ประวัติ : จอร์จ รัสเซลล์ นักขับแถวหน้า ว่าที่แชมป์โลกค่ายเมอร์ซิเดส

ประวัติ : จอร์จ รัสเซลล์ นักขับแถวหน้า ว่าที่แชมป์โลกค่ายเมอร์ซิเดส


จอร์จ วิลเลียม รัสเซลล์ (George William Russell) คือหนึ่งในนักแข่ง ฟอร์มูล่า วัน ที่น่าจับตามองที่สุดในยุคปัจจุบัน ด้วยความสามารถอันโดดเด่นในการคว้าตำแหน่งบนกริดสตาร์ทและความเป็นผู้นำที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วภายในทีมยักษ์ใหญ่อย่าง เมอร์ซิเดส และเพิ่งต่อสัญญาฉบับใหม่ล่าสุดที่ทำให้แฟนๆ เชื่อมั่นว่า “ซิลเวอร์แอร์โรว” จะกลับคืนสู่จุดสูงสุดได้อีกครั้ง ในฐานะนักขับที่มีประสบการณ์ และกำลังอยู่ในช่วงที่ดีที่สุดของอาชีพ


ประวัติส่วนตัว และเส้นทางอาชีพ


จอร์จ รัสเซลล์ เกิดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.. 1998 ที่เมืองคิงส์ลินน์ (King's Lynn) มณฑลนอร์ฟอล์ก ประเทศอังกฤษ ปัจจุบันเขาอายุ 27 ปี และแข่งขันให้กับทีม เมอร์ซิเดส-AMG PETRONAS F1 Team ด้วยหมายเลขรถ 63

จอร์จเติบโตมาในครอบครัวที่คลุกคลีกับมอเตอร์สปอร์ต โดยมี เบนจี้ พี่ชายของเขาที่เป็นนักแข่งรถคาร์ทระดับประเทศมาก่อน ความหลงใหลในความเร็วของจอร์จเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่อายุเพียง ขวบในวงการแข่งรถคาร์ท เขาทุ่มเทให้กับอาชีพนี้อย่างจริงจังจนต้องเปลี่ยนมาเรียนแบบโฮมสคูล (Homeschooling) ในช่วงอายุ 18 ปี เพื่อให้มีเวลาฝึกซ้อมและพัฒนาฝีมืออย่างเต็มที่


บุคลิกของรัสเซลล์ภายนอกสนามมักถูกมองว่าเป็น สุภาพบุรุษ ที่มีความสุขุม มีระเบียบวินัย และมีความมั่นใจในตัวเองสูง ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ได้สะท้อนมาสู่สไตล์การขับขี่ที่เน้นความแม่นยำและการควบคุมเป็นหลัก ทำให้เขาได้รับความเคารพจากทั้งคู่แข่งและเพื่อนร่วมทีม


เส้นทางอาชีพของรัสเซลล์ตั้งแต่ระดับเยาวชนไปจนถึง F1 เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพรสวรรค์และความสม่ำเสมอในการคว้าแชมป์ในทุกระดับที่เขาลงแข่ง


เส้นทางแชมป์ในระดับเยาวชน (2014-2018)

2014 คว้าแชมป์ BRDC F4 Championship ได้ทันทีในปีแรกที่ลงแข่งรถล้อเปิด และได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ McLaren BRDC Autosport Award

2017 ในฐานะนักขับเยาวชนของ เมอร์ซิเดส-Benz เขาคว้าแชมป์ GP3 Series กับทีม ART Grand Prix

2018 สานต่อความสำเร็จด้วยการคว้าแชมป์ FIA Formula 2 Championship ได้สำเร็จตั้งแต่ฤดูกาลแรก โดยเอาชนะคู่แข่งคนสำคัญในปัจจุบันอย่างแลนโด นอร์ริส และอเล็กซานเดอร์ อัลบอนไปได้อย่างเด็ดขาด การคว้าแชมป์ F2 ในปีแรกนี้เองที่เป็นใบเบิกทางชั้นยอดสู่ F1 ในเวลาต่อมา

