
หลังจากที่ทัพ "ช้างศึก" ทีมชาติไทย สามารถพาตัวเองกลับสู่เส้นทางการลุ้นเข้ารอบสุดท้ายของศึกฟุตบอลเอเชียนคัพ 2027 ได้อย่างเต็มตัวอีกครั้ง กับการเดินหน้าเก็บชัยชนะเหนือ ทีมชาติไต้หวัน ได้ 2 นัดเหย้า-เยือน ในช่วงฟีฟ่าเดย์ที่ผ่านมา
ทำให้สถานการณ์ในกลุ่มดี ของทีมชาติไทย เรามี 9 คะแนน เท่ากับ เติร์กเมนิสถาน นั่นหมายความว่าโปรแกรมที่เหลืออีก 2 นัดในรอบคัดเลือก จะสำคัญมากๆ เพราะทุกแต้มทุกคะแนนล้วนมีความหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกมที่จะตัดกันเองกับ เติร์กเมนิสถาน ในนัดสุดท้ายของรอบคัดเลือก
ชัยชนะกับการเล่นในบ้านเหนือ ทีมชาติไต้หวัน 2-0 ตามมาพร้อมกับเสียงวิจารณ์ในเรื่องฟอร์มการเล่น เพราะแม้จะได้ 3 แต้มก็จริง แต่ภาพรวมยังไม่ดีพอกับการเจอทีมที่อันดับโลกต่ำกว่า คือแฟนๆต่างคาดหวังว่าจะชนะด้วยสกอร์ที่สวยงามกว่านี้
จากนั้นในเกมต่อมาเราต้องยกพลไปเยือน ไต้หวัน ก่อนจะทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการบุกไปถล่มมาถึง 6-1 ด้วยฟอร์มที่ตรงข้ามกับเกมแรก จังหวะจบสกอร์เฉียบขาดและเล่นแบบเป็นตัวเอง จนสามารถลบเสียงที่เคยวิจารณ์ลงได้โดยปริยาย
โอกาสนี้เราจึงขอพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับเส้นทางฟุตบอลของ โค้ชมาซาทาดะ อิชิอิ ว่ากว่าที่จะเข้ามาแบกรับแรงกดดันในการคุมทีมชาติไทย เขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง...
- ประวัติ มาซาทาดะ อิชิอิ
มาซาทาดะ อิชิอิ เกิดเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1967 ณ เมืองอิจิฮาระ ในจังหวัดชิบะ ของประเทศญี่ปุ่น โดยเส้นทางการเป็นนักฟุตบอลของเขาต่อยอดจากการเล่นในระดับมหาวิทยาลัยในสถาบันที่ชื่อจุนเทนโด
สรุปข่าว
หลังจากที่ทัพ "ช้างศึก" ทีมชาติไทย สามารถพาตัวเองกลับสู่เส้นทางการลุ้นเข้ารอบสุดท้ายของศึกฟุตบอลเอเชียนคัพ 2027 ได้อย่างเต็มตัวอีกครั้ง กับการเดินหน้าเก็บชัยชนะเหนือ ทีมชาติไต้หวัน ได้ 2 นัดเหย้า-เยือน ในช่วงฟีฟ่าเดย์ที่ผ่านมา
ทำให้สถานการณ์ในกลุ่มดี ของทีมชาติไทย เรามี 9 คะแนน เท่ากับ เติร์กเมนิสถาน นั่นหมายความว่าโปรแกรมที่เหลืออีก 2 นัดในรอบคัดเลือก จะสำคัญมากๆ เพราะทุกแต้มทุกคะแนนล้วนมีความหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกมที่จะตัดกันเองกับ เติร์กเมนิสถาน ในนัดสุดท้ายของรอบคัดเลือก
ชัยชนะกับการเล่นในบ้านเหนือ ทีมชาติไต้หวัน 2-0 ตามมาพร้อมกับเสียงวิจารณ์ในเรื่องฟอร์มการเล่น เพราะแม้จะได้ 3 แต้มก็จริง แต่ภาพรวมยังไม่ดีพอกับการเจอทีมที่อันดับโลกต่ำกว่า คือแฟนๆต่างคาดหวังว่าจะชนะด้วยสกอร์ที่สวยงามกว่านี้
จากนั้นในเกมต่อมาเราต้องยกพลไปเยือน ไต้หวัน ก่อนจะทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการบุกไปถล่มมาถึง 6-1 ด้วยฟอร์มที่ตรงข้ามกับเกมแรก จังหวะจบสกอร์เฉียบขาดและเล่นแบบเป็นตัวเอง จนสามารถลบเสียงที่เคยวิจารณ์ลงได้โดยปริยาย
โอกาสนี้เราจึงขอพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับเส้นทางฟุตบอลของ โค้ชมาซาทาดะ อิชิอิ ว่ากว่าที่จะเข้ามาแบกรับแรงกดดันในการคุมทีมชาติไทย เขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง...
