
แม้ว่า เรอัล มาดริด จะมี คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ ก้าวขึ้นมาเป็นคีย์แมนคนสำคัญ นับตั้งแต่ที่เจ้าตัวย้ายมาเล่นให้กับราชันชุดขาวเมื่อฤดูกาลที่แล้ว แต่ยังมีแนวรุกอีกหนึ่งคนที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน และอันที่จริงเขาถือเป็นกองหน้าเบอร์หนึ่งของทีมในช่วงก่อนหน้าที่ เอ็มบั๊ปเป้ จะมาถึงด้วยซ้ำ
พูดขนาดนี้แล้ว คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก วินิซิอุส จูเนียร์ กองหน้าทีมชาติบราซิลจอมแสบ ผู้ซึ่งเคยเกือบจะคว้ารางวัลบัลลงดอร์มาครองเมื่อปีที่แล้ว แต่ท้ายที่สุดเป็น โรดรี้ กองกลางทีมชาติสเปนของ แมนฯ ซิตี้ ที่คว้ารางวัลไปแทน ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับตัว วินิซิอุส ที่เข้าวินมาเป็นอันดับ 2 เป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาลนี้ แม้ว่า เอ็มบั๊ปเป้ จะเป็นดาวซัลโวสูงสุดของทีมในเวลานี้ หลังยิงไปแล้ว 14 ประตูจากการลงเล่น 10 นัดในทุกรายการ แต่ "วินิ" ก็มีความสำคัญเช่นกัน หลังทำไปแล้ว 5 ประตูจาการลงเล่นใน ลา ลีกา 8 นัด
วันนี้ เราจะมาส่องประวัติของ วินิซิอุส จูเนียร์ กันหน่อยว่าเส้นทางอาชีพที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันนั้น เป็นอย่างไร...
ช่วงชีวิตในวัยเด็กและการเริ่มต้นอาชีพ
วินิซิอุส จูเนียร์ หรือชื่อเต็มๆ ก็คือ วินิซิอุส โชเซ่ ไปเชา เด โอลิเวยร่า จูเนียร์ เกิดเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม ปี 2000 ที่เมือง เซา กอนซาโล ซึ่งเป็นเทศบาลเมืองขนาดใหญ่ในรัฐ ริโอ เด จาเนโร ประเทศบราซิล เขาเริ่มต้นเส้นทางการเป็นนักฟุตบอลในปี 2006 หรือในตอนที่มีอายุเพียง 6 ขวบ เมื่อคุณพ่อของเขาพาไปที่สำนักงานสาขาของสโมสรฟลาเมงโก ในย่านมูตูอา เมือง เซา กอนซาโล ซึ่งเป็นย่านที่เขาอาศัยอยู่ โดยตอนแรกข้อมูลในเอกสารของสโมสรระบุตำแหน่งของเขาไว้ว่าเป็นแบ็กซ้าย
เนื่องจากเขามาจากครอบครัวที่ค่อนข้างยากจน เขาจึงย้ายไปอาศัยอยู่กับคุณลุงที่ย่านอาโบลีเซา เพื่อให้เดินทางไปสนามฝึกซ้อมของฟลาเมงโกที่ชื่อว่า "นินโญ่ โด อูรูบู" ได้ง่ายขึ้น (ซึ่งมีความหมายว่า "รังนกแร้ง") และเริ่มได้รับความช่วยเหลือด้านการเงินจากสโมสร รวมถึงความช่วยเหลือจากผู้ประกอบการบางส่วนด้วย
ในช่วงระหว่างปี 2007 ถึง 2010 วินิซิอุส เข้าเรียนฟุตซอลที่โรงเรียนฝึกฟุตบอลของฟลาเมงโกใน เซา กอนซาโล ซึ่งเป็นที่ที่สโมสรมองเห็นศักยภาพในตัวเขา อย่างไรก็ตาม วินิซิอุส ตัดสินใจเลือกเล่นฟุตบอลสนามใหญ่แทนที่จะเป็นฟุตซอล และในเดือนสิงหาคม ปี 2010 วินิซิอุส ก็ได้เข้ารับการทดสอบฝีเท้ากับทีมเยาวชนของฟลาเมงโก และได้เข้าร่วมทีมอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นความสำเร็จหลังจากที่เขาเคยมาทดสอบฝีเท้ากับทีมฟุตซอลของสโมสรเมื่อปี 2009 แต่ถูกขอให้กลับมาใหม่ในปีถัดไป
แจ้งเกิดกับฟลาเมงโก
วินิซิอุส จูเนียร์ ได้รับโอกาสครั้งสำคัญในการก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของสโมสรฟลาเมงโก โดยเขาได้ประเดิมสนามในฐานะนักฟุตบอลอาชีพอย่างเป็นทางการในวันที่ 13 พฤษภาคม 2017 โดยลงเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 82 ในเกมลีกเซเรีย อา บราซิล ที่เสมอกับ แอตเลติโก มิเนโร 1-1