สรุปข่าว

จอร์จ รัสเซลล์ คือหนึ่งในนักแข่ง ฟอร์มูล่า วัน ที่น่าจับตามองที่สุดในยุคปัจจุบัน และอนาคตอันมั่นคงกับ เมอร์ซิเดส ทำให้เชื่อได้ว่า นี่คือว่าที่แชมป์โลก


จอร์จ วิลเลียม รัสเซลล์ (George William Russell) คือหนึ่งในนักแข่ง ฟอร์มูล่า วัน ที่น่าจับตามองที่สุดในยุคปัจจุบัน ด้วยความสามารถอันโดดเด่นในการคว้าตำแหน่งบนกริดสตาร์ทและความเป็นผู้นำที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วภายในทีมยักษ์ใหญ่อย่าง เมอร์ซิเดส และเพิ่งต่อสัญญาฉบับใหม่ล่าสุดที่ทำให้แฟนๆ เชื่อมั่นว่า “ซิลเวอร์แอร์โรว” จะกลับคืนสู่จุดสูงสุดได้อีกครั้ง ในฐานะนักขับที่มีประสบการณ์ และกำลังอยู่ในช่วงที่ดีที่สุดของอาชีพ


ประวัติส่วนตัว และเส้นทางอาชีพ


จอร์จ รัสเซลล์ เกิดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.. 1998 ที่เมืองคิงส์ลินน์ (King's Lynn) มณฑลนอร์ฟอล์ก ประเทศอังกฤษ ปัจจุบันเขาอายุ 27 ปี และแข่งขันให้กับทีม เมอร์ซิเดส-AMG PETRONAS F1 Team ด้วยหมายเลขรถ 63

จอร์จเติบโตมาในครอบครัวที่คลุกคลีกับมอเตอร์สปอร์ต โดยมี เบนจี้ พี่ชายของเขาที่เป็นนักแข่งรถคาร์ทระดับประเทศมาก่อน ความหลงใหลในความเร็วของจอร์จเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่อายุเพียง ขวบในวงการแข่งรถคาร์ท เขาทุ่มเทให้กับอาชีพนี้อย่างจริงจังจนต้องเปลี่ยนมาเรียนแบบโฮมสคูล (Homeschooling) ในช่วงอายุ 18 ปี เพื่อให้มีเวลาฝึกซ้อมและพัฒนาฝีมืออย่างเต็มที่


บุคลิกของรัสเซลล์ภายนอกสนามมักถูกมองว่าเป็น สุภาพบุรุษ ที่มีความสุขุม มีระเบียบวินัย และมีความมั่นใจในตัวเองสูง ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ได้สะท้อนมาสู่สไตล์การขับขี่ที่เน้นความแม่นยำและการควบคุมเป็นหลัก ทำให้เขาได้รับความเคารพจากทั้งคู่แข่งและเพื่อนร่วมทีม


เส้นทางอาชีพของรัสเซลล์ตั้งแต่ระดับเยาวชนไปจนถึง F1 เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพรสวรรค์และความสม่ำเสมอในการคว้าแชมป์ในทุกระดับที่เขาลงแข่ง


เส้นทางแชมป์ในระดับเยาวชน (2014-2018)

2014 คว้าแชมป์ BRDC F4 Championship ได้ทันทีในปีแรกที่ลงแข่งรถล้อเปิด และได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ McLaren BRDC Autosport Award

2017 ในฐานะนักขับเยาวชนของ เมอร์ซิเดส-Benz เขาคว้าแชมป์ GP3 Series กับทีม ART Grand Prix

2018 สานต่อความสำเร็จด้วยการคว้าแชมป์ FIA Formula 2 Championship ได้สำเร็จตั้งแต่ฤดูกาลแรก โดยเอาชนะคู่แข่งคนสำคัญในปัจจุบันอย่างแลนโด นอร์ริส และอเล็กซานเดอร์ อัลบอนไปได้อย่างเด็ดขาด การคว้าแชมป์ F2 ในปีแรกนี้เองที่เป็นใบเบิกทางชั้นยอดสู่ F1 ในเวลาต่อมา




ช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นที่ วิลเลี่ยมส์ (2019-2021)

รัสเซลล์เริ่มต้นอาชีพ F1 กับทีม วิลเลี่ยมส์ เรซิ่ง ซึ่งเป็นทีมที่มีสมรรถนะรถค่อนข้างจำกัดในช่วงเวลานั้น ถึงแม้รถจะไม่อยู่ในกลุ่มหน้า แต่รัสเซลล์ก็แสดงความสามารถในการขับรอบคัดเลือก (Qualifying) ได้อย่างน่าทึ่ง จนได้รับฉายาว่า "มิสเตอร์วันเสาร์" (Mr. Saturday) เพราะเขามักจะนำรถที่ควรจะอยู่ท้ายสุดของตารางเข้าสู่รอบ Q2 หรือ Q3 ได้อย่างสม่ำเสมอ เขาทำสถิติเอาชนะเพื่อนร่วมทีมในรอบคัดเลือกถึง 21 ครั้งติดต่อกัน ในฤดูกาลแรก

จุดเปลี่ยนสำคัญ เกิดขึ้นใน ซาคีร์ กรังด์ปรีซ์ 2020 เมื่อเขาถูกเรียกตัวให้ขับแทนลูอิส แฮมิลตันที่ป่วยด้วยโควิด-19 ให้กับทีม เมอร์ซิเดส เขานำการแข่งขันเกือบตลอดทั้งเรซ และโชว์ฟอร์มได้โดดเด่นสมราคาดาวรุ่ง แม้สุดท้ายจะพลาดชัยชนะไปเพราะความโชคร้ายจากปัญหาพิตสต็อปผิดพลาดและยางรั่ว


ชัยชนะแรกที่ เมอร์ซิเดส (2022 – ปัจจุบัน)

ผลงานที่ย่ำแย่ติดต่อกันหลายปีดุจยุคมืดของวิลเลี่ยมส์ ไม่ทำให้ เมอร์ซิเดส ถอดใจกับผลงานของ รัสเซลล์ ปี 2022 รัสเซลล์ได้ก้าวขึ้นมาเป็นนักขับตัวหลักของทีม เมอร์ซิเดส อย่างเต็มตัว คู่กับแฮมิลตัน และสามารถคว้าชัยชนะ F1 ครั้งแรกในอาชีพที่ เซาเปาโล กรังด์ปรีซ์ 2022 (Brazilian GP) ซึ่งเป็นชัยชนะเดียวของทีมเมอร์เซเดสในปีนั้น ชัยชนะนี้เป็นบทพิสูจน์ว่าเขามีศักยภาพที่จะเป็นแชมป์โลกในอนาคต


สไตล์การขับขี่และจุดแข็ง


สไตล์การขับขี่ของจอร์จ รัสเซลล์ ได้รับการวิเคราะห์ว่าเป็นแบบ "ราบรื่นและควบคุมได้ดีเยี่ยม" (Smooth and Highly Controlled) ซึ่งเข้ากันได้ดีกับรถ F1 ยุคใหม่ที่ใช้หลักการ Ground Effectและใช้แรงบังคับเลี้ยว (Steering Input) ที่น้อยและแม่นยำมาก ซึ่งช่วยให้รถมีความเสถียรขณะเข้าโค้งและลดการไถลของยาง (Sliding) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


การจัดการยางที่เป็นเลิศ สไตล์ที่ราบรื่นนี้ส่งผลดีต่อ การจัดการยาง (Tire Management) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดการสึกหรอของยาง (Tire Degradation) ทำให้เขาสามารถยืดอายุการใช้งานของยางในการแข่งขันได้ดีกว่านักขับที่มีสไตล์การขับที่ดุดันกว่า และมีความสามารถในการปรับตัว ซึ่งรัสเซลล์แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการดึงประสิทธิภาพสูงสุดของรถออกมาหลายครั้ง ไม่ว่ารถคันนั้นจะมีปัญหาในการจัดการหรือไม่ก็ตาม ดังที่เห็นได้จากการทำผลงานที่ยอดเยี่ยมอย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงที่รถ เมอร์ซิเดส เผชิญกับความท้าทายด้านสมรรถนะ และไม่ใช่รถที่เร็วที่สุดหลังจากเสียแชมป์ประเภททีมไปตั้งแต่ปี 2022