- ประวัติ มาซาทาดะ อิชิอิ
มาซาทาดะ อิชิอิ เกิดเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1967 ณ เมืองอิจิฮาระ ในจังหวัดชิบะ ของประเทศญี่ปุ่น โดยเส้นทางการเป็นนักฟุตบอลของเขาต่อยอดจากการเล่นในระดับมหาวิทยาลัยในสถาบันที่ชื่อจุนเทนโด
- มาซาทาดะ อิชิอิ สมัยเป็นนักเตะ
เมื่อจบการศึกษาก็ได้โอกาสเข้าสู่ระบบอาชีพเต็มตัว ภายใต้สังกัดทีมเอ็นทีที คันโต ในศึกเจแปนซอกเกอร์ลีก (เจลีก ในปัจจุบัน) ในช่วงระหว่างปี 1989-1991 ก่อนที่จะย้ายไปร่วมทีม ซูมิโตโมะ เมทัล (ปัจจุบันคือสโมสรคาชิม่า แอนท์เลอร์ส) ในฤดูกาลต่อมา
การย้ายมาอยู่กับ ซูมิโตโมะ เมทัล นับเป็นจุดสูงสุดในอาชีพนักเตะของ อิชิอิ เขาได้ลงเล่นเป็นตัวหลักตั้งแต่ฤดูกาลแรก จากนั้นเข้าสู่ปี 1993 วงการฟุตบอลญี่ปุ่นมีการเปลี่ยนแปลง โดยพวกเขารีแบรนด์ลีกในประเทศขึ้นมาใหม่ ภายใต้ชื่อ เจลีก
เขาได้โอกาสลงสนามมากกว่า 100 นัด ในช่วงระหว่างปี 1991-1997 แถมยังอยู่ในทีมชุดคว้าแชมป์แชมป์เจลีกมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ ในปี 1996 แม้บทบาทในสนามจะถูกลดลงและแทบไม่มี่สวนร่วมเพราะด้วยอายุที่มากขึ้น ก่อนที่ในปีสุดท้ายของอาชีพ เขาจะย้ายไปแขวนสตั๊ดกับสโมสรอวิสปา ฟุกุโอกะ ในปี 1998 ด้วยวัยเพียงแค่ 31 ปี
- จุดเริ่มต้นงานโค้ชของ มาซาทาดะ อิชิอิ
หลังเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพ อิชิอิ ยังคงวนเวียนอยู่ในวงการลูกหนังด้วยการตัดสินใจมาเอาดีทางด้านการเป็นโค้ชฟิตเนส ให้กับอดีตต้นสังกัดอย่าง คาชิม่า แอนท์เลอร์ส และปักหลักอยู่กับทีมนานถึง 10 ปีเต็ม ในช่วงระหว่างปี 2002-2012 ซึ่งตลอดระยะเวลาที่นี่ เขาก็อาศัยครูพักลักจำศาสตร์ลูกหนังจากบรรดาโค้ชแต่ละคนที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาคุมทีม
อิชิอิ เลือกเก็บวิธีการฝึกสอนที่เขาคิดว่าดีมีประโยชน์และเรียนรู้ในความผิดพลาดของกุนซือมากหน้าหลายตาที่ได้ร่วมงานกัน จนกระทั่งจุดเปลี่ยนสำคัญของเขาเกิดขึ้นในปี 2012 เมื่อกุนซือใหญ่ชาวบราซิลของทีมในเวลานั้นอย่าง จอร์จินโญ่ มองเห็นความสามารถ จึงตัดสินใจขยับ อิชิอิ ให้มารับบทบาทผู้ช่วยโค้ช และทำงานร่วมกัน
- มาซาทาดะ อิชิอิ รับหน้าที่กุนซือใหญ่เต็มตัว
วันเวลาผ่านไป 2 ปี สโมสรแยกทางกับโค้ชจอร์จินโญ ก่อนจะไปดึงตัว โทนินโย่ โค้ชชาวบราซิลอีกคนมาแทนที่ แต่ไม่นานก็มาถึงอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญคือในช่วงระหว่างฤดูกาล 2015 สโมสรตัดสินใจแยกทางกับโค้ชอีกครั้ง ก่อนจะประกาศแต่งตั้ง มาซาทาดะ อิชิอิ ขึ้นมาทำหน้าที่หัวหน้าผู้ฝึกสอนคนใหม่ ด้วยวัย 48 ปี และเพียงแค่ 4 เดือนหลัง อิชิอิ ได้โอกาสทำทีมด้วยตัวเอง เขาพาสโมสรผงาดคว้าแชมป์บอลถ้วย เจลีกคัพ มาครองได้อย่างน่าเซอร์ไพรส์
