ประวัติ กาสเปรินี่ กุนซือผู้ปลุกชีพหมาป่ากรุงโรม อาแอส โรม่า

Share on Line Share on Facebook Share on X
ประวัติ กาสเปรินี่ กุนซือผู้ปลุกชีพหมาป่ากรุงโรม อาแอส โรม่า

จากผลงานอันยอดเยี่ยมของ อาแอส โรม่า ที่เกิดขึ้นในช่วงออกสตาร์ทฤดูกาล 2025-26 กับการขึ้นไปรั้งจ่าฝูงของตารางกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี แต่เพียงผู้เดียว หลังการแข่งขันผ่านไป 12 นัด


ทำให้แฟนๆ "หมาป่าแห่งกรุงโรม" กลับมาดูมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เพราะพวกเขาห่างหายจากถ้วยแชมป์สคูเด็ตโต้ ไปนานร่วมๆ 25 ปีเต็ม ครั้งสุดท้ายที่ครองบัลลังก์ต้องย้อนไปในปี 2001 


ภายใต้การคุมทัพของ จาน ปิเอโร่ กาสเปรินี่ ที่เข้ามารับงานกับโรม่า เพียงแค่ฤดูกาลแรก แต่กลับเสกทีมให้มีผลงานที่ร้อนแรงจนติดลมบนได้ขนาดนี้ ถึงขั้นที่แฟนๆของสโมสรทำป้ายไวนิลภาพของเขาเปรียบเป็นพ่อมดที่เข้ามาเปลี่ยนทีมอย่างสิ้นเชิง


เราขอใช้โอกาสนี้พาทุกท่านไปทำความรู้จักกับกุนซือพ่อมดรายนี้กันดูว่า ตลอดเส้นทางลูกหนังของเขา โดยเฉพาะกับบทบาทเฮดโค้ช จะผ่านเรื่องราวอะไรมาบ้าง? ไปติดตามกัน...


ประวัติ กาสเปรินี่


จาน ปิเอโร่ กาสเปรินี่ เกิดเมื่อวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1958 ณ เมืองกรูกลียัสโก ประเทศอิตาลี เริ่มต้นเส้นทางฟุตบอลด้วยการเป็นนักเตะเยาวชนของสโมสรยูเวนตุส ในวัย 9 ขวบ แต่สุดท้ายก็ยังไม่ดีพอที่จะก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่


ไม่นานเขาก็ถูกปล่อยออกจากทีมด้วยการย้ายไปอยู่กับ เรจจิน่า ด้วยสัญญายืมตัว ก่อนจะถูกขายต่อให้ ปาแลร์โม ที่เวลานั้นโลดแล่นอยู่ในเซเรีย บี ในวัย 20 ปี ซึ่งเขาได้โอกาสลงเล่นอย่างสม่ำเสมอกับสโมสรแห่งนี้ ก่อนจะอยู่ยาวกับทีมในลีกรองนานถึง 5 ปีเต็ม และมีส่วนสำคัญกับการพาทีมเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วย โคปปา อิตาเลียในปี 1979 แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับ ยูเวนตุส


จากนั้นชีพจรเริ่มลงเท้า เขาย้ายไปอยู่กับ คาเวเซ่ ทีมในลีกรองเช่นกัน ตามด้วย ปิสโตเยเซ่ ในเซเรีย ซี ซึ่งชีวิตนักฟุตบอลส่วนใหญ่ก็ทำได้แค่การเล่นในลีกรอง จนกระทั่งเขาย้ายไปอยู่กับ เปสคาร่า และพาทีมเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดได้สำเร็จ ส่งผลให้เจ้าตัวได้โอกาสวาดลวดลวยในศึกกัลโช่ เซเรีย อา เป็นครั้งแรก หลังจากนั้นในช่วงบั้นปลายอาชีพ เขาย้ายไปอยู่กับแลร์นิตาน่า ก่อนจะไปแขวนสตั๊ดกับสโมสรเปซาโรม่า ด้วยวัย 35 ปี 