จากนั้นอีก 2 วันถัดมาหลังจากได้ประเดิมสนาม วินิซิอุส ก็ได้ต่อสัญญาใหม่กับสโมสรจากปี 2019 ไปจนถึงปี 2022 พร้อมทั้งได้รับค่าเหนื่อยเพิ่มขึ้นอย่างมาก และที่สำคัญก็คือมีการเพิ่มค่าฉีกสัญญาของเขาจาก 30 ล้านยูโร เป็น 45 ล้านยูโร ซึ่งการต่อสัญญาครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงเบื้องหลังระหว่างฟลาเมงโกกับ เรอัล มาดริด ที่ตกลงกันไว้ว่าจะขายนักเตะคนนี้ให้กับทีมราชันชุดขาวอย่างแน่นอนในเดือนกรกฎาคม ปี 2018
ในวันที่ 10 สิงหาคม 2017 วินิซิอุส ทำประตูแรกในอาชีพได้สำเร็จ ในรายการ โกปา ซูดาเมริกานา โดยยิงได้เพียง 30 วินาที หลังจากถูกเปลี่ยนตัวลงสนามในนาทีที่ 72 ช่วยให้ทีมเอาชนะ ปาเลสติโน ขาดลอย 5-0 และในวันที่ 19 สิงหาคม เขาก็ทำประตูแรกในลีก บราซิล เซเรีย อา ให้กับฟลาเมงโกได้สำเร็จ ในเกมที่เอาชนะ แอตเลติโก โกยาเนียนเซ่
จากดาวรุ่งพุ่งแรงสู่การเป็นนักเตะของ เรอัล มาดริด
ในวันที่ 23 พฤษภาคม ปี 2017 เรอัล มาดริด ได้ประกาศเซ็นสัญญาคว้าตัว วินิซิอุส จูเนียร์ มาร่วมทีม โดยสัญญาจะมีผลอย่างเป็นทางการหลังวันที่ 12 กรกฎาคม 2018 ซึ่งเป็นวันเกิดอายุครบ 18 ปีของเขา (ซึ่งเป็นอายุขั้นต่ำในการย้ายทีมระหว่างประเทศ) ขณะที่ค่าตัวนั้นอยู่ที่ 46 ล้านยูโร ซึ่งในขณะนั้นถือเป็นการขายนักเตะที่แพงเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ฟุตบอลบราซิล (รองจาก เนย์มาร์ ในตอนที่ย้ายจาก บาร์เซโลน่า ไป เปแอสเช) รวมถึงยังเป็นดีลที่มีจำนวนเงินสูงสุดที่สโมสรจากบราซิลเคยได้รับจากการขายออก นอกจากนี้ยังเป็นดีลที่มีค่าตัวสูงสุดที่สโมสรเคยจ่ายให้กับนักเตะที่อายุต่ำกว่า 19 ปีอีกด้วย
สรุปข่าว
แม้ว่า เรอัล มาดริด จะมี คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ ก้าวขึ้นมาเป็นคีย์แมนคนสำคัญ นับตั้งแต่ที่เจ้าตัวย้ายมาเล่นให้กับราชันชุดขาวเมื่อฤดูกาลที่แล้ว แต่ยังมีแนวรุกอีกหนึ่งคนที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน และอันที่จริงเขาถือเป็นกองหน้าเบอร์หนึ่งของทีมในช่วงก่อนหน้าที่ เอ็มบั๊ปเป้ จะมาถึงด้วยซ้ำ
พูดขนาดนี้แล้ว คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก วินิซิอุส จูเนียร์ กองหน้าทีมชาติบราซิลจอมแสบ ผู้ซึ่งเคยเกือบจะคว้ารางวัลบัลลงดอร์มาครองเมื่อปีที่แล้ว แต่ท้ายที่สุดเป็น โรดรี้ กองกลางทีมชาติสเปนของ แมนฯ ซิตี้ ที่คว้ารางวัลไปแทน ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับตัว วินิซิอุส ที่เข้าวินมาเป็นอันดับ 2 เป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาลนี้ แม้ว่า เอ็มบั๊ปเป้ จะเป็นดาวซัลโวสูงสุดของทีมในเวลานี้ หลังยิงไปแล้ว 14 ประตูจากการลงเล่น 10 นัดในทุกรายการ แต่ "วินิ" ก็มีความสำคัญเช่นกัน หลังทำไปแล้ว 5 ประตูจาการลงเล่นใน ลา ลีกา 8 นัด
วันนี้ เราจะมาส่องประวัติของ วินิซิอุส จูเนียร์ กันหน่อยว่าเส้นทางอาชีพที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันนั้น เป็นอย่างไร...