ยิ่งไปกว่านั้นในฤดูกาลต่อมา อิชิอิ ในฐานะลูกหม้อของทีมก็สร้างผลงานชิ้นโบว์แดงด้วยการพา คาชิม่า แอนท์เลอร์ส คว้าแชมป์เจลีก มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ นับเป็นการกลับมาทวงบัลลังก์ในรอบ 7 ปี เท่านั้นยังไม่พอ อิชิอิ พาทีมพ่วงอีกหนึ่งความสำเร็จ คว้าแชมป์เอ็มเพอเรอร์สคัพ และผลงานการพาทีมได้ดับเบิลแชมป์ ก็ส่งให้เจ้าตัวได้รับรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของศึกเจลีก
อีกหนึ่งผลงานที่โลกลูกหนังยังคงจดจำคือการพาสโมสรคาชิม่า แอนท์เลอร์ส เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก และสามารถต่อกรกับทีมยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง เรอัล มาดริด ได้อย่างสมศักดิ์ศรี ด้วยผลงานเสมอในเวลา 90 นาที 2-2 ก่อนจะไปแพ้ในช่วงการต่อเวลาพิเศษ 4-2 ไปอย่างน่าเสียดาย
ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาล 2017 อิชิอิ ยังคงเดินหน้าไล่ล่าความสำเร็จมาสู่สโมสรกับการพาทีมคว้าแชมป์เจแปนนิสซูเปอร์คัพก่อนเปิดซีซั่น แต่หลังจากนั้นไม่นานในเดือนเมษายน อิชิอิ ก็แยกทางกับสโมสร ยุติเส้นทางฟุตบอลของเขากับ คาชิม่า แอนท์เลอร์ส ลงด้วยระยะเวลา 20 ปีเต็ม
- มาซาทาดะ อิชิอิ โยกไปคุมทัพ โอมิยะ อาร์ดิจา
หลังว่างงานไม่ทันไร อิชิอิ ก็ได้รับข้อเสนอให้ไปคุมทีมโอมิยะ อาร์ดิจา สโมสรแรกในการเล่นฟุตบอลอาชีพของเขา แต่สุดท้ายผลงานปีแรกไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเนื่องจากเขาไม่สามารถพาทีมอยู่รอดบนลีกสูงสุดได้ เป็นเหตุให้ต้องตกชั้นไปเล่นในเจลีก2 ซึ่งเจ้าตัวก็ขอปักหลักเพื่อพาสโมสรกลับเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดให้ได้ภายในปีเดียว
สุดท้ายทีมจบฤดูกาลด้วยอันดับ5 คว้าสิทธิ์ไปเพลย์ออฟเลื่อนชั้น แต่บทสรุปของฤดูกาลทีมก็ไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมาย ก่อนที่ มาซาทาดะ อิชิอิ จะตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง เพื่อรับผิดชอบกับผลงาน เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2018
- มาซาทาดะ อิชิอิ มุ่งหน้าสู่ประเทศไทย
หลังเหน็ดเหนื่อยจากฟุตบอล อิชิอิ ต้องการใช้เวลาอยู่กับครอบครัว เขาตัดสินใจเลือกทางที่ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายด้วยการไปทำงานเป็นพนักงานในศูนย์อาหารของโรงเรียนประถม ที่เมืองคาชิม่า ในเดือนมีนาคม 2019 ซึ่งการตัดสินใจครั้งนี้ทำให้เขากลับมามีไฟในตัวเองอีกครั้ง
เมื่อได้พักจากฟุตบอลและใช้เวลาอบอุ่นกับครอบครัวเต็มที่ อิชิอิ ได้รับข้อเสนอเป็นงานจากต่างแดน เมื่อบอร์ดบริหารของสโมสรสมุทรปราการ ซิตี้ ในศึกไทยลีก1 ตัดสินใจทาบทาม อิชิอิ ให้มาทำหน้าที่กุนซือ ซึ่งเขาก็ตอบรับความท้าทายกับการทำงานนอกประเทศเป็นครั้งแรกในชีวิต
การมาของ อิชิอิ ในฤดูกาล 2020/21 สร้างความสั่นสะเทือนให้กับวงการฟุตบอลไทยเป็นอย่างมาก เมื่อเขาแปลงโฉมสมุทรปราการ ซิตี้ จากทีมเล็กๆที่โยกมาจากพัทยา ให้มีสไตล์การเล่นฟุตบอลที่เร้าใจ ดุดัน และมีแบบแผน สู้ได้กับทุกทีมที่ขวางหน้า
