
ทีมนักบรรพชีวินวิทยานานาชาติ นำโดย แคสเซียส มอร์ริสัน (Cassius Morrison) จากมหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน (University College London) ไขปริศนาการกำเนิดของไทรันโนซอรัส เร็กซ์ (Tyrannosaurus rex) ซึ่งเคยเป็นประเด็นถกเถียงกันมายาวนาน โดยเสนอว่า บรรพบุรุษของ "ทีเร็กซ์" อาจอพยพมาจากเอเชียสู่ทวีปอเมริกาเหนือผ่านช่องแคบแบริ่ง แทนที่จะมีต้นกำเนิดในอเมริกาเหนืออย่างที่เคยเชื่อกัน
แม้ว่าจะมีการค้นพบฟอสซิลของทีเร็กซ์ (T. rex) เป็นจำนวนมากในทวีปอเมริกาเหนือ แต่มอร์ริสันระบุว่ายังไม่มีการพบฟอสซิลของบรรพบุรุษโดยตรงของมันในเอเชีย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากแบบจำลองวิวัฒนาการและธรณีสัณฐานในอดีตชี้ว่า ทีเร็กซ์อาจสามารถเดินทางข้ามทวีปมาได้ โดยเฉพาะเมื่อพบว่าทีเร็กซ์มีความใกล้ชิดทางพันธุกรรมกับไดโนเสาร์ในเอเชียอย่างทาร์โบซอรัส (Tarbosaurus) มากกว่าญาติพันธุ์ในอเมริกาเหนือ เช่น ดาสเปลโตซอรัส (Daspletosaurus)
สรุปข่าว
ทีมนักบรรพชีวินวิทยานานาชาติ นำโดย แคสเซียส มอร์ริสัน (Cassius Morrison) จากมหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน (University College London) ไขปริศนาการกำเนิดของไทรันโนซอรัส เร็กซ์ (Tyrannosaurus rex) ซึ่งเคยเป็นประเด็นถกเถียงกันมายาวนาน โดยเสนอว่า บรรพบุรุษของ "ทีเร็กซ์" อาจอพยพมาจากเอเชียสู่ทวีปอเมริกาเหนือผ่านช่องแคบแบริ่ง แทนที่จะมีต้นกำเนิดในอเมริกาเหนืออย่างที่เคยเชื่อกัน
แม้ว่าจะมีการค้นพบฟอสซิลของทีเร็กซ์ (T. rex) เป็นจำนวนมากในทวีปอเมริกาเหนือ แต่มอร์ริสันระบุว่ายังไม่มีการพบฟอสซิลของบรรพบุรุษโดยตรงของมันในเอเชีย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากแบบจำลองวิวัฒนาการและธรณีสัณฐานในอดีตชี้ว่า ทีเร็กซ์อาจสามารถเดินทางข้ามทวีปมาได้ โดยเฉพาะเมื่อพบว่าทีเร็กซ์มีความใกล้ชิดทางพันธุกรรมกับไดโนเสาร์ในเอเชียอย่างทาร์โบซอรัส (Tarbosaurus) มากกว่าญาติพันธุ์ในอเมริกาเหนือ เช่น ดาสเปลโตซอรัส (Daspletosaurus)
การค้นพบทีเร็กซ์ในอเมริกาเหนือ
ก่อนหน้านี้ในปี 2024 นักวิทยาศาสตร์พบไทรันโนซอรัสสายพันธุ์ "Tyrannosaurus mcraeensis" ในรัฐนิวเม็กซิโก ซึ่งมีอายุเก่ากว่าทีเร็กซ์ (T. rex) ราว 6 ล้านปี จึงสันนิษฐานว่าทีเร็กซ์ (T. rex) อาจมีต้นกำเนิดในอเมริกาเหนือ แต่มอร์ริสันแย้งว่า ข้อมูลดังกล่าวอาจไม่น่าเชื่อถือเพราะมีตัวอย่างฟอสซิลน้อย และเทคโนโลยียังมีข้อจำกัด