สรุปข่าว

จาน ปิเอโร่ กาสเปรินี่ กุนซือวัย 67 ปี ผู้ถูกยกย่องว่าเป็น “พ่อมด” ของโรม่า กำลังพาทีมทำผลงานสุดร้อนแรงในฤดูกาลแรกของเขา (2025-26) ด้วยการนำทัพ “หมาป่าแห่งกรุงโรม” รั้งจ่าฝูงกัลโช่ เซเรีย อา หลังผ่าน 12 นัด จุดประกายความหวังลุ้นสคูเด็ตโต้ครั้งแรกในรอบ 25 ปี กาสเปรินี่ เริ่มต้นจากการเป็นนักเตะเยาวชนยูเวนตุส ก่อนโลดแล่นในลีกรองอิตาลีเกือบตลอดเส้นทาง จนได้สัมผัสเซเรีย อา กับเปสคาร่า และแขวนสตั๊ดในวัย 35 ปี จากนั้นเริ่มงานโค้ชกับทีมเยาวชนยูเวนตุส ก่อนพาโครโตเน่และเจนัวเลื่อนชั้น พร้อมจารึกชื่อจากระบบ 3-4-3 ที่โดดเด่นจนได้รับคำชมจาก โชเซ มูรินโญ่ จุดเปลี่ยนสำคัญในอาชีพคือการคุมอตาลันต้า (2016-2025) ที่เขาพาทีมจากโซนหนีตกชั้นสู่ระดับท็อปของลีกอิตาลี ผ่านเข้ารอบลึกในบอลยุโรปหลายครั้ง รวมถึงการคว้าแชมป์ยูโรปาลีกฤดูกาล 2023-24 ซึ่งเป็นแชมป์แรกในฐานะเฮดโค้ชของเขา ก่อนอำลาทีมด้วยผลงานยอดเยี่ยมตลอด 9 ปี ปี 2025 กาสเปรินี่รับงานคุมอาแอส โรม่า พร้อมสร้างความเปลี่ยนแปลงทันที ทั้งรูปแบบการเล่นที่ชัดเจน การยกระดับนักเตะ และผลงานที่พาทีมทะยานสู่หัวตารางได้อย่างเหนือความคาดหมาย จนแฟนบอลยกย่องว่าเขาคือผู้ปลุกชีพหมาป่ากรุงโรมอย่างแท้จริง ฤดูกาลยังอีกยาวไกล แต่ผลงานของกาสเปรินี่ทำให้แฟนโรม่าเริ่มฝันไกลว่า นี่อาจเป็นปีที่สโมสรได้กลับสู่ความยิ่งใหญ่และลุ้นคว้าแชมป์สคูเด็ตโต้ครั้งประวัติศาสตร์อีกครั้ง

จากผลงานอันยอดเยี่ยมของ อาแอส โรม่า ที่เกิดขึ้นในช่วงออกสตาร์ทฤดูกาล 2025-26 กับการขึ้นไปรั้งจ่าฝูงของตารางกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี แต่เพียงผู้เดียว หลังการแข่งขันผ่านไป 12 นัด


ทำให้แฟนๆ "หมาป่าแห่งกรุงโรม" กลับมาดูมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เพราะพวกเขาห่างหายจากถ้วยแชมป์สคูเด็ตโต้ ไปนานร่วมๆ 25 ปีเต็ม ครั้งสุดท้ายที่ครองบัลลังก์ต้องย้อนไปในปี 2001 


ภายใต้การคุมทัพของ จาน ปิเอโร่ กาสเปรินี่ ที่เข้ามารับงานกับโรม่า เพียงแค่ฤดูกาลแรก แต่กลับเสกทีมให้มีผลงานที่ร้อนแรงจนติดลมบนได้ขนาดนี้ ถึงขั้นที่แฟนๆของสโมสรทำป้ายไวนิลภาพของเขาเปรียบเป็นพ่อมดที่เข้ามาเปลี่ยนทีมอย่างสิ้นเชิง


เราขอใช้โอกาสนี้พาทุกท่านไปทำความรู้จักกับกุนซือพ่อมดรายนี้กันดูว่า ตลอดเส้นทางลูกหนังของเขา โดยเฉพาะกับบทบาทเฮดโค้ช จะผ่านเรื่องราวอะไรมาบ้าง? ไปติดตามกัน...