ช่วงชีวิตในวัยเด็กและการเริ่มต้นอาชีพ
วินิซิอุส จูเนียร์ หรือชื่อเต็มๆ ก็คือ วินิซิอุส โชเซ่ ไปเชา เด โอลิเวยร่า จูเนียร์ เกิดเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม ปี 2000 ที่เมือง เซา กอนซาโล ซึ่งเป็นเทศบาลเมืองขนาดใหญ่ในรัฐ ริโอ เด จาเนโร ประเทศบราซิล เขาเริ่มต้นเส้นทางการเป็นนักฟุตบอลในปี 2006 หรือในตอนที่มีอายุเพียง 6 ขวบ เมื่อคุณพ่อของเขาพาไปที่สำนักงานสาขาของสโมสรฟลาเมงโก ในย่านมูตูอา เมือง เซา กอนซาโล ซึ่งเป็นย่านที่เขาอาศัยอยู่ โดยตอนแรกข้อมูลในเอกสารของสโมสรระบุตำแหน่งของเขาไว้ว่าเป็นแบ็กซ้าย
เนื่องจากเขามาจากครอบครัวที่ค่อนข้างยากจน เขาจึงย้ายไปอาศัยอยู่กับคุณลุงที่ย่านอาโบลีเซา เพื่อให้เดินทางไปสนามฝึกซ้อมของฟลาเมงโกที่ชื่อว่า "นินโญ่ โด อูรูบู" ได้ง่ายขึ้น (ซึ่งมีความหมายว่า "รังนกแร้ง") และเริ่มได้รับความช่วยเหลือด้านการเงินจากสโมสร รวมถึงความช่วยเหลือจากผู้ประกอบการบางส่วนด้วย
ในช่วงระหว่างปี 2007 ถึง 2010 วินิซิอุส เข้าเรียนฟุตซอลที่โรงเรียนฝึกฟุตบอลของฟลาเมงโกใน เซา กอนซาโล ซึ่งเป็นที่ที่สโมสรมองเห็นศักยภาพในตัวเขา อย่างไรก็ตาม วินิซิอุส ตัดสินใจเลือกเล่นฟุตบอลสนามใหญ่แทนที่จะเป็นฟุตซอล และในเดือนสิงหาคม ปี 2010 วินิซิอุส ก็ได้เข้ารับการทดสอบฝีเท้ากับทีมเยาวชนของฟลาเมงโก และได้เข้าร่วมทีมอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นความสำเร็จหลังจากที่เขาเคยมาทดสอบฝีเท้ากับทีมฟุตซอลของสโมสรเมื่อปี 2009 แต่ถูกขอให้กลับมาใหม่ในปีถัดไป
แจ้งเกิดกับฟลาเมงโก
วินิซิอุส จูเนียร์ ได้รับโอกาสครั้งสำคัญในการก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของสโมสรฟลาเมงโก โดยเขาได้ประเดิมสนามในฐานะนักฟุตบอลอาชีพอย่างเป็นทางการในวันที่ 13 พฤษภาคม 2017 โดยลงเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 82 ในเกมลีกเซเรีย อา บราซิล ที่เสมอกับ แอตเลติโก มิเนโร 1-1
จากนั้นอีก 2 วันถัดมาหลังจากได้ประเดิมสนาม วินิซิอุส ก็ได้ต่อสัญญาใหม่กับสโมสรจากปี 2019 ไปจนถึงปี 2022 พร้อมทั้งได้รับค่าเหนื่อยเพิ่มขึ้นอย่างมาก และที่สำคัญก็คือมีการเพิ่มค่าฉีกสัญญาของเขาจาก 30 ล้านยูโร เป็น 45 ล้านยูโร ซึ่งการต่อสัญญาครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงเบื้องหลังระหว่างฟลาเมงโกกับ เรอัล มาดริด ที่ตกลงกันไว้ว่าจะขายนักเตะคนนี้ให้กับทีมราชันชุดขาวอย่างแน่นอนในเดือนกรกฎาคม ปี 2018
ในวันที่ 10 สิงหาคม 2017 วินิซิอุส ทำประตูแรกในอาชีพได้สำเร็จ ในรายการ โกปา ซูดาเมริกานา โดยยิงได้เพียง 30 วินาที หลังจากถูกเปลี่ยนตัวลงสนามในนาทีที่ 72 ช่วยให้ทีมเอาชนะ ปาเลสติโน ขาดลอย 5-0 และในวันที่ 19 สิงหาคม เขาก็ทำประตูแรกในลีก บราซิล เซเรีย อา ให้กับฟลาเมงโกได้สำเร็จ ในเกมที่เอาชนะ แอตเลติโก โกยาเนียนเซ่
จากดาวรุ่งพุ่งแรงสู่การเป็นนักเตะของ เรอัล มาดริด
ในวันที่ 23 พฤษภาคม ปี 2017 เรอัล มาดริด ได้ประกาศเซ็นสัญญาคว้าตัว วินิซิอุส จูเนียร์ มาร่วมทีม โดยสัญญาจะมีผลอย่างเป็นทางการหลังวันที่ 12 กรกฎาคม 2018 ซึ่งเป็นวันเกิดอายุครบ 18 ปีของเขา (ซึ่งเป็นอายุขั้นต่ำในการย้ายทีมระหว่างประเทศ) ขณะที่ค่าตัวนั้นอยู่ที่ 46 ล้านยูโร ซึ่งในขณะนั้นถือเป็นการขายนักเตะที่แพงเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ฟุตบอลบราซิล (รองจาก เนย์มาร์ ในตอนที่ย้ายจาก บาร์เซโลน่า ไป เปแอสเช) รวมถึงยังเป็นดีลที่มีจำนวนเงินสูงสุดที่สโมสรจากบราซิลเคยได้รับจากการขายออก นอกจากนี้ยังเป็นดีลที่มีค่าตัวสูงสุดที่สโมสรเคยจ่ายให้กับนักเตะที่อายุต่ำกว่า 19 ปีอีกด้วย
การพัฒนาและการปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในสเปน (2018-2021)
ในวันที่ 20 กรกฎาคม ปี 2018 วินิซิอุส ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการกับ เรอัล มาดริด และได้รับเสื้อหมายเลข 28 โดยในช่วงแรกเขาถูกส่งไปเล่นกับทีม เรอัล มาดริด กาสตียา หรือทีมชุดบี เพื่อปรับตัว ซึ่งเขาก็ทำผลงานได้น่าประทับใจ หลังยิงไป 4 จาก 5 เกมที่ได้ลงเล่น
ทำให้หลังจากนั้นไม่นาน วินิซิอุส ก็ได้โอกาสประเดิมสนามให้กับ เรอัล มาดริด ชุดใหญ่ ในวันที่ 29 กันยายน โดยลงเป็นตัวสำรองในเกมมาดริดดาร์บี้ ที่เสมอกับ แอตเลติโก มาดริด 0-0 จากนั้น วินิซิอุส ก็ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงครั้งแรกในเกม โกปา เดล เรย์ ที่เอาชนะ เมลิย่า ไป 4-0 และทำไป 2 แอสซิสต์ จนได้รับเลือกเป็น แมน ออฟ เดอะ แมตช์
หลังจากนั้น วินิซิอุส ทำประตูแรกกับ เรอัล มาดริด ได้ในวัยที่ 3 พฤศจิกายน ในเกมที่เอาชนะ เรอัล บายาโดลิด 2-0 โดยกองหน้าบราซิเลียนใช้เวลาเพียง 10 นาทีในสนามก็ยิงประตูได้ หลังถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรอง โดยในช่วงระหว่างปลายเดือนกันยายนจนถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ปี 2019 วินิซิอุส ทำไป 4 ประตู แต่แล้วในวันที่ 6 มีนาคม เขาได้รับบาดเจ็บเอ็นฉีก ทำให้ต้องปิดฉากฤดูกาลแรกกับ เรอัล มาดริด ทันที
จากนั้นในฤดูกาลต่อมา ในเดือนธันวาคม 2019 เขายิงประตูแรกในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ ในเกมที่บุกไปเอาชนะ คลับ บรูซ ของเบลเยียม 3-1 และในวันที่ 1 มีนาคม 2020 เขายิงประตูแรกในศึก เอล กลาซิโก้ ช่วยให้ทีมเอาชนะ บาร์เซโลน่า 2-0 และจบฤดูกาลนั้นด้วยการคว้าแชมป์ ลา ลีกา ในฤดูกาล 2019–20
ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักและคว้าแชมป์ยุโรป (2021–2022)
วินิซิอุส เริ่มต้นฤดูกาล 2021–22 ได้อย่างร้อนแรง เขายิง 2 ประตูในเกมกับ เลบันเต้ ในฐานะตัวสำรอง ทำให้ในเวลาต่อมา เขาก็แย่งตำแหน่งตัวจริงจาก เอแด็น อาซาร์ มาครองได้เป็นการถาวร หลังจากนั้นฟอร์มของเขาก็แรงแบบฉุดไม่อยู่ เพียง 14 นัดแรกในฤดูกาลนี้ เขายิงกระจุยไปถึง 9 ประตูด้วยกัน แซงหน้าผลงาน 6 ประตูที่ทำได้ตลอดฤดูกาล 2020-21 ทันที และในวันที่ 12 พฤษภาคม 2022 เขาทำแฮตทริกกับ เรอัล มาดริด ได้เป็นครั้งแรก ในเกมที่ถล่ม เลบันเต้ 6-0
หลังจากนั้นในวันที่ 28 พฤษภาคม วินิซิอุส เป็นคนยิงประตูชัยในเกมที่เอาชนะ ลิเวอร์พูล 1-0 ใน รอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ช่วยให้ เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 14 มาครองได้สำเร็จ รวมถึงยังครองแชมป์ ลา ลีกา ได้ในฤดูกาลเดียวกัน
วินิซิอุส จบฤดูกาล 2021–22 ได้อย่างยอดเยี่ยม ในฐานะรองดาวซัลโวประจำทีม (รองจาก คาริม เบนเซม่า) ด้วยผลงานรวม 22 ประตู และได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล ของศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และติดทีมยอดเยี่ยมของ แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกด้วย
สืบทอดเสื้อหมายเลข 7 และการคว้าแชมป์สโมสรโลก (2022–ปัจจุบัน)
ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2023 วินิซิอุส ยิง 2 ประตูในรอบชิงชนะเลิศ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ ช่วยให้ เรอัล มาดริด เอาชนะ อัล-ฮิลาล จากซาอุดิอาระเบีย 5-3 คว้าแชมป์มาครองได้ และยังคว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ไปครองอีกด้วย
วินิซิอุส ยังยิงประตูสำคัญอีกมากมาย โดยในรอบ 16 ทีมสุดท้ายเลกแรก ของศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เขาทำ 2 ประตูในครึ่งแรก ช่วยให้ เรอัล มาดริด พลิกกลับมาชนะ ลิเวอร์พูล อย่างสุดระทึก 5-2 ในเกมเยือนแอนฟิลด์ แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วจะไปไม่ถึงดวงดาว เนื่องจากไปพ่ายให้กับ แมนฯ ซิตี้ ในรอบรองชนะเลิศ ก่อนที่ทีมเรือใบสีฟ้าจะก้าวไปเป็นแชมป์ได้ในบั้นปลาย
เหตุการณ์สำคัญอีกอย่างก็คือ หลังจากที่ เอแด็น อาซาร์ ขออำลาทีมไป วินิซิอุส ก็ได้รับเลือกให้สวมเสื้อหมายเลข 7 แทนที่ ซึ่งเป็นหมายเลขตำนานของสโมสร ตั้งแต่ฤดูกาล 2023-24 เป็นต้นไป โดยหมายเลข 7 อันทรงเกียรตินี้เคยเป็นของ คริสเตียโน โรนัลโด้ ดาวยิงทีมชาติโปรตุเกส และ ราอูล กอนซาเลซ กองหน้าทีมชาติสเปน สองดาวเตะระดับตำนานของทีม
ในวันที่ 31 ตุลาคม 2023 เรอัล มาดริด ขยายสัญญากับ วินิซิอุส อีกครั้งไปจนถึงเดือนมิถุนายน 2027 และในวันที่ 14 มกราคม 2024 เขาก็ทำแฮตทริกในเกมที่ชนะ บาร์เซโลนา 4-1 ในรอบชิงชนะเลิศ ซูเปร์โกปา เด เอสปันญา
วันที่ 1 มิถุนายน วินิซิอุส ยิงประตูในเกมที่ เรอัล มาดริด เอาชนะ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 2-0 ในรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ทำให้เขาคว้าแชมป์รายการนี้เป็นสมัยที่สอง และกลายเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูในรอบชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ถึง 2 ครั้ง ทำลายสถิติของ ลิโอเนล เมสซี่ ตำนานดาวยิงทีมชาติอาร์เจนติน่า
