ประวัติ มาซาทาดะ อิชิอิ โค้ชทีมชาติไทย ที่กำลังคุม "ช้างศึก" ครบ 2 ปี

ประวัติ มาซาทาดะ อิชิอิ โค้ชทีมชาติไทย ที่กำลังคุม "ช้างศึก" ครบ 2 ปี

หลังจากที่ทัพ "ช้างศึก" ทีมชาติไทย สามารถพาตัวเองกลับสู่เส้นทางการลุ้นเข้ารอบสุดท้ายของศึกฟุตบอลเอเชียนคัพ 2027 ได้อย่างเต็มตัวอีกครั้ง กับการเดินหน้าเก็บชัยชนะเหนือ ทีมชาติไต้หวัน ได้ 2 นัดเหย้า-เยือน ในช่วงฟีฟ่าเดย์ที่ผ่านมา


ทำให้สถานการณ์ในกลุ่มดี ของทีมชาติไทย เรามี 9 คะแนน เท่ากับ เติร์กเมนิสถาน นั่นหมายความว่าโปรแกรมที่เหลืออีก 2 นัดในรอบคัดเลือก จะสำคัญมากๆ เพราะทุกแต้มทุกคะแนนล้วนมีความหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกมที่จะตัดกันเองกับ เติร์กเมนิสถาน ในนัดสุดท้ายของรอบคัดเลือก


ชัยชนะกับการเล่นในบ้านเหนือ ทีมชาติไต้หวัน 2-0 ตามมาพร้อมกับเสียงวิจารณ์ในเรื่องฟอร์มการเล่น เพราะแม้จะได้ 3 แต้มก็จริง แต่ภาพรวมยังไม่ดีพอกับการเจอทีมที่อันดับโลกต่ำกว่า คือแฟนๆต่างคาดหวังว่าจะชนะด้วยสกอร์ที่สวยงามกว่านี้


จากนั้นในเกมต่อมาเราต้องยกพลไปเยือน ไต้หวัน ก่อนจะทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการบุกไปถล่มมาถึง 6-1 ด้วยฟอร์มที่ตรงข้ามกับเกมแรก จังหวะจบสกอร์เฉียบขาดและเล่นแบบเป็นตัวเอง จนสามารถลบเสียงที่เคยวิจารณ์ลงได้โดยปริยาย 


โอกาสนี้เราจึงขอพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับเส้นทางฟุตบอลของ โค้ชมาซาทาดะ อิชิอิ ว่ากว่าที่จะเข้ามาแบกรับแรงกดดันในการคุมทีมชาติไทย เขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง...


- ประวัติ มาซาทาดะ อิชิอิ


มาซาทาดะ อิชิอิ เกิดเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1967 ณ เมืองอิจิฮาระ ในจังหวัดชิบะ ของประเทศญี่ปุ่น โดยเส้นทางการเป็นนักฟุตบอลของเขาต่อยอดจากการเล่นในระดับมหาวิทยาลัยในสถาบันที่ชื่อจุนเทนโด 