ประวัติ กาสเปรินี่


จาน ปิเอโร่ กาสเปรินี่ เกิดเมื่อวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1958 ณ เมืองกรูกลียัสโก ประเทศอิตาลี เริ่มต้นเส้นทางฟุตบอลด้วยการเป็นนักเตะเยาวชนของสโมสรยูเวนตุส ในวัย 9 ขวบ แต่สุดท้ายก็ยังไม่ดีพอที่จะก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่


ไม่นานเขาก็ถูกปล่อยออกจากทีมด้วยการย้ายไปอยู่กับ เรจจิน่า ด้วยสัญญายืมตัว ก่อนจะถูกขายต่อให้ ปาแลร์โม ที่เวลานั้นโลดแล่นอยู่ในเซเรีย บี ในวัย 20 ปี ซึ่งเขาได้โอกาสลงเล่นอย่างสม่ำเสมอกับสโมสรแห่งนี้ ก่อนจะอยู่ยาวกับทีมในลีกรองนานถึง 5 ปีเต็ม และมีส่วนสำคัญกับการพาทีมเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วย โคปปา อิตาเลียในปี 1979 แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับ ยูเวนตุส


จากนั้นชีพจรเริ่มลงเท้า เขาย้ายไปอยู่กับ คาเวเซ่ ทีมในลีกรองเช่นกัน ตามด้วย ปิสโตเยเซ่ ในเซเรีย ซี ซึ่งชีวิตนักฟุตบอลส่วนใหญ่ก็ทำได้แค่การเล่นในลีกรอง จนกระทั่งเขาย้ายไปอยู่กับ เปสคาร่า และพาทีมเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดได้สำเร็จ ส่งผลให้เจ้าตัวได้โอกาสวาดลวดลวยในศึกกัลโช่ เซเรีย อา เป็นครั้งแรก หลังจากนั้นในช่วงบั้นปลายอาชีพ เขาย้ายไปอยู่กับแลร์นิตาน่า ก่อนจะไปแขวนสตั๊ดกับสโมสรเปซาโรม่า ด้วยวัย 35 ปี 

เส้นทางโค้ชของ กาสเปรินี่


หลังแขวนสตั๊ดเพียงแค่ปีเดียว เขาได้โอกาสเริ่มต้นในเส้นทางสายโค้ชเมื่อปี 1994 ด้วยการกลับสู่บ้านหลังเดิมอย่าง ยูเวนตุส ในฐานะกุนซือทีมเยาวชน ก่อนจะตัดสินใจเข้ารับงานคุมทัพโครโตเน่ ในระดับเซเรีย ซี เมื่อปี 2003 และพาทีมเลื่อนชั้นขึ้นสู่ลีกรองได้สำเร็จ และคุมทีมต่อไปอีก 2 ปี ก่อนที่จะโดนปลดออกจากตำแหน่ง ในฤดูกาล 2004-05 แต่ไม่นานก็ได้กลับมาคุมทีมอีกครั้ง


กาสเปรินี่ คุมทีมเจนัว


เข้าสู่ปี 2006 เขารับงานคุมทีมเจนัว ในลีกรอง ก่อนจะเสกให้ทีมเลื่อนชั้นสู่เวทีลีกสูงสุดได้สำเร็จตั้งแต่ฤดูกาลแรก และผลงานชิ้นโบว์แดงคือการพาทีมจบอันดับ5 ของตารางในฤดูกาล 2008-09 ซึ่งนับเป็นอันดับที่ดีที่สุดในรอบ 19 ปีของสโมสร พร้อมกับคว้าสิทธิ์ไปเล่นในศึกยูฟ่า ยูโรปาลีก โดยมีนักเตะชูโรงอย่าง ดิเอโก มิลิโต กองหน้าคนสำคัญ และ ติอาโก้ ม็อตตา คอยคุมจังหวะในแดนกลาง 


ด้วยสไตล์การเล่นที่วางแผนในระบบ 3-4-3 ทำให้เขาเป็นโค้ชที่ได้รับคำชมอย่างมากในวงการฟุตบอลอิตาลี ถึงขั้นที่ โชเซ มูรินโญ่ ที่ตอนนั้นคุมทัพอินเตอร์ มิลาน ต้องออกปากชื่นชมว่านี่คือโค้ชที่เขารับมือด้วยยากที่สุดคนหนึ่ง


เข้าสู่ฤดูกาล 2010-11 เขาพาทีมเจนัว ทำผลงานตกลงไปอย่างน่าใจหาย ด้วยการเก็บได้เพียงแค่ 11 คะแนน จากการออกสตาร์ท 10 นัดแรก ส่งผลให้ทีมต้องหาจุดเปลี่ยน ก่อนจะตัดสินใจปลดเขาออกจากตำแหน่งในที่สุด เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2010


กาสเปรินี่ คุมทีมอินเตอร์ มิลาน


24 มิถุนายน 2011 สโมสรอินเตอร์ มิลาน ตัดสินใจแต่งตั้ง กาสเปรินี่ เข้ามาคุมทีมแทนที่ เลโอนาร์โด แต่ก็ไม่วายมีอันต้องแยกย้าย หลังพาทีมทำผลงานย่ำแย่ ไม่ชนะใคร 5 เกมติดต่อกัน แถมเป็นการแพ้ไปถึง 4 นัด ส่งผลให้เขาโดนปลดออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2011 ทั้งๆที่เพิ่งจะคุมทีมไปแค่ 3 เดือน