แถมยังส่งเสริมให้บรรดาเด็กดาวรุ่งไทยในสังกัดชุดนั้นก้าวขึ้นมาเป็นที่จับตามองของวงการฟุตบอลไทย ไม่ว่าจะเป็น พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี, เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์, ชัยวัฒน์ บุราญ, ปฏิวัติ คําไหม, ศุภนันท์ บุรีรัตน์ , จักพัน ไพรสุวรรณ และอีกหลายต่อหลายคน ฤดูกาลนั้นเขาพาทีมจบอันดับ 6 ของตารางได้แบบเซอร์ไพรส์
- มาซาทาดะ อิชิอิ ย้ายมาคุมทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
เข้าสู่ฤดูกาล 2021/22 สัญญาของ อิชิอิ หมดลงในช่วงเดือนพฤศจิกายน และไม่นานด้วยฝีมือการคุมทีมของ อิชิอิ ไปเตะตาสโมสรยักษ์ใหญ่ของไทยอย่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กระชากตัวไปร่วมทีมในช่วงกลางฤดูกาล แทนที่ อเล็กซานเดร กาม่า กุนซือชาวบราซิล ที่แยกทางกับทีมไปช่วงก่อนหน้านี้พอดี
การได้มาอยู่กับทัพ "ปราสาทสายฟ้า" ที่มีทรัพยากรณ์ครบครัน ยิ่งช่วยส่งให้ฝีมือการทำทีมของ อิชิอิ เปล่งประกายมากขึ้นกว่าเดิม เขาพา บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด คว้า"ทริปเปิ้ลแชมป์"มาครองได้ถึง 2 ฤดูกาลติดต่อกัน (ฤดูกาล 2021/22 และ 2022/23) ในแบบที่ไม่เคยมีกุนซือคนไหนทำได้มาก่อน จริงอยู่ที่ บุรีรัมย์ฯ มีพร้อมทุกด้าน แต่ความสำเร็จก็ไม่ได้จะเสกกันง่ายๆ ถ้าไม่ใช่ของจริง การคุมทีมที่เต็มไปด้วยซุปตาร์ก็ยากที่จะเอาอยู่
- มาซาทาดะ อิชิอิ เข้ารับตำแหน่งในทีมชาติไทย
ผลงานที่ อิชิอิ ทำไว้กับสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ไม่มีอะไรที่จะต้องพิสูจน์ตัวเองอีกแล้ว และช่วงเวลา 3 ฤดูกาล ที่คลุกคลีอยู่กับวงการฟุตบอลไทย ก็ถึงเวลาแล้วที่เขาจะโบยบินให้สูงขึ้นเพื่อไปรับงานที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
เดือนสิงหาคม ปี 2023 หลังยุติเส้นทางกับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อิชิอิ ได้รับแต่งตั้งจากสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ภายใต้การบริหารงานของ "มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซำ ให้ก้าวไปรับตำแหน่งประธานเทคนิคของทีมชาติไทย จากนั้นไม่นาน วันที่ 22 พฤศจิกายนปีเดียวกัน มาซาทาดะ อิชิอิ ก็ได้รับโอกาสครั้งสำคัญ กับการขยับขึ้นไปรับตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย แทนที่ของ มาโน โพลกิ้ง ที่ทำผลงานน่าผิดหวังในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนเอเชีย
การเข้ามาทำงานในระดับทีมชาติ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีความแตกต่างจากการทำสโมสรอย่างสิ้นเชิง และแน่นอนว่ามันรวมถึงแรงกดดันที่มากขึ้นเป็นทวีคูณ อิชิอิ ค่อยๆใช้เวลาเรียนรู้และวางระบบรากฐานของตัวเองลงไป ไล่ตั้งแต่การที่เขาได้คุมทีมชุด U23 อยู่ช่วงเวลาหนึ่งควบคู่กับทีมชุดใหญ่ ก่อนจะเริ่มเดินหน้าแนวทางของตัวเองเพื่อเป้าหมายในการยกระดับทีมชาติไทย