สรุปข่าว

มาซาทาดะ อิชิอิ เกิดวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 1967 ที่จังหวัดชิบะ ประเทศญี่ปุ่น เริ่มต้นเส้นทางนักฟุตบอลกับทีมเอ็นทีที คันโต ก่อนย้ายมาอยู่กับซูมิโตโมะ เมทัล (คาชิม่า แอนท์เลอร์ส) ลงเล่นกว่า 100 นัด และคว้าแชมป์เจลีกปี 1996 ก่อนแขวนสตั๊ดกับอวิสปา ฟุกุโอกะ ปี 1998 หลังเลิกเล่น เขาเริ่มงานโค้ชฟิตเนสกับคาชิม่า แอนท์เลอร์ส กว่า 10 ปี ก่อนก้าวขึ้นเป็นผู้ช่วยและได้คุมทีมใหญ่ปี 2015 พาทีมคว้าแชมป์เจลีก, เจลีกคัพ, เอ็มเพอเรอร์สคัพ และรองแชมป์สโมสรโลก 2016 พร้อมรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งปี ต่อมาอิชิอิย้ายไปคุมโอมิยะ อาร์ดิจา แต่ไม่สามารถพาทีมเลื่อนชั้นได้จึงลาออก ก่อนพักงานและหันไปใช้ชีวิตเรียบง่ายในบ้านเกิด จนปี 2020 ได้รับข้อเสนอจากสมุทรปราการ ซิตี้ ในไทยลีก พาทีมเล่นเกมรุกสนุกและปั้นดาวรุ่งหลายราย ก่อนย้ายไปคุมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด พาทีมคว้า “ทริปเปิ้ลแชมป์” 2 ฤดูกาลซ้อน (2021/22, 2022/23) ผลงานโดดเด่นทำให้ปี 2023 สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ แต่งตั้งอิชิอิเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย เขาค่อยๆ ปรับระบบทีม สร้างนักเตะหน้าใหม่ และนำ “ช้างศึก” กลับมามีลุ้นในศึกเอเชียนคัพ 2027 แม้ยังมีเสียงวิจารณ์ แต่ด้วยประสบการณ์และแนวทางที่ชัดเจน เขายังคงเป็นความหวังในการยกระดับฟุตบอลไทยให้ก้าวไกลในอนาคต

หลังจากที่ทัพ "ช้างศึก" ทีมชาติไทย สามารถพาตัวเองกลับสู่เส้นทางการลุ้นเข้ารอบสุดท้ายของศึกฟุตบอลเอเชียนคัพ 2027 ได้อย่างเต็มตัวอีกครั้ง กับการเดินหน้าเก็บชัยชนะเหนือ ทีมชาติไต้หวัน ได้ 2 นัดเหย้า-เยือน ในช่วงฟีฟ่าเดย์ที่ผ่านมา


ทำให้สถานการณ์ในกลุ่มดี ของทีมชาติไทย เรามี 9 คะแนน เท่ากับ เติร์กเมนิสถาน นั่นหมายความว่าโปรแกรมที่เหลืออีก 2 นัดในรอบคัดเลือก จะสำคัญมากๆ เพราะทุกแต้มทุกคะแนนล้วนมีความหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกมที่จะตัดกันเองกับ เติร์กเมนิสถาน ในนัดสุดท้ายของรอบคัดเลือก


ชัยชนะกับการเล่นในบ้านเหนือ ทีมชาติไต้หวัน 2-0 ตามมาพร้อมกับเสียงวิจารณ์ในเรื่องฟอร์มการเล่น เพราะแม้จะได้ 3 แต้มก็จริง แต่ภาพรวมยังไม่ดีพอกับการเจอทีมที่อันดับโลกต่ำกว่า คือแฟนๆต่างคาดหวังว่าจะชนะด้วยสกอร์ที่สวยงามกว่านี้


จากนั้นในเกมต่อมาเราต้องยกพลไปเยือน ไต้หวัน ก่อนจะทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการบุกไปถล่มมาถึง 6-1 ด้วยฟอร์มที่ตรงข้ามกับเกมแรก จังหวะจบสกอร์เฉียบขาดและเล่นแบบเป็นตัวเอง จนสามารถลบเสียงที่เคยวิจารณ์ลงได้โดยปริยาย 


โอกาสนี้เราจึงขอพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับเส้นทางฟุตบอลของ โค้ชมาซาทาดะ อิชิอิ ว่ากว่าที่จะเข้ามาแบกรับแรงกดดันในการคุมทีมชาติไทย เขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง...


- ประวัติ มาซาทาดะ อิชิอิ


มาซาทาดะ อิชิอิ เกิดเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1967 ณ เมืองอิจิฮาระ ในจังหวัดชิบะ ของประเทศญี่ปุ่น โดยเส้นทางการเป็นนักฟุตบอลของเขาต่อยอดจากการเล่นในระดับมหาวิทยาลัยในสถาบันที่ชื่อจุนเทนโด 