กาสเปรินี่ คุมทีมปาแลร์โม่


หลังเว้นวรรคพักสมองเป็นเวลา 1 ปี เขาตัดสินใจรับงานคุมทีมปาแลร์โม่ ต่อจากจูเซปเป ซานนิโน่ แต่ไม่นานก็เป็นอันต้องแยกย้ายอีกครั้ง หลังผลงานไม่เป็นไปตามเป้า เขาโดนปลดออกจากตำแหน่งวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2013 ก่อนจะได้โอกาสกลับเข้ามาอีกครั้งด้วยเวลาอันรวดเร็ว ในวันที่24 กุมภาพันธ์ 2013 แทนที่ของ อัลแบร์โต มาเลซานี ที่เข้ามาสลับขั้ว แต่ผลงานทีมก็ยังไม่ดีขึ้น ทำให้ กาสเปรินี่ โดนไล่ออกอีกครั้งในวันที่ 11 มีนาคม 2013  

กาสเปรินี่ กลับมาคุมทีมเจนัว


29 กันยายน 2013 เขาเข้ารับงานคุมทีมเจนัว อีกครั้ง และใช้เวลาอยู่กับทีมนานถึง 3 ปี 


กาสเปรินี่ สร้างความหัศจรรย์ที่ อตาลันต้า


14 มิถุนายน 2016 กาสเปรินี่ ได้รับการแต่งตั้งให้คุมทีมอตาลันต้า ด้วยเป้าหมายพาทีมรอดตกชั้นบนลีกสูงสุด โดยในช่วงเริ่มต้นเขาต้องเจอกับความยากลำบาก แถมมีช่วงเวลาที่เกือบจะโดนไล่ออกกับการพาทีมรั้งอันดับรองบ๊วยของตาราง 


ก่อนจะได้จุดเปลี่ยนสำคัญและพาทีมทำผลงานดีขึ้นแบบก้าวกระโดด มีทั้งการเอาชนะทีมยักษ์ใหญ่อย่าง อินเตอร์ มิลาน, โรม่า และนาโปลี บทสรุปสุดท้ายเขาพาทีมจบอันดับ 4 ของตาราง และคว้าตั๋วไปลุยยูฟ่า ยูโรปาลีก ได้แบบหักปากกาเซียน นับเป็นการกลับมาเล่นบอลยุโรปอีกครั้งในรอบ 26 ปี ของสโมสร


เข้าสู่ฤดูกาล 2017-18 เส้นทางยุโรปของพวกเขาต้องจอดไว้ที่รอบ 16 ทีมสุดท้าย ด้วยการแพ้ให้กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ (สกอร์รวม 3-4) ส่วนผลงานในลีกจบอันดับ 7 ของตาราง และได้สิทธิ์ไปลุยยูโรปาลีก อีกครั้งเป็นปีที่สองติดต่อกัน แถมด้วยการเข้าถึงรอบรองชนะเลิศบอลถ้วยในประเทศอย่างศึกโคปปา อิตาเลีย ก่อนจะโดน ยูเวนตุส เขี่ยตกรอบในที่สุด


ถัดมาในฤดูกาล 2018-19 กาสเปรินี่ พาอตาลันต้า โชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรง กับการจบอันดับ3 ของศึกกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ได้สิทธิ์ไปแข่งขันในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร พ่วงด้วยการผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศในศึกโคปปา อิตาเลีย ก่อนจะพ่ายให้กับ ลาซิโอ 0-2 พลาดแชมป์ไปอย่างน่าเสียดาย


ฤดูกาล 2019-20 การมาเล่นในถ้วยใหญ่ของยุโรปเป็นครั้งแรก พวกเขาไม่ได้มาเป็นไม้ประดับ แต่กลายเป็นม้ามืดของรายการ หลังสามารถผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ ด้วยการจบอันดับ2 ในกลุ่มที่มีทีมอย่าง แมนเชสเตอร์ซิตี้, ชัคตาร์โดเนตสค์ และดินาโมซาเกร็บ