แม้จะได้รับเสียงวิจารณ์จากแฟนบอลอยู่เรื่อยๆ ทั้งในการเลือกตัวนักเตะ และเมื่อยามที่ผลการแข่งขันไม่เป็นตามที่คาดหวัง แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องชื่นชมคือเขายังคงยึดมั่นในการทำงานของตัวเอง ไม่ละทิ้งความพยายามที่จะสร้างสิ่งที่กำลังทำออกมาเป็นรูปเป็นร่างให้แฟนๆชาวไทยได้เห็น แม้จะต้องแบกรับความกดดัน แต่ด้วยประสบการณ์กว่า 20 ปี ในวงการฟุตบอล เขาย่อมรู้ตัวเองดีว่ากำลังทำอะไรอยู่
ความสำเร็จตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเป็นกุนซือที่ได้รางวัลยอดเยี่ยมแห่งปีของฟุตบอลลีกสูงสุดญี่ปุ่น แถมยังได้ชื่อว่าเคยพาทีมเป็นรองแชมป์สโมสรโลกมาแล้ว ตลอดระยะเวลาเกือบ 2 ปี ที่ทัพ "ช้างศึก" มี มาซาทาดะ อิชิอิ คุมทีม มันเป็นช่วงเวลาที่มีทั้งสมหวัง ผิดหวัง ปะปนกันไป แต่นี่แหล่ะคือฟุตบอล คุณไม่มีทางที่จะสมหวังได้ตลอดทุกเกม
สิ่งสำคัญคือภาพรวมว่าเราได้เห็นทีมชาติไทยพัฒนาการไปในระดับไหน ขุมกำลังนักเตะที่ อิชิอิ ประกาศชัดเจนตั้งแต่แรกว่าเขาต้องการสร้างตัวเลือกใหม่ๆให้เพิ่มมากขึ้น มันกำลังผลิดอกออกผลมาให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ขออย่างเดียวแค่ทุกคนอดใจรอกับสิ่งที่โค้ชคนนี้กำลังพยายามทำให้ได้
แฟนๆทุกคนต่างรู้ดีว่าการจะสร้างฟุตบอลที่แข็งแกร่งอย่างยั่งยืน มันไม่สามารถทำกันได้ในชั่วพริบตา แต่ต้องแลกมาด้วยระยะเวลา การทำงานของ อิชิอิ เพิ่งจะผ่านไปแค่ไม่ถึง 2 ปี ยังถือว่าน้อยมากๆกับการรอคอยของแฟนฟุตบอลไทย ที่หลายครั้งเราเห็นวงการกำลังไปได้สวย แต่มีอันต้องถอยหลังกลับมาเริ่มกันใหม่ วนเวียนอยู่แบบนี้ไม่รู้จบ
เทียบกับเวลาการทำงานของ อิชิอิ เพียงแค่นี้ ยังถือว่าน้อยนิดเพียงเศษเสี้ยวของช่วงเวลาที่วงการฟุตบอลไทยย่ำอยู่กับที่ ความสำเร็จที่ผ่านมาของ อิชิอิ แม้จะเป็นในระดับสโมสร แต่ก็ใช่ว่าโค้ชคนไหนจะทำกันได้ง่ายๆหากไม่มีฝีมือจริง
ขอให้แฟนฟุตบอลชาวไทยอดทนต่อไป รอในวันที่ทัพ "ช้างศึก" กล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าเราประสบความสำเร็จ หรือในทางกลับกันอย่างร้ายที่สุดมันก็แค่มีเท่าเดิม เพิ่มเติมคือต่อยอดกับสิ่งที่ อิชิอิ วางเอาไว้ แม้การก้าวไปเป็นเบอร์ต้นๆของระดับเอเชียอาจจะยังคงต้องรอต่อไป เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าผลจะออกมาแบบไหน กาลเวลามันจะพิสูจน์คนว่าใครคือของจริง...
- อิชิอิ แฮปปี้ ทีมชาติไทย เก็บ 6 แต้มตามเป้า แต่ยังไม่สมบูรณ์แบบ
- โค้ชวัง ชื่นชมทีมชาติไทยชุดเตรียมซีเกมส์ คุมอารมณ์ได้ดีในเกมบุกเสมอจีน
- พรีวิวฟุตบอลเอเชียนคัพ ทีมชาติไทย เยือน ไต้หวัน
- ทีมชาติไทย เรียก ทรงวุฒิ-สันติภาพ แทน เจริญศักดิ์-โจนาธาร ที่บาดเจ็บ
- ประวัติ นิโคลัส มิคเกลสัน นักเตะทีมชาติไทยที่โลดแล่นในเยอรมัน
ที่มาข้อมูล : ช้างศึก
ที่มารูปภาพ : FA Thailand