- มาซาทาดะ อิชิอิ สมัยเป็นนักเตะ


เมื่อจบการศึกษาก็ได้โอกาสเข้าสู่ระบบอาชีพเต็มตัว ภายใต้สังกัดทีมเอ็นทีที คันโต ในศึกเจแปนซอกเกอร์ลีก (เจลีก ในปัจจุบัน) ในช่วงระหว่างปี 1989-1991 ก่อนที่จะย้ายไปร่วมทีม ซูมิโตโมะ เมทัล (ปัจจุบันคือสโมสรคาชิม่า แอนท์เลอร์ส) ในฤดูกาลต่อมา


การย้ายมาอยู่กับ ซูมิโตโมะ เมทัล นับเป็นจุดสูงสุดในอาชีพนักเตะของ อิชิอิ เขาได้ลงเล่นเป็นตัวหลักตั้งแต่ฤดูกาลแรก จากนั้นเข้าสู่ปี 1993 วงการฟุตบอลญี่ปุ่นมีการเปลี่ยนแปลง โดยพวกเขารีแบรนด์ลีกในประเทศขึ้นมาใหม่ ภายใต้ชื่อ เจลีก


เขาได้โอกาสลงสนามมากกว่า 100 นัด ในช่วงระหว่างปี 1991-1997 แถมยังอยู่ในทีมชุดคว้าแชมป์แชมป์เจลีกมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ ในปี 1996 แม้บทบาทในสนามจะถูกลดลงและแทบไม่มี่สวนร่วมเพราะด้วยอายุที่มากขึ้น ก่อนที่ในปีสุดท้ายของอาชีพ เขาจะย้ายไปแขวนสตั๊ดกับสโมสรอวิสปา ฟุกุโอกะ ในปี 1998 ด้วยวัยเพียงแค่ 31 ปี 


- จุดเริ่มต้นงานโค้ชของ มาซาทาดะ อิชิอิ


หลังเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพ อิชิอิ ยังคงวนเวียนอยู่ในวงการลูกหนังด้วยการตัดสินใจมาเอาดีทางด้านการเป็นโค้ชฟิตเนส ให้กับอดีตต้นสังกัดอย่าง คาชิม่า แอนท์เลอร์ส และปักหลักอยู่กับทีมนานถึง 10 ปีเต็ม ในช่วงระหว่างปี 2002-2012 ซึ่งตลอดระยะเวลาที่นี่ เขาก็อาศัยครูพักลักจำศาสตร์ลูกหนังจากบรรดาโค้ชแต่ละคนที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาคุมทีม


อิชิอิ เลือกเก็บวิธีการฝึกสอนที่เขาคิดว่าดีมีประโยชน์และเรียนรู้ในความผิดพลาดของกุนซือมากหน้าหลายตาที่ได้ร่วมงานกัน จนกระทั่งจุดเปลี่ยนสำคัญของเขาเกิดขึ้นในปี 2012 เมื่อกุนซือใหญ่ชาวบราซิลของทีมในเวลานั้นอย่าง จอร์จินโญ่ มองเห็นความสามารถ จึงตัดสินใจขยับ อิชิอิ ให้มารับบทบาทผู้ช่วยโค้ช และทำงานร่วมกัน


- มาซาทาดะ อิชิอิ รับหน้าที่กุนซือใหญ่เต็มตัว


วันเวลาผ่านไป 2 ปี สโมสรแยกทางกับโค้ชจอร์จินโญ ก่อนจะไปดึงตัว โทนินโย่ โค้ชชาวบราซิลอีกคนมาแทนที่ แต่ไม่นานก็มาถึงอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญคือในช่วงระหว่างฤดูกาล 2015 สโมสรตัดสินใจแยกทางกับโค้ชอีกครั้ง ก่อนจะประกาศแต่งตั้ง มาซาทาดะ อิชิอิ ขึ้นมาทำหน้าที่หัวหน้าผู้ฝึกสอนคนใหม่ ด้วยวัย 48 ปี และเพียงแค่ 4 เดือนหลัง อิชิอิ ได้โอกาสทำทีมด้วยตัวเอง เขาพาสโมสรผงาดคว้าแชมป์บอลถ้วย เจลีกคัพ มาครองได้อย่างน่าเซอร์ไพรส์


ยิ่งไปกว่านั้นในฤดูกาลต่อมา อิชิอิ ในฐานะลูกหม้อของทีมก็สร้างผลงานชิ้นโบว์แดงด้วยการพา คาชิม่า แอนท์เลอร์ส คว้าแชมป์เจลีก มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ นับเป็นการกลับมาทวงบัลลังก์ในรอบ 7 ปี เท่านั้นยังไม่พอ อิชิอิ พาทีมพ่วงอีกหนึ่งความสำเร็จ คว้าแชมป์เอ็มเพอเรอร์สคัพ และผลงานการพาทีมได้ดับเบิลแชมป์ ก็ส่งให้เจ้าตัวได้รับรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของศึกเจลีก


อีกหนึ่งผลงานที่โลกลูกหนังยังคงจดจำคือการพาสโมสรคาชิม่า แอนท์เลอร์ส เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก และสามารถต่อกรกับทีมยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง เรอัล มาดริด ได้อย่างสมศักดิ์ศรี ด้วยผลงานเสมอในเวลา 90 นาที 2-2 ก่อนจะไปแพ้ในช่วงการต่อเวลาพิเศษ 4-2 ไปอย่างน่าเสียดาย


ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาล 2017 อิชิอิ ยังคงเดินหน้าไล่ล่าความสำเร็จมาสู่สโมสรกับการพาทีมคว้าแชมป์เจแปนนิสซูเปอร์คัพก่อนเปิดซีซั่น แต่หลังจากนั้นไม่นานในเดือนเมษายน อิชิอิ ก็แยกทางกับสโมสร ยุติเส้นทางฟุตบอลของเขากับ คาชิม่า แอนท์เลอร์ส ลงด้วยระยะเวลา 20 ปีเต็ม


- มาซาทาดะ อิชิอิ โยกไปคุมทัพ โอมิยะ อาร์ดิจา


หลังว่างงานไม่ทันไร อิชิอิ ก็ได้รับข้อเสนอให้ไปคุมทีมโอมิยะ อาร์ดิจา สโมสรแรกในการเล่นฟุตบอลอาชีพของเขา แต่สุดท้ายผลงานปีแรกไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเนื่องจากเขาไม่สามารถพาทีมอยู่รอดบนลีกสูงสุดได้ เป็นเหตุให้ต้องตกชั้นไปเล่นในเจลีก2 ซึ่งเจ้าตัวก็ขอปักหลักเพื่อพาสโมสรกลับเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดให้ได้ภายในปีเดียว


สุดท้ายทีมจบฤดูกาลด้วยอันดับ5 คว้าสิทธิ์ไปเพลย์ออฟเลื่อนชั้น แต่บทสรุปของฤดูกาลทีมก็ไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมาย ก่อนที่ มาซาทาดะ อิชิอิ จะตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง เพื่อรับผิดชอบกับผลงาน เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2018

- มาซาทาดะ อิชิอิ มุ่งหน้าสู่ประเทศไทย


หลังเหน็ดเหนื่อยจากฟุตบอล อิชิอิ ต้องการใช้เวลาอยู่กับครอบครัว เขาตัดสินใจเลือกทางที่ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายด้วยการไปทำงานเป็นพนักงานในศูนย์อาหารของโรงเรียนประถม ที่เมืองคาชิม่า ในเดือนมีนาคม 2019 ซึ่งการตัดสินใจครั้งนี้ทำให้เขากลับมามีไฟในตัวเองอีกครั้ง


เมื่อได้พักจากฟุตบอลและใช้เวลาอบอุ่นกับครอบครัวเต็มที่ อิชิอิ ได้รับข้อเสนอเป็นงานจากต่างแดน เมื่อบอร์ดบริหารของสโมสรสมุทรปราการ ซิตี้ ในศึกไทยลีก1 ตัดสินใจทาบทาม อิชิอิ ให้มาทำหน้าที่กุนซือ ซึ่งเขาก็ตอบรับความท้าทายกับการทำงานนอกประเทศเป็นครั้งแรกในชีวิต 


การมาของ อิชิอิ ในฤดูกาล 2020/21 สร้างความสั่นสะเทือนให้กับวงการฟุตบอลไทยเป็นอย่างมาก เมื่อเขาแปลงโฉมสมุทรปราการ ซิตี้ จากทีมเล็กๆที่โยกมาจากพัทยา ให้มีสไตล์การเล่นฟุตบอลที่เร้าใจ ดุดัน และมีแบบแผน สู้ได้กับทุกทีมที่ขวางหน้า 


แถมยังส่งเสริมให้บรรดาเด็กดาวรุ่งไทยในสังกัดชุดนั้นก้าวขึ้นมาเป็นที่จับตามองของวงการฟุตบอลไทย ไม่ว่าจะเป็น พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี, เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์, ชัยวัฒน์ บุราญ, ปฏิวัติ คําไหม, ศุภนันท์ บุรีรัตน์ , จักพัน ไพรสุวรรณ และอีกหลายต่อหลายคน ฤดูกาลนั้นเขาพาทีมจบอันดับ 6 ของตารางได้แบบเซอร์ไพรส์


- มาซาทาดะ อิชิอิ ย้ายมาคุมทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด


เข้าสู่ฤดูกาล 2021/22 สัญญาของ อิชิอิ หมดลงในช่วงเดือนพฤศจิกายน และไม่นานด้วยฝีมือการคุมทีมของ อิชิอิ ไปเตะตาสโมสรยักษ์ใหญ่ของไทยอย่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กระชากตัวไปร่วมทีมในช่วงกลางฤดูกาล แทนที่ อเล็กซานเดร กาม่า กุนซือชาวบราซิล ที่แยกทางกับทีมไปช่วงก่อนหน้านี้พอดี


การได้มาอยู่กับทัพ "ปราสาทสายฟ้า" ที่มีทรัพยากรณ์ครบครัน ยิ่งช่วยส่งให้ฝีมือการทำทีมของ อิชิอิ เปล่งประกายมากขึ้นกว่าเดิม เขาพา บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด คว้า"ทริปเปิ้ลแชมป์"มาครองได้ถึง 2 ฤดูกาลติดต่อกัน (ฤดูกาล 2021/22 และ 2022/23) ในแบบที่ไม่เคยมีกุนซือคนไหนทำได้มาก่อน จริงอยู่ที่ บุรีรัมย์ฯ มีพร้อมทุกด้าน แต่ความสำเร็จก็ไม่ได้จะเสกกันง่ายๆ ถ้าไม่ใช่ของจริง การคุมทีมที่เต็มไปด้วยซุปตาร์ก็ยากที่จะเอาอยู่


- มาซาทาดะ อิชิอิ เข้ารับตำแหน่งในทีมชาติไทย


ผลงานที่ อิชิอิ ทำไว้กับสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ไม่มีอะไรที่จะต้องพิสูจน์ตัวเองอีกแล้ว และช่วงเวลา 3 ฤดูกาล ที่คลุกคลีอยู่กับวงการฟุตบอลไทย ก็ถึงเวลาแล้วที่เขาจะโบยบินให้สูงขึ้นเพื่อไปรับงานที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม 


เดือนสิงหาคม ปี 2023 หลังยุติเส้นทางกับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อิชิอิ ได้รับแต่งตั้งจากสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ภายใต้การบริหารงานของ "มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซำ ให้ก้าวไปรับตำแหน่งประธานเทคนิคของทีมชาติไทย จากนั้นไม่นาน วันที่ 22 พฤศจิกายนปีเดียวกัน มาซาทาดะ อิชิอิ ก็ได้รับโอกาสครั้งสำคัญ กับการขยับขึ้นไปรับตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย แทนที่ของ มาโน โพลกิ้ง ที่ทำผลงานน่าผิดหวังในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนเอเชีย


การเข้ามาทำงานในระดับทีมชาติ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีความแตกต่างจากการทำสโมสรอย่างสิ้นเชิง และแน่นอนว่ามันรวมถึงแรงกดดันที่มากขึ้นเป็นทวีคูณ อิชิอิ ค่อยๆใช้เวลาเรียนรู้และวางระบบรากฐานของตัวเองลงไป ไล่ตั้งแต่การที่เขาได้คุมทีมชุด U23 อยู่ช่วงเวลาหนึ่งควบคู่กับทีมชุดใหญ่ ก่อนจะเริ่มเดินหน้าแนวทางของตัวเองเพื่อเป้าหมายในการยกระดับทีมชาติไทย


แม้จะได้รับเสียงวิจารณ์จากแฟนบอลอยู่เรื่อยๆ ทั้งในการเลือกตัวนักเตะ และเมื่อยามที่ผลการแข่งขันไม่เป็นตามที่คาดหวัง แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องชื่นชมคือเขายังคงยึดมั่นในการทำงานของตัวเอง ไม่ละทิ้งความพยายามที่จะสร้างสิ่งที่กำลังทำออกมาเป็นรูปเป็นร่างให้แฟนๆชาวไทยได้เห็น แม้จะต้องแบกรับความกดดัน แต่ด้วยประสบการณ์กว่า 20 ปี ในวงการฟุตบอล เขาย่อมรู้ตัวเองดีว่ากำลังทำอะไรอยู่


ความสำเร็จตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเป็นกุนซือที่ได้รางวัลยอดเยี่ยมแห่งปีของฟุตบอลลีกสูงสุดญี่ปุ่น แถมยังได้ชื่อว่าเคยพาทีมเป็นรองแชมป์สโมสรโลกมาแล้ว ตลอดระยะเวลาเกือบ 2 ปี ที่ทัพ "ช้างศึก" มี มาซาทาดะ อิชิอิ คุมทีม มันเป็นช่วงเวลาที่มีทั้งสมหวัง ผิดหวัง ปะปนกันไป แต่นี่แหล่ะคือฟุตบอล คุณไม่มีทางที่จะสมหวังได้ตลอดทุกเกม 


สิ่งสำคัญคือภาพรวมว่าเราได้เห็นทีมชาติไทยพัฒนาการไปในระดับไหน ขุมกำลังนักเตะที่ อิชิอิ ประกาศชัดเจนตั้งแต่แรกว่าเขาต้องการสร้างตัวเลือกใหม่ๆให้เพิ่มมากขึ้น มันกำลังผลิดอกออกผลมาให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ขออย่างเดียวแค่ทุกคนอดใจรอกับสิ่งที่โค้ชคนนี้กำลังพยายามทำให้ได้


แฟนๆทุกคนต่างรู้ดีว่าการจะสร้างฟุตบอลที่แข็งแกร่งอย่างยั่งยืน มันไม่สามารถทำกันได้ในชั่วพริบตา แต่ต้องแลกมาด้วยระยะเวลา การทำงานของ อิชิอิ เพิ่งจะผ่านไปแค่ไม่ถึง 2 ปี ยังถือว่าน้อยมากๆกับการรอคอยของแฟนฟุตบอลไทย ที่หลายครั้งเราเห็นวงการกำลังไปได้สวย แต่มีอันต้องถอยหลังกลับมาเริ่มกันใหม่ วนเวียนอยู่แบบนี้ไม่รู้จบ 


เทียบกับเวลาการทำงานของ อิชิอิ เพียงแค่นี้ ยังถือว่าน้อยนิดเพียงเศษเสี้ยวของช่วงเวลาที่วงการฟุตบอลไทยย่ำอยู่กับที่ ความสำเร็จที่ผ่านมาของ อิชิอิ แม้จะเป็นในระดับสโมสร แต่ก็ใช่ว่าโค้ชคนไหนจะทำกันได้ง่ายๆหากไม่มีฝีมือจริง 


ขอให้แฟนฟุตบอลชาวไทยอดทนต่อไป รอในวันที่ทัพ "ช้างศึก" กล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าเราประสบความสำเร็จ หรือในทางกลับกันอย่างร้ายที่สุดมันก็แค่มีเท่าเดิม เพิ่มเติมคือต่อยอดกับสิ่งที่ อิชิอิ วางเอาไว้ แม้การก้าวไปเป็นเบอร์ต้นๆของระดับเอเชียอาจจะยังคงต้องรอต่อไป เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าผลจะออกมาแบบไหน กาลเวลามันจะพิสูจน์คนว่าใครคือของจริง...

ที่มาข้อมูล : ช้างศึก

ที่มารูปภาพ : FA Thailand