จากนั้นพวกเขาผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ด้วยการเอาชนะ บาเลนเซีย ทีมแกร่งจากสเปน(สกอร์รวม 8-4) ก่อนจะไปโดน เปแอสเช เขี่ยตกรอบ 8 ทีม ในขณะที่ผลงานในลีกก็ยังคงรักษามาตรฐานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการจบอันดับ3 และได้ไปลุยแชมเปี้ยนส์ลีก เป็นฤดูกาลที่สองติดต่อกัน ในยุคที่มี 3 ประสานในแนวรุกอย่าง โยซิป อิลิชิช, ลุยส์ มูเรียล และดูวาน ซาปาต้า ที่ฝากผลงานยิงกันคนละไม่ต่ำกว่า 15 ประตูขึ้นไป จบฤดูกาลช่วยให้ทีมซัดไป 98 ประตูในลีก นับเป็นสถิติสูงสุดของอิตาลี ในรอบ 60 ปี


ฤดูกาล 2020-21 อตาลันต้า ยังทำผลงานร้อนแรงต่อเนื่อง ด้วยการจบอันดับ3 ในลีกเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน แถมผ่านเข้าชิงชนะเลิศศึกโคปปา อิตาเลีย อีกครั้ง แต่ก็ยังไปไม่ถึงฝัน หลังพ่ายให้กับ ยูเวนตุส 1-2 ในนัดชิงชนะเลิศ ส่วนผลงานในแชมเปี้ยนส์ลีก ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย ด้วยน้ำมือของ เรอัล มาดริด (สกอร์รวม 1-4)


เข้าสู่ฤดูกาล 2022-23 อตาลันต้า ไม่ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายของศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก หลังจบอันดับ3 ในรอบแบ่งกลุ่ม แต่ก็ยังเพียงพอกับการลงไปเล่นในศึกยูโรปาลีก แต่ก็ไปพ่ายต่อ แอร์เบ ไลป์ซิก ในรอบก่อนรองชนะเลิศ ส่วนผลงานในลีกฤดูกาลนั้น ทีมจบอันดับ 5 ของตาราง ได้สิทธิ์ไปเล่นยูโรปาลีก ในฤดูกาลหน้า


ฤดูกาล 2023-24 อตาลันต้า สร้างผลงานเซอร์ไพรส์อีกครั้ง กับการผงาดคว้าแชมป์ยูโรปาลีก มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการเอาชนะลิเวอร์พูล ในรอบรองชนะเลิศ และเฉือน ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ในนัดชิงชนะเลิศ นับเป็นการคว้าแชมป์ครั้งแรกในฐานะกุนซือของ กาสเปรินี่ 


แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา กาสเปรินี่ คุมทีมต่ออีกหนึ่งฤดูกาล ก่อนจะตัดสินใจอำลาตำแหน่งหลังจบฤดูกาล 2024-25 ฝากผลงานสุดท้ายด้วยการพาทีมจบอันดับ3 พร้อมตั๋วไปลุยถ้วยใหญ่ของยุโรปอีกครั้ง ก่อนจะสิ้นสุดการคุมทีมยาวนานถึง 9 ปีเต็ม


กาสเปรินี่ รับงานคุมทีมอาแอส โรม่า


6 มิถุนายน 2025 สโมสรอาแอส โรม่า ประกาศแต่งตั้ง กาสเปรินี่ เข้ามาคุมทีมอย่างเป็นทางการ ด้วยสัญญายาว 3 ปี และได้โอกาสกลับมาเจอกับลูกทีมเก่าอีกครั้งสมัยอยู่กับอตาลันต้า อย่าง ไบรอัน คริสตันเต้ , จานลูกา มันชินี่ รวมถึงปิแอร์ลุยจิ โกลลินี่ ก่อนจะร่ายเวทมนต์เสกให้ทัพ "หมาป่าแห่งกรุงโรม" ตื่นจากหลับไหล 


แม้ฤดูกาลเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น แต่การพา โรม่า มาอยู่ในจุดที่พวกเขาไม่เคยสัมผัสในรอบ 20 กว่าปี กับผลงานการเล่นที่มีสไตล์ของตัวเองอย่างชัดเจน นับเป็นเรื่องที่ต้องชื่นชมกับฝีมือของกุนซือผู้นี้ จากนี้ก็รอลุ้นแค่เพียงว่า การคืนชีพของหมาป่าตัวนี้ จะสามารถไปอยู่ในจุดที่แฟนบอลวาดฝันคือการคว้าแชมป์สคูเด็ตโต้มาครองได้หรือไม่ 

ที่มาข้อมูล : wikipedia

ที่มารูปภาพ : AFP