ทีมงานใช้การสร้างแบบจำลองคอมพิวเตอร์จากการวิเคราะห์เปรียบเทียบลักษณะทางกายวิภาคของไดโนเสาร์ตระกูลไทรันโนซอริด (Tyrannosaurids) เช่น รูปร่างกระดูก กะโหลก และฟัน เพื่อสร้างแผนผังแสดงความสัมพันธ์ระหว่างสายพันธุ์ ผสมกับการใช้แผนที่จำลองตำแหน่งทวีปในอดีต เพื่อวิเคราะห์เส้นทางการอพยพของไดโนเสาร์ โดยเฉพาะการมีอยู่ของสะพานแผ่นดิน เช่น ช่องแคบแบริ่ง (Bering Land Bridge) ที่เชื่อมเอเชียกับอเมริกาเหนือในช่วงยุคครีเทเชียส รวมไปถึงการเปรียบเทียบอายุของชั้นหินที่พบฟอสซิลแต่ละชนิด เพื่อจัดลำดับเหตุการณ์การปรากฏตัวและการกระจายพันธุ์ของไดโนเสาร์
แบบจำลองคอมพิวเตอร์เพื่อค้นหาคำตอบ
ทีมงานของแคสเซียส มอร์ริสัน (Cassius Morrison)ใช้การสร้างแบบจำลองคอมพิวเตอร์จากการวิเคราะห์เปรียบเทียบลักษณะทางกายวิภาคของไดโนเสาร์ตระกูลไทรันโนซอริด (Tyrannosaurids) เช่น รูปร่างกระดูก กะโหลก และฟัน เพื่อสร้างแผนผังแสดงความสัมพันธ์ระหว่างสายพันธุ์ ผสมกับการใช้แผนที่จำลองตำแหน่งทวีปในอดีต เพื่อวิเคราะห์เส้นทางการอพยพของไดโนเสาร์ โดยเฉพาะการมีอยู่ของสะพานแผ่นดิน เช่น ช่องแคบแบริ่ง (Bering Land Bridge) ที่เชื่อมเอเชียกับอเมริกาเหนือในช่วงยุคครีเทเชียส รวมไปถึงการเปรียบเทียบอายุของชั้นหินที่พบฟอสซิลแต่ละชนิด เพื่อจัดลำดับเหตุการณ์การปรากฏตัวและการกระจายพันธุ์ของไดโนเสาร์
แบบจำลองของทีมแสดงให้เห็นว่า ทีเร็กซ์น่าจะถือกำเนิดขึ้นในพื้นที่ลารามิเดีย (Laramidia) ซึ่งเป็นดินแดนยุคครีเทเชียสทางตะวันตกของอเมริกาเหนือ แต่บรรพบุรุษของมันเดินทางมาจากเอเชียตั้งแต่ช่วงปลายยุคแคมปาเนียนถึงต้นยุคมาสทริชต์
นอกจากนี้ ยังมีการวิเคราะห์วิวัฒนาการของไดโนเสาร์เมกะแร็ปเตอร์ (Megaraptor) ซึ่งอาจมีต้นกำเนิดในเอเชียเมื่อ 120 ล้านปีก่อน แล้วกระจายไปยังยุโรปและกอนด์วานา แม้ปัจจุบันยังไม่พบฟอสซิลของเมกะแร็ปเตอร์ในยุโรปหรือแอฟริกา แต่หลักฐานแสดงให้เห็นว่าพวกมันวิวัฒนาการแยกกันในหลายภูมิภาค เช่น ออสเตรเลียและปาตาโกเนีย
เมื่อโลกเริ่มเย็นลงราว 92 ล้านปีก่อน ทั้งเมกะแร็ปเตอร์และไทรันโนซอรัสมีแนวโน้มจะเติบโตใหญ่ขึ้น แม้ว่าจะไม่พบความสัมพันธ์โดยตรงกับสภาพอากาศก็ตาม แต่นักวิจัยเชื่อว่าไดโนเสาร์กลุ่มนี้อาจปรับตัวกับอากาศหนาวได้ดี และเข้ามาแทนที่ไดโนเสาร์นักล่าขนาดใหญ่กลุ่มคาร์คาโรดอนโตซอร์ ที่สูญพันธุ์ไปราว 90 ล้านปีก่อน
งานวิจัยนี้เผยแพร่ในวารสาร Royal Society Open Science
ที่มาข้อมูล : https://www.sciencealert.com/mystery-of-t-rexs-debated-north-american-origins-finally-solved
ที่มารูปภาพ : Wikipedia