ยอดสั่งซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเทสล่าพุ่งหลังราคาน้ำมันสูงเป็นประวัติการณ์

ภายหลังจากที่ทั่วโลกต้องเผชิญกับวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 และหลาย ๆ ประเทศกำลังฟื้นตัว แต่ข่าวการรุกรานยูเครนของรัสเซียตอกย้ำสภาพเศรษฐกิจโลกที่กำลังฟื้นตัว ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณเตือนวิกฤตทางเศรษฐกิจ หนึ่งในสัญญาณเตือนดังกล่าวก็คือ ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ทำให้ประชาชนโดยเฉพาะในสหรัฐฯ หันมาใช้รถไฟฟ้ากันเป็นจำนวนมาก บริษัทรถยนต์พลังงานไฟฟ้าชั้นนำอย่างเทสล่า (Tesla) จึงมียอดขายที่พุ่งสูงตามไปด้วย

แม้จะไม่มีการเปิดเผยตัวเลขยอดสั่งซื้ออย่างเป็นทางการ แต่แหล่งข่าวของ futurism.com กล่าวว่า ยอดสั่งซื้อของเทสล่า (Tesla) เพิ่มขึ้น 100 เปอร์เซ็นต์ต่อสัปดาห์ในส่วนต่าง ๆ ของประเทศสหรัฐอเมริกา ภายหลังจากที่ราคาน้ำมันค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่ากลัว

ไม่เพียงเท่านี้ หลาย ๆ ประเทศทั่วโลกได้หันมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้ากันมากขึ้น เนื่องจากเชื้อเพลิงจากฟอสซิลเป็นเชื้อเพลิงที่ถูกจัดอยู่ในประเภทใช้แล้วหมดไป เพราะมันเกิดจากการทับถมของซากพืชซากสัตว์นับล้านปี เมื่อมนุษย์ดึงมาใช้งานเป็นจำนวนมากและเพิ่มขึ้นในทุกปี ในวันหนึ่งเชื้อเพลิงจากฟอสซิลจะหมดไป รัฐบาลของหลาย ๆ ประเทศจึงหันมาสนับสนุนให้ประชาชนใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าซึ่งเป็นพลังงานที่สะอาดมากกว่ารถยนต์แบบน้ำมัน หนึ่งในนั้นคือประเทศนอร์เวย์

รัฐบาลนอร์เวย์เริ่มเคลื่อนไหวในการสนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้พลังงานสะอาดตั้งแต่ปี 1990 โดยได้ทำการยกเลิกภาษีจดทะเบียนรถยนต์พลังงานไฟฟ้า นอกจากนี้ยังออกนโยบายให้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าจอดรถได้ฟรีและปรับให้จ่ายครึ่งราคาในปี 2018 ลดภาษี 50% ให้ค่ายรถที่จำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และอื่น ๆ ทั้งหมดทั้งมวลนี้จึงทำให้ 3 ใน 10 ของรถยนต์บนท้องถนนในนอร์เวย์เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าตามรายงานในปี 2018

การหันมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้ามากขึ้นของชาวสหรัฐฯ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องดีสวนทางกับราคาน้ำมันที่พุ่งสูง แต่ก็ยังมีความกังวลว่าบริษัทเทสล่า (Tesla) จะสามารถผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้ทันตามความต้องการในตอนนี้หรือไม่

ข้อมูลจาก futurism.com, tesla.com 

ภาพจาก Blomst/pixabay