
ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีนกลับเข้าสู่ภาวะตึงเครียดอีกครั้ง โดยมีประเด็นเรื่องเซมิคอนดักเตอร์ (Semi-conductor) เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่สหรัฐอเมริกาและจีนได้ดำเนินการสำคัญ ในการลดระดับสงครามการค้าระหว่างสองประเทศ ความตึงเครียดก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง
สรุปข่าว
ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีนกลับเข้าสู่ภาวะตึงเครียดอีกครั้ง โดยมีประเด็นเรื่องเซมิคอนดักเตอร์ (Semi-conductor) เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่สหรัฐอเมริกาและจีนได้ดำเนินการสำคัญ ในการลดระดับสงครามการค้าระหว่างสองประเทศ ความตึงเครียดก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ สหรัฐอเมริกา และจีน พึ่งจะประกาศสงบศึกชั่วคราวเรื่องกำแพงภาษี เพื่อเปิดโอกาสให้มีการเจรจาหาข้อตกลงทางการค้าที่กว้างขึ้นภายใน 90 วัน บรรยากาศดูเหมือนจะดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็เป็นเพียงการพักรบในสงครามการค้าที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน
แต่หลังจากการสงบศึกเพียงไม่กี่วัน ความตึงเครียดก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง โดยมีสาเหตุมาจากชิป AI ของบริษัท Huawei ที่ผลิตในจีน โดยสหรัฐอเมริกา ได้ออกคำเตือนให้บริษัทต่าง ๆ ไม่ใช้ชิปดังกล่าว ซึ่งจีนมองว่าเป็นการบ่อนทำลายข้อตกลงที่เพิ่งจะทำกันไป และเป็นการกระทำที่ "กลั่นแกล้งและกีดกันทางการค้าแบบฝ่ายเดียว"
เกี่ยวอะไรกับชิปนี้? ชิปนี้มีอำนาจอะไร?
ชิปที่กำลังเป็นประเด็นคือ ชิป Ascend ของ Huawei ซึ่งเป็นชิปประมวลผล AI ที่ทรงพลังที่สุดของบริษัท ชิปเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ AI โดยเฉพาะการฝึกอบรมโมเดล AI ที่ซับซ้อน เป้าหมายของ Huawei คือการท้าทายการครอบงำของ Nvidia ซึ่งเป็นผู้นำตลาดชิป AI ประสิทธิภาพสูง การพัฒนาชิปเหล่านี้ของจีนเป็นหัวใจสำคัญในแผนของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่ต้องการให้จีนพึ่งพาตนเองได้ในด้านเทคโนโลยีขั้นสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นผู้นำด้าน AI ของโลก
ท่าทีของสองฝั่งขั่วอำนาจ
ตามรายงานจากสำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 เริ่มจากที่กระทรวงพาณิชย์แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ออกแนวทางปฏิบัติเตือนบริษัทต่าง ๆ ว่าการใช้ชิป Huawei Ascend จะละเมิดมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐ แม้ว่าจะมีการแก้ไขถ้อยคำในภายหลัง ว่ากระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐ ได้ทำการปรับแก้ถ้อยคำในแนวทางฉบับวันที่ 13 พฤษภาคม โดยได้ลบวลี "ที่ใดก็ได้ในโลก" ออกไป แต่สหรัฐยังคงวางจุดยืนเหมือนเดิม ในทางกลับกัน จีนก็กล่าวหาว่าสหรัฐ "ใช้อำนาจควบคุมการส่งออกเพื่อกดขี่และสกัดกั้นจีน" และมองว่าการกระทำของสหรัฐ บ่อนทำลายฉันทามติที่ได้จากการเจรจาการค้าที่เจนีวา และจีนยังขู่ว่าจะดำเนินคดีทางกฎหมายกับใครก็ตามที่ให้ความร่วมมือกับการจำกัดการใช้ชิปจีนทั่วโลก โดยระบุว่าอาจละเมิด กฎหมายต่อต้านการคว่ำบาตรต่างชาติ ของจีน
การปะทุขึ้นของความตึงเครียดครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีระหว่างสองมหาอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างเซมิคอนดักเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจและอธิปไตยทางเทคโนโลยีของทั้งสองประเทศ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนี้อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีทั่วโลก และยังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดถึงพัฒนาการในอนาคต