
วันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา กระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาได้ประกาศมอบสัญญาการให้บริการปล่อยยานอวกาศรวมมูลค่า 13,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 506,900 ล้านบาท ให้แก่บริษัท SpaceX, United Launch Alliance (ULA) และ Blue Origin เพื่อสนับสนุนภารกิจขนส่งสัมภาระทางทหารและข้อมูลข่าวกรองที่มีความสำคัญสูง ภายใต้กรอบระยะเวลาจนถึงปี 2029
ประกาศดังกล่าวมีขึ้นเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2025 โดยหน่วยบัญชาการระบบอวกาศของกองทัพอวกาศสหรัฐฯ (U.S. Space Systems Command) ซึ่งระบุว่า สัญญาฉบับนี้อยู่ภายใต้โครงการ "National Security Space Launch (NSSL)" ระยะที่ 3 ซึ่งมุ่งเน้นภารกิจด้านความมั่นคงระดับสูง โดยเฉพาะการเข้าถึงวงโคจรที่ซับซ้อนและมีข้อกำหนดความปลอดภัยที่เข้มงวด
จากจำนวนการปล่อยยานรวม 54 ภารกิจ ที่วางแผนไว้ในช่วงปีงบประมาณ 2025 ถึง 2029 บริษัท SpaceX ได้รับส่วนแบ่งมากที่สุด โดยคาดว่าจะมีมูลค่ารวม 5,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 216,000 ล้านบาท ตามด้วยบริษัท ULA มูลค่าเกือบ 5,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 197,600 ล้านบาท และ Blue Origin ราว 2,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 87,800 ล้านบาท
SpaceX และ ULA รับหน้าที่หลักในการปล่อยภารกิจ
บริษัท SpaceX จะดำเนินภารกิจประมาณ 28 ครั้ง หรือคิดเป็น 60% ของจำนวนภารกิจทั้งหมด ขณะที่บริษัท ULA จะรับหน้าที่ 19 ครั้ง หรือประมาณ 35% ส่วนบริษัท Blue Origin ซึ่งอยู่ระหว่างการรอรับรองจรวด New Glenn จะเริ่มภารกิจจำนวน 7 ครั้ง ตั้งแต่ปีที่สองของโครงการเป็นต้นไป
สรุปข่าว
วันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา กระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาได้ประกาศมอบสัญญาการให้บริการปล่อยยานอวกาศรวมมูลค่า 13,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 506,900 ล้านบาท ให้แก่บริษัท SpaceX, United Launch Alliance (ULA) และ Blue Origin เพื่อสนับสนุนภารกิจขนส่งสัมภาระทางทหารและข้อมูลข่าวกรองที่มีความสำคัญสูง ภายใต้กรอบระยะเวลาจนถึงปี 2029
ประกาศดังกล่าวมีขึ้นเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2025 โดยหน่วยบัญชาการระบบอวกาศของกองทัพอวกาศสหรัฐฯ (U.S. Space Systems Command) ซึ่งระบุว่า สัญญาฉบับนี้อยู่ภายใต้โครงการ "National Security Space Launch (NSSL)" ระยะที่ 3 ซึ่งมุ่งเน้นภารกิจด้านความมั่นคงระดับสูง โดยเฉพาะการเข้าถึงวงโคจรที่ซับซ้อนและมีข้อกำหนดความปลอดภัยที่เข้มงวด
จากจำนวนการปล่อยยานรวม 54 ภารกิจ ที่วางแผนไว้ในช่วงปีงบประมาณ 2025 ถึง 2029 บริษัท SpaceX ได้รับส่วนแบ่งมากที่สุด โดยคาดว่าจะมีมูลค่ารวม 5,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 216,000 ล้านบาท ตามด้วยบริษัท ULA มูลค่าเกือบ 5,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 197,600 ล้านบาท และ Blue Origin ราว 2,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 87,800 ล้านบาท
SpaceX และ ULA รับหน้าที่หลักในการปล่อยภารกิจ
บริษัท SpaceX จะดำเนินภารกิจประมาณ 28 ครั้ง หรือคิดเป็น 60% ของจำนวนภารกิจทั้งหมด ขณะที่บริษัท ULA จะรับหน้าที่ 19 ครั้ง หรือประมาณ 35% ส่วนบริษัท Blue Origin ซึ่งอยู่ระหว่างการรอรับรองจรวด New Glenn จะเริ่มภารกิจจำนวน 7 ครั้ง ตั้งแต่ปีที่สองของโครงการเป็นต้นไป
ครั้งแรกที่เลือกบริษัทในสัญญา 3 บริษัท
การที่บริษัท Blue Origin ได้รับเลือกเป็นผู้ให้บริการหลักครั้งนี้ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการดำเนินนโยบายของรัฐบาล โดยถือเป็นครั้งแรกที่มีบริษัทเอกชนด้านการปล่อยจรวดถึง 3 รายได้รับสัญญาพร้อมกัน ซึ่งเพิ่มความหลากหลายและการแข่งขันในตลาด
แม้ว่าจรวด New Glenn จะยังไม่ได้รับการรับรองสำหรับภารกิจความมั่นคงแห่งชาติ แต่เจ้าหน้าที่ของกองทัพอวกาศแสดงความมั่นใจว่าบริษัทจะสามารถผ่านขั้นตอนดังกล่าวได้ทันเวลาที่กำหนด
ขณะเดียวกันบริษัท ULA ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างโบอิ้งและล็อกฮีด มาร์ติน ได้รับการรับรองจรวด Vulcan เมื่อวันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา หลังจากล่าช้ามาเป็นเวลานาน และเตรียมเริ่มปล่อยจรวดในเฟส 2 ภายในสิ้นปีนี้
โครงการนี้ยังเป็นการต่อยอดความพยายามของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการลดการพึ่งพาเครื่องยนต์จรวด RD-180 ที่ผลิตในรัสเซีย โดยส่งเสริมการใช้จรวดที่พัฒนาโดยบริษัทในสหรัฐฯ เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการในอนาคตด้านความมั่นคงได้อย่างยั่งยืน
- อีลอน มัสก์เปิดแผนดาวอังคาร ตั้งเป้าผลิตยาน Starship 1,000 ลำต่อปี และส่งหุ่นยนต์ Optimus ไปดาวอังคารปี 2027
- OpenThaiGPT ก้าวกระโดดแห่ง AI ภาษาไทย ที่พัฒนาโดยคนไทย เพื่อคนไทย
- Hermeus ทดสอบเครื่องบินไฮเปอร์โซนิก Quarterhorse Mk 1 สำเร็จ เดินหน้าพัฒนาเครื่องรุ่นใหม่สิ้นปีนี้
- SpaceX ทดสอบยาน Starship ครั้งที่ 9 นำจรวด Super Heavy ลงจอดกลางทะเล
- SpaceX เผยสาเหตุการระเบิดของ Starship Flight 8 เมื่อวันที่ 6 มีนาคม
- อีลอน มัสก์เบื่อการเมือง หันกลับโฟกัสดาวอังคารและรถยนต์ไร้คนขับ
- ทรัมป์เตรียมผลักดันพลังงานนิวเคลียร์ รองรับปัญญาประดิษฐ์ (AI) และศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ
