สินค้าเทคฯ สัญชาติไทย มาตรฐานสากล ต้องมี dSURE ตรงปก และปลอดภัย

สินค้าเทคฯ สัญชาติไทย มาตรฐานสากล ต้องมี dSURE ตรงปก และปลอดภัย

“เราจะทำอย่างไร ให้สินค้าเทคโนโลยีไทยเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ?” คำถามนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการกำหนดมาตรฐาน เพื่อเป็นทิศทางป้องกันความเสี่ยงและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์/บริการดิจิทัล อย่างเป็นทางการครั้งแรก ๆ ของไทย

ความเสี่ยงที่ว่ามาจากหลายช่องทาง โดยเฉพาะในอุปกรณ์ IoT (Internet of Things) อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ถูกอำนวยความสะดวกทุกอย่างด้วยการสั่งการ และเข้าถึงได้ผ่านสมาร์ตโฟน เก็บและขับเคลื่อนข้อมูลทุกอย่างบนคลังข้อมูลที่เรียกว่าคลาวด์ ขณะเดียวกันก็มาพร้อมความเสี่ยงในการรั่วไหลของข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลส่วนตัว เช่น พิกัดที่อยู่ วัน เดือน ปีเกิด รูปภาพ หรือวิดีโอ

นี่จึงเป็นที่มา ทำให้เกิด “มาตรฐาน dSURE หรือ Digital Sure” โดย สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) เพื่อคัดกรองผลิตภัณฑ์ดิจิทัล คำนึงถึงการป้องกันการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้จากผู้ไม่ประสงค์ดี

“เทคโนโลยีในอดีต ผลิตแล้วก็ส่งเข้ามาในประเทศไทย หรือประกอบเรียบร้อยแล้วเอาเข้ามา บางรายการ เราตามไม่ทันกับเทคโนโลยีที่เป็นสินค้า บางอย่างไม่มีคุณภาพ คนที่รับมาแล้วไปขายต่อ ไปหลอกลวงราคาอีก เราจะทำอย่างไรดี ให้สินค้าดิจิทัลของไทยมีคุณภาพ” ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ depa กล่าว

ซึ่งมาตรฐาน dSURE จะครอบคลุม 5 ด้าน

ที่มาพร้อมกับการกำหนดระดับของมาตรฐานถึง 3 ระดับ (3 ดาว) แตกต่างกันไป ยกตัวอย่างของ dSURE hardware ครอบคลุม 3 เรื่องดังนี้

1. Safety (dSURE hardware 1 ดาว): ต้องมีความปลอดภัย ได้มาตรฐานทั่วไป ทั้งลักษณะทางกายภาพ สาย ส่วนตัว แหล่งจ่าย จะต้องได้มาตรฐาน

2. Functionality (dSURE hardware 2 ดาว): คุณสมบัติของสินค้าต้องตรงกับที่ระบุไว้ตามฉลาก ตรงปก ไม่หลอกลวง

3. Cyber Security (dSURE hardware 3 ดาว): การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ป้องกันผู้ใช้เข้ามาเชื่อมต่อหรือควบคุมการทำงานแทนเจ้าของ และข้อมูลไม่รั่วไหลออกนอกประเทศ เป็นต้น

สรุปข่าว

Exclusive กับ depa ถึงกลไกบัญชีบริการดิจิทัล และมาตรฐาน dSURE ที่จะมาสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์/บริการดิจิทัลของไทย ให้มีมาตรฐานระดับสากล สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย ที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือให้บริการดิจิทัลสัญชาติไทย ให้มีมาตรฐานระดับสากล สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย

“เราจะทำอย่างไร ให้สินค้าเทคโนโลยีไทยเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ?” คำถามนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการกำหนดมาตรฐาน เพื่อเป็นทิศทางป้องกันความเสี่ยงและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์/บริการดิจิทัล อย่างเป็นทางการครั้งแรก ๆ ของไทย

ความเสี่ยงที่ว่ามาจากหลายช่องทาง โดยเฉพาะในอุปกรณ์ IoT (Internet of Things) อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ถูกอำนวยความสะดวกทุกอย่างด้วยการสั่งการ และเข้าถึงได้ผ่านสมาร์ตโฟน เก็บและขับเคลื่อนข้อมูลทุกอย่างบนคลังข้อมูลที่เรียกว่าคลาวด์ ขณะเดียวกันก็มาพร้อมความเสี่ยงในการรั่วไหลของข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลส่วนตัว เช่น พิกัดที่อยู่ วัน เดือน ปีเกิด รูปภาพ หรือวิดีโอ

นี่จึงเป็นที่มา ทำให้เกิด “มาตรฐาน dSURE หรือ Digital Sure” โดย สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) เพื่อคัดกรองผลิตภัณฑ์ดิจิทัล คำนึงถึงการป้องกันการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้จากผู้ไม่ประสงค์ดี

“เทคโนโลยีในอดีต ผลิตแล้วก็ส่งเข้ามาในประเทศไทย หรือประกอบเรียบร้อยแล้วเอาเข้ามา บางรายการ เราตามไม่ทันกับเทคโนโลยีที่เป็นสินค้า บางอย่างไม่มีคุณภาพ คนที่รับมาแล้วไปขายต่อ ไปหลอกลวงราคาอีก เราจะทำอย่