมากมายหลายรายการ
ในปี 2010 เขาได้โอกาสขยับเข้าร่วมการแข่งขันฟอร์มูลาในรุ่นจูเนียร์ และเพียงไม่นานก็เดินหน้าไล่กวาดชัยชนะในระดับประเทศต่อยอดถึงระดับทวีป ผลงานชิ้นโบว์แดงในเวลานั้นคือการได้รองแชมป์ประเทศสเปน ในปี 2009 ตามด้วยแชมป์จูเนียร์โมนาโกคาร์ทคัพ ต่อเนื่องด้วยการคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศในการแข่งขันชิงแชมป์ยุโรป
ด้วยผลงานที่ฉายแววอนาคตไกล ทำให้ได้โอกาสเข้าร่วมทีมเรดบูลล์ จูเนียร์ ในปี 2010 เพื่อพัฒนาและต่อยอดสู่ความเป็นเลิศ เขาได้โอกาสชิมลางในการแข่งขัน F3 ในปี 2012 ซึ่งผลงานก็ถือว่าเป็นไปในระดับที่น่าพอใจ คว้าชัยชนะไปได้ 4 รายการ และจบบนโพเดี้ยมไปถึง 9 ครั้ง และจบการแข่งขันในอันดับที่9
ในปี 2013 ไซน์ซ ได้โอกาสเข้าร่วมการแข่งขัน GP3 Series เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ของตัวเอง ซึ่งผลงานภาพรวมก็ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ จากนั้นเขาก็เข้าร่วมในศึกฟอร์มูล่าเรโนลต์ 3.5 เป็นครั้งแรกในปีเดียวกัน แต่ก็พลาดการแข่งขันไปหลายสนาม เพราะต้องการโฟกัสไปที่ศึก GP3 Series ที่ผลงานกำลังไปได้สวย
ในระหว่างนั้นเขาก็ได้โอกาสทดสอบขับรถฟอร์มูล่าวัน ทั้งของทีม Toro Rosso และ Red Bull จนกระทั่งเข้าสู่ปี 2014 ไซน์ซ ประสบความสำเร็จกับการคว้าแชมป์ Formula Renault 3.5 Series ทำให้ได้สิทธิ์ทดลองขับรถ RB10 ของทีมเรดบูลล์ ซึ่งภาพรวมก็เป็นที่น่าประทับใจ
คาร์ลอส ไซน์ซ เริ่มต้นแข่งขัน F1
เข้าสู่ปี 2015 เขาเปิดตัวมาในฐานะนักแข่ง F1 ภายใต้สังกัดทีมToro Rosso (ทีมลูกของ Red Bull) พร้อมกับหมายเลข 55 โดยมี แม็กซ์ เวอร์สเตปเปน เป็นเพื่อนร่วมทีม ซึ่งเขาโชว์ผลงานได้น่าประทับใจทันทีตั้งแต่การแข่งขันสนามแรกในศึกออสเตรเลียน กรังด์ปรีซ์ ด้วยการจบอันดับที่9 ตามติดด้วยการคว้าอันดับ8 ในสนามต่อมาที่ประเทศมาเลเซีย
ปีแรกในการแข่งขันฟอร์มูล่าวัน แม้จะเริ่มต้นได้ดีแต่รถของเขาต้องเจอกับหลากหลายปัญหาที่ทำให้แข่งไม่จบ คือมันมีทั้งดีและแย่สลับกันไป บทสรุปสุดท้ายเขาจบฤดูกาลด้วยอันดับ 15 เก็บไปได้ 18 คะแนน ขณะที่เพื่อนร่วมทีมอย่าง แม็กซ์ เวอร์สเตปเปน เก็บไปได้ 49 คะแนน จบอันดับที่ 12 โดยที่แชมป์ในปีนั้นเป็นของ ลูอิส แฮมิลตัน จากทีมเมอร์เซเดส
ถัดมาในปี 2016 เขายังคงได้จับคู่กับแม็กซ์ ภายใต้สังกัดเดิม ซึ่งก็เป็นอีกครั้งที่เริ่มต้นได้สวยกับการจบที่9 ในศึกออสเตรเลียน กรังด์ปรีซ์ ซึ่งในระหว่างฤดูกาล ทีมได้มีการปรับเปลี่ยนนักขับ ด้วยการเลื่อนชั้น แม็กซ์ ขึ้นไปสู่ทีมใหญ่อย่างเรดบูลล์ และดึง ดานิล ควียาต มาแทนที่ เขาจบการแข่งขันที่เดิมคืออันดับ 12 แต่คะแนนที่ได้เพิ่มขึ้นด้วยการเก็บไป 46 คะแนน
ปี 2017 ไซน์ซ ยังคงเริ่มต้นภายใต้สังกัดทีมToro Rosso ซึ่งก็เป็นอีกครั้งที่เขาออกสตาร์ทได้สวย กับการจบอันดับ 8 และ อันดับ7 ใน 2 สนามแรก แต่แล้วก็เจอปัญหาเรื่องเครื่องยนต์ ซึ่งในระหว่างฤดูกาลก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายอย่าง ทั้งการประกาศว่าจะย้ายไปร่วมทีมเรโนลต์ ในปี 2018 ด้วยสัญญายืมตัว และการเปลี่ยนเพื่อนร่วมทีมจาก ดานิล ควียาต มาเป็น ปิแอร์ แกสลี่
อย่างไรก็ตามในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล ไซน์ซ ต้องย้ายไปร่วมทีมเรโนลต์ ก่อนกำหนด โดยไปจับคู่กับ นิโก ฮูลเคนเบิร์ก ในการแข่งขันที่เหลืออยู่อีก 4 สนามสุดท้าย ซึ่งบทสรุปกับฤดูกาลที่เหวี่ยงไปเหวี่ยงมา เขาจบการแข่งขันด้วยการคว้าอันดับ 9 ในฐานะนักขับ เก็บไปได้ 54 คะแนน
เข้าสู่ปี 2018 เมื่อทุกอย่างเงียบสงบ คาร์ลอส ไซน์ซ ออกสตาร์ท 8 สนามแรกได้อย่างร้อนแรง ด้วยการเก็บแต้มได้แทบทุกเรซ มีเพียงแค่ศึกบาห์เรนกรังด์ปรีซ์ เท่านั้นที่ไม่ได้แต้ม กับการจบอันดับที่ 11 แต่หลังจากนั้นก็มีช่วงเวลาที่หลากหลายปัญหาถาโถมเข้ามา ทั้งอุบัติเหตุในสนามและปัญหาของตัวรถ ทำให้สุดท้ายเขาจบอันดับ 10 ด้วยการมี 53 คะแนน เป็นรองเพื่อนร่วมทีมนิโก ฮูลเคนเบิร์ก ที่จบอันดับ7 กับการมี 69 คะแนน
ด้วยผลงานที่ไม่เป็นไปตามเป้า บวกกับการตัดสินใจของทีมเรโนลต์ ที่ไปดึงตัว แดเนียล ริคคาร์โด มาร่วมทีม ก่อนจะเลือกเก็บ นิโก ฮูลเคนเบิร์ก เอาไว้กับทีมต่อไป ส่งผลให้ คาร์ลอส ไซน์ซ ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
คาร์ลอส ไซน์ซ ย้ายร่วมทีมแม็คลาเรน
บทสรุปสุดท้าย คาร์ลอส ไซน์ซ ยุติสัญญากับทีมเรดบูลล์ และตัดสินใจย้ายไปขับให้กับทีมแม็คลาเรน ในฤดูกาล 2019 แทนที่ เฟอร์นันโด อลอนโซ่ และได้โอกาสร่วมทีมกับ แลนโด นอร์ริส ดาวรุ่งอนาคตไกล
ไซน์ซ เริ่มต้นได้ไม่ค่อยดีนักภายใต้สังกัดทีมแม็คลาเรน และเก็บคะแนนไม่ได้เลยในการออกสตาร์ท 3 สนามแรก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเครื่องยนต์ของเขาไหม้ตั้งแต่เรซแรก ที่ออสเตรเลีย จากนั้นก็เกิดอุบัติเหตุชนกันในสนามที่2 และ 3 ก่อนจะมาเริ่มนับหนึ่งในสนามที่4 กับการจบอันดับ7
คาร์ลอส ไซน์ซ ขึ้นโพเดี้ยมครั้งแรก
หลังปลดล็อกแต้มแรก ผลงานของเขาก็ยกระดับขึ้นเรื่อยๆ ตลอดฤดูกาลนั้นเขาไล่เก็บคะแนนเป็นว่าเล่น และผลงานที่ดีที่สุดในชีวิตมาเกิดขึ้นในสนามรองสุดท้าย กับการขึ้นโพเดี้ยมครั้งแรก ด้วยการคว้าอันดับที่3 ของศึกบราซิล กรังด์ปรีซ์ และสุดท้ายเขาจบฤดูกาลด้วยการโกยไปได้ถึง 96 คะแนน คว้าอันดับ 6 ของตารางคะแนนนักขับ ขณะที่เพื่อนร่วมทีมอย่าง แลนโด นอร์ริส เก็บได้ 49 คะแนน จบอันดับที่11
เข้าสู่ฤดูกาล 2020 ไซน์ซ ยังคงจับคู่กับ แลนโด นอร์ริส ภายใต้สังกัดทีมแม็คลาเรน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นปีที่เข้าที่เข้าทางที่สุดกับการจบอันดับ5 ในสนามแรก ก่อนจะสร้างผลงานควอลิฟาย ที่ดีที่สุดในอาชีพตัวเอง กับการคว้ากริดสตาร์ทที่3 ในศึกฮังกาเรียนกรังด์ปรีซ์ แต่สุดท้ายเขาอกหักด้วยการจบอันดับ9 ด้วยปัญหาการล่าช้าของทีมงานที่เกิดขึ้นในพิทสต็อป
ปีนั้นเขาต้องเจอกับหลากหลายปัญหาที่เข้ามารบกวนใจ นอกจากพิทสต็อปที่ล่าช้า ทำให้เสียอันดับแล้ว ยังมีช่วงเวลาที่โดนคำสั่งจากทีมให้เปิดทางให้ แลนโด นอร์ริส เพื่อนร่วมทีมแซงขึ้นไป จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก จากที่ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนสนิทสนมจนแทบจะตัวติดกัน
อย่างไรก็ตามผลงานที่ดีที่สุดในชีวิตของเขาเกิดขึ้นที่อิตาลี กับการจบอันดับ2 ในสนามตำนานอย่างมอนซ่า นับเป็นการขึ้นโพเดี้ยมที่สองในการแข่งฟอร์มูล่าวัน ก่อนที่จะจบฤดูกาลด้วยอันดับ6 กับการได้ไป 105 คะแนน ขณะที่ แลนโด นอร์ริส เพื่อนร่วมทีมจบอันดับ9 เก็บไป 97 คะแนน
คาร์ลอส ไซน์ซ ย้ายร่วมทีมเฟอร์รารี่
ถัดมาในปี 2021 ไซน์ซ ที่ตัดสินใจรับข้อเสนอจากทีมเฟอร์รารี่ ที่มอบสัญญาให้ 2 ปี และมีการประกาศอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปลายฤดูกาล 2020 ซึ่งเขาจะไปแทนที่ เซบาสเตียน เวทเทล โดยจับคู่กับ ชาร์ลส เลอแคลร์ ภายใต้รถสีแดงของทีมม้าลำพอง
ไซน์ซ ออกสตาร์ทผลงานภายใต้สังกัดใหม่ด้วยการจบอันดับ8 ที่บาห์เรน และได้โพเดี้ยมที่ 3 ในอาชีพด้วยการจบอันดับ2 ที่โมนาโก กับการแข่งขันรายการที่5 ของฤดูกาล ก่อนที่จะได้ขึ้นโพเดี้ยมอีก 3 ครั้ง จบฤดูกาลด้วยอันดับ5 โกยไปได้ 164.5 คะแนน ถือว่าดีที่สุดในอาชีพของเจ้าตัว เหนือกว่าเพื่อนร่วมทีม ชาร์ลส เลอแคลร์ ที่จบอันดับ7 กับการมี 159 คะแนน
คาร์ลอส ไซน์ซ คว้าชัยชนะครั้งแรกใน F1
ปี 2022 คาร์ลอส ไซน์ซ ยังคงจับคู่กับ ชาร์ลส เลอแคลร์ ในทีมเฟอร์รารี่ และถือเป็นอีกหนึ่งปีที่ดีที่สุดในอาชีพของเขา กับการได้ชัยชนะครั้งแรกในศึกบริติช กรังด์ปรีซ์ และบทสรุปฤดูกาลนั้นเขาคว้าตำแหน่งโพลโพซิชั่น ไปได้อีก 3 ครั้ง และได้ขึ้นโพเดี้ยมไปถึง 9 ครั้ง จบการแข่งขันด้วยอันดับ5 ด้วยการมี 246 คะแนน เป็นรองเพื่อนร่วมทีม ชาร์ลส เลอแคลร์ ที่จบรองแชมป์โลก ด้วยการมี 308 คะแนน ก่อนจะได้รับการต่อสัญญาออกไปอีก 2 ปี
เข้าสู่ปี 2023 คาร์ลอส ไซน์ซ ออกสตาร์ทสนามแรกด้วยการจบอันดับ4 แต่กว่าที่จะได้ขึ้นโพเดี้ยมก็ต้องรอจนถึงสนามที่14 ที่มอนซ่า ประเทศอิตาลี กับการจบอันดับ 3 ก่อนจะสานต่อฟอร์มที่ร้อนแรงในสนามถัดมาด้วยการคว้าชัยชนะในศึกสิงคโปร์ กรังด์ปรีซ์ นับเป็นการคว้าชัยครั้งที่ที่2 ในอาชีพของตัวเอง ในศึก F1