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในฤดูกาล 2023-24 วินิซิอุส จะทำไป 24 ประตูกับอีก 11 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 39 ในทุกรายการ พร้อมทั้งช่วยให้ เรอัล มาดริด ลา ลีกา สเปน และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้ แต่ในการประกาศรางวัล บัลลงดอร์ ของนิตยสาร ฟร้องซ์ ฟุตบอล ประจำปี 2024 นั้น วินิซิอุส กลับได้รับคะแนนโหวตเพียงอันดับที่ 2 โดยแพ้ให้กับ โรดรี้ กองกลางทีมชาติสเปนของ แมนฯ ซิตี้ ที่มีผลงานพาทีมกระทิงดุคว้าแชมป์ยูโร 2024 ไปเพียง 41 คะแนน
เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับ วินิซิอุส และสโมสร เรอัล มาดริด เป็นอย่างมาก ทำให้ วินิซิอุส และนักเตะคนอื่นๆ ของ เรอัล มาดริด ไม่มีใครไปร่วมงานประกาศรางวัลเลยแม้แต่คนเดียว หลังจากที่รู้ว่ากองหน้าทีมชาติบราซิลพลาดคว้ารางวัลลูกบอลทองคำ ซึ่งในเวลาต่อมา ฟร้องซ์ ฟุตบอล ได้ออกมาเผยว่า สาเหตุที่ทำให้ วินิซิอุส พลาดรางวัลบัลลงดอร์นั้น เป็นเพราะได้รับผลกระทบจากการที่ จู๊ด เบลลิงแฮม และ ดานี่ การ์บาฆาล สองเพื่อนร่วมทีมมีชื่อติดอยู่ใน 5 อันดับแรก ทำให้คะแนนของ วินิซิอุส ถูกเพื่อนร่วมทีมแบ่งออกไปอย่างช่วยไม่ได้
อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะพลาดรางวัล บัลลงดอร์ แต่ วินิซิอุส ก็ได้อีกรางวัลใหญ่มาครอง นั่นคือล ฟีฟ่า เดอะ เบสต์ อวอร์ด หรือนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่าประจำปี 2024 พร้อมกันนี้ ในวันที่ 22 มกราคม 2025 วินิซิอุส ก็ยิงประตูที่ 100 และ 101 ให้กับ เรอัล มาดริด ในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นคนที่ 23 ที่ทำสถิตินี้ให้กับสโมสรได้สำเร็จ
เส้นทางในทีมชาติบราซิล
วินิซิอุส สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองอย่างมากในการเล่นให้ทีมชาติบราซิลระดับเยาวชน โดยเฉพาะในทัวร์นาเมนต์ระดับทวีปอเมริกาใต้ โดยประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ทวีปอเมริกาใต้มาครองได้ทั้งในระดับ ยู 15 และ ยู 17 ในปี 2015 และ 2017 ตามลำดับ ซึ่ง วินิซิอุส โชว์ฟอร์มยิงไป 7 ประตูเหมือนกันทั้ง 2 ทัวร์นาเมนท์
หลังจากนั้น วินิซิอุส ก็ถูกเรียกตัวติดทีมชาติบราซิลชุดใหญ่ครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ 2019 แต่เขาได้รับบาดเจ็บกับ เรอัล มาดริด ทำให้พลาดโอกาสไป และต่อมาก็ไม่มีชื่อในทีมชุดลุยศึก โกปา อเมริกา 2019