ผลงานความสำเร็จที่สำคัญ

รัสเซลล์ได้สั่งสมผลงานที่แข็งแกร่งตลอดอาชีพใน F1 ซึ่งเป็นพื้นฐานที่มั่นคงในการก้าวไปสู่การเป็นแชมป์โลกในอนาคต โดยความสำเร็จที่สำคัญใน F1เป็นสถิติล่าสุด หลังจากจบ สิงคโปร์ กรังด์ปรีซ์ 2025


แชมป์สนาม ครั้ง (ครั้งแรก เซาเปาโล กรังด์ปรีซ์ 2022)

โพเดียม 23 ครั้ง (โพเดียมแรก เบลเยียม กรังด์ปรีซ์ 2021 กับทีม Williams)

โพล โพซิชั่น ครั้ง

ผลงานดีที่สุดในตารางแชมป์โลก อันดับ 4 (2022)


ความสำเร็จในระดับเยาวชน

แชมป์ FIA Formula 2 (2018) และแชมป์ GP3 Series (2017)



คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ จอร์จ รัสเซลล์

Q : รัสเซลล์ เติบโตมาจากโครงการเยาวชนของทีมใด?

A : รัสเซลล์ เป็นส่วนหนึ่งของ เมอร์ซิเดส-Benz Junior Programme มาตั้งแต่ปี 2017 และโครงการนี้เองที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเขาใน F2 และการเข้าสู่ทีม เมอร์ซิเดส ในที่สุด


Q : ทำไมรัสเซลล์ถึงใช้หมายเลขรถ 63?

A : หมายเลข 63 เป็นหมายเลขที่จอร์จเลือก โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากรถคาร์ทที่เบนจี้ พี่ชายเคยใช้ในการแข่งขันคาร์ทเมื่อครั้งยังเด็ก


Q : ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของรัสเซลล์ใน F1 คืออะไร?

A : ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือการเป็นคู่หูและคู่แข่งของ ลูอิส แฮมิลตัน ตำนานนักแข่ง F1 ในช่วงที่รถ เมอร์ซิเดส กำลังอยู่ในช่วงปรับตัวเพื่อกลับมาสู่การเป็นทีมชั้นนำอีกครั้ง การต้องรักษาผลงานให้โดดเด่นภายใต้แรงกดดันจากเพื่อนร่วมทีมที่เป็นแชมป์โลก สมัย คือบททดสอบที่สำคัญที่สุดของเขา


Q : โอกาสที่รัสเซลล์จะคว้าแชมป์โลก F1 มีมากน้อยแค่ไหน?

A : ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่มองว่ารัสเซลล์มีศักยภาพและทักษะครบถ้วนที่จะเป็นแชมป์โลกได้อย่างแน่นอน การเซ็นสัญญาในระยะยาวกับ เมอร์ซิเดส และการก้าวขึ้นเป็นผู้นำหลังการย้ายค่ายของแฮมิลตัน ทำให้เขามีตำแหน่งที่แข็งแกร่งในการเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาทีม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการคว้าแชมป์โลกในอนาคต


จอร์จ รัสเซลล์ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ดาวรุ่งอีกต่อไป แต่เป็นผู้นำและเป็นนักขับแถวหน้าที่พร้อมจะพา เมอร์ซิเดส กลับสู่ยุคแห่งความยิ่งใหญ่ การผสมผสานระหว่างความสามารถในการขับขี่ที่นุ่มนวลแต่แม่นยำ กับบุคลิกที่สุขุมและเป็นผู้นำ ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในนักแข่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดที่กำลังจะสร้างประวัติศาสตร์บทใหม่ให้กับ ฟอร์มูล่า วัน ในอีกหลายปีข้างหน้า

ที่มาข้อมูล : F1

ที่มารูปภาพ : AFP