อย่างไรก็ตามภาพรวมฤดูกาลนั้นเขาได้ขึ้นโพเดี้ยมไปแค่ 3 ครั้ง ก่อนจะจบด้วยอันดับ 7 ของตารางนักขับ ด้วยการเก็บไปได้ 200 คะแนน เป็นรองเพื่อนร่วมทีม ชาร์ลส เลอแคลร์ ที่จบอันดับ5 ด้วยการมี 206 คะแนน
ในปี 2024 คาร์ลอส ไซน์ซ ขับภายใต้สัญญาปีสุดท้ายกับทีมเฟอร์รารี่ ก่อนจะออกสตาร์ทได้อย่างร้อยแรงด้วยการจบอันดับ3 ที่บาห์เรน และคว้าชัยชนะครั้งที่3 ของตัวเองในศึกออสเตรเลียน กรังด์ปรีซ์ ต่อด้วยการคว้าอันดับ3 ที่ญี่ปุ่น นับเป็นการขึ้นโพเดี้ยมถึง 3 ครั้ง กับการเปิดฉาก 4 สนามแรก
บทสรุปปีนั้นเขาทำผลงานได้คงเส้นคงวาด้วยการขึ้นโพเดี้ยมไปได้ถึง 9 ครั้ง จบการแข่งขันด้วยอันดับ5 เก็บไป 290 คะแนน แต่ก็ยังเป็นรอง ชาร์ลส เลอแคลร์ ที่จบอันดับ3 ด้วยการโกยไปได้ถึง 356 คะแนน และก็ถึงเวลาที่ต้องแยกทางกันในที่สุด โดยเฟอร์รารี่ ไปดึงตัว ลูอิส แฮมิลตัน เจ้าของแชมป์โลก 7 สมัยเข้ามาแทนที่
คาร์ลอส ไซน์ซ ย้ายร่วมทีมวิลเลียมส์ เรซซิ่ง
ในขณะที่ คาร์ลอส ไซน์ซ ตัดสินใจออกไปหาความท้าทายครั้งใหม่กับ วิลเลียมส์ เรซซิ่ง พร้อมกับสัญญา 2 ปี โดยจับคู่กับ อเล็กซ์ อัลบอน นักขับลูกครึ่งไทย ซึ่งเขาต้องใช้เวลาปรับตัวกับต้นสังกัดใหม่อยู่นานพอสมควร และต้องเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก ภาพรวมกลายเป็นรอง อัลบอน ที่เก็บคะแนนได้อย่างสม่ำเสมอมากกว่า
จนกระทั่งในสนามที่ 17 ของฤดูกาล คาร์ลอส ไซน์ซ ระเบิดผลงานยอดเยี่ยมในศึกอาเซอร์ไบจาน กรังด์ปรีซ์ ด้วยการจบอันดับ3 คว้าโพเดี้ยมแรกของฤดูกาลให้กับทีมได้สำเร็จ เก็บเพิ่มเป็น 31 คะแนน รั้งอันดับที่12 ในขณะที่ อัลบอน มี 70 คะแนน รั้งอันดับ8
จากนี้ยังเหลือเส้นทางให้ชิงชัยกันอีก 7 สนามสุดท้าย การได้โพเดี้ยมแรกให้ทีมของ คาร์ลอส ไซน์ซ น่าจะเรียกความมั่นใจกลับมาอีกครั้ง เหมือนกับที่ผ่านมาที่เขาเคยปลดล็อกผลงานที่ดีได้ แล้วหลังจากนั้นก็โกยแต้มอย่างเป็นกอบเป็นกำ
แฟนๆฟอร์มูล่าวัน ไม่ต้องรอลุ้นนาน เพราะสุดสัปดาห์นี้(3-5 ตุลาคม 2568) การแข่งขันจะกลับมาให้ได้ลุ้นกันอีกครั้ง ในศึกสิงคโปร์ กรังด์ปรีซ์ สนามที่เขาเคยประสบความสำเร็จกับการคว้าชัยชนะครั้งที่2 ในอาชีพของตัวเองมาแล้วเมื่อปี 2023
น่าสนใจว่าการได้กลับมาแข่งสนามที่ชอบ กับช่วงเวลาที่พกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม คาร์ลอส ไซน์ซ จะมีผลงานออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งแฟนๆสามารถติดตามเชียร์ได้สดๆผ่านทางแอปพลิเคชัน ทรูวิชั่นส์ นาว
- อลอนโซ่ พร้อมอำลา F1 ปี 2026 หากไปได้สวยกับ แอสตัน มาร์ติน
- สื่อนอกตีข่าว! เรด บูลล์ จ่ายเงินชดเชย 60 ล้านยูโร หลังปลด ฮอร์เนอร์
- ไซน์ซ เผยโพเดี้ยมแรกกับวิลเลียมส์ มีค่ากว่าชัยชนะแรกในชีวิต
- สถิติใหม่ F1 ธงแดง 6 ครั้ง! นอร์ริส ยอมรับสนามบากูงานยาก
- F1 อาจเพิ่มสปรินท์เรซ พร้อมใส่รูปแบบการแข่งขันใหม่เพิ่มความท้าทาย