แต่หลังจากกลับมาฟิตสมบูรณ์ วันที่ 10 กันยายน 2019 เขาได้ประเดิมสนามให้กับทีมชาติบราซิลชุดใหญ่อย่างเป็นทางการ โดยลงเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 72 ในเกมที่บราซิลแพ้เปรู 1-0 จากนั้น วินิซิอุส ก็มีชื่อติดทีมชาติชุดลุยศึก โกปา อเมริกา 2021 ก่อนจะพาทีมผ่านเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ แต่ไปแพ้ต่อคู่ปรับอย่าง อาร์เจนติน่า 1-0 ทำให้พลาดแชมป์ไปอย่างน่าเสียดาย
จากนั้นในวันที่ 24 มีนาคม 2022 วินิซิอุส ทำประตูแรกในนามทีมชาติชุดใหญ่ได้สำเร็จ ในเกมฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือกที่ชนะ ชิลี 4-0 ที่สนามมาราคาน่า และมีชื่อติดทีมชาติบราซิลชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์ ซึ่ง วินิซิอุส ก็ทำผลงานได้อย่างโดดเด่น โดยในเกมแรกกับ เซอร์เบีย เขาเป็นคนทำแอสซิสต์ให้กับ ริชาร์ลิซอน ยิงประตูที่สอง
จากนั้นในรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่ชนะเกาหลีใต้ 4-1 วินิซิอุส ทำประตูแรกในฟุตบอลโลกของตัวเอง และทำแอสซิสต์ให้ ลูคัส ปาเกต้า อีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม บราซิล ยุติเส้นทางของตัวเองไว้แค่รอบก่อนรองชนะเลิศเท่านั้น หลังจากแพ้จุดโทษให้กับ โครเอเชีย
ปัจจบัน วินิซิอุส ติดทีมชาติบราซิลมาแล้วทั้งสิ้น 41 นัด ทำไปแล้ว 7 ประตูด้วยกัน
สำหรับผลงานของ วินิซิอุส ในฤดูกาลนี้กับ เรอัล มาดริด อาจจะไม่โดดเด่นเท่ากับ คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ เพื่อนร่วมทีม แต่ความสำคัญต่อทีมไม่ลดน้อยไปกว่ากันนัก เขามีส่วนช่วยทำให้ เรอัล มาดริด นำเป็นจ่าฝูงของ ลา ลีกา สเปน อยู่ในเวลานี้ และยังมีลุ้นแชมป์อยู่ครบทุกรายการ ไม่ว่าจะเป็น โกปา เดล เรย์ หรือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็ยังคงอยู่ในเส้นทาง
นอกเหนือจากการพา เรอัล มาดริด กลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้งแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่เชื่อเหลือเกินว่า วินิซิอุส ให้ความสำคัฐไม่แพ้กัน ก็คือการพา บราซิล ประสบความสำเร็จในศึกฟุตบอลโลก 2026 ที่กำลังจะมาถึงในช่วงซัมเมอร์ปีหน้า ซึ่งที่ผ่านมา วินิซิอุส ยังไม่เคยคว้าแชมป์ระดับเมเจอร์กับ บราซิล ได้เลย
แน่นอนว่า หากครั้งนี้ วินิซิอุส พา เรอัล มาดริด กวาดแชมป์สำคัญอย่าง แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้ รวมถึงยังพา บราซิล ไปถึงแชมป์โลกได้แล้วล่ะก็ รางวัลบัลลงดอร์ที่เขาใฝ่ฝันมานาน บางทีอาจจะถึงคราวของ วินิซิอุส เสียที...
ดูบอลสดครบทั้งลีก และถ้วยยุโรปชั้นนำ อาทิ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก / ยูฟ่า ยูโรปา ลีก / ยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ ลีก / ลาลีกา / บุนเดสลีกา / เซเรีย อา และอีกมากมายกว่า 2,000 แมตช์ ตลอดฤดูกาล 2025/26
📲สมัครและดูได้แล้ววันนี้ Now Football 199 บาท/เดือน (1 จอ ดูได้ทุกอุปกรณ์) คลิก : https://truevisions-now.onelink.me/RQwi/1rsb84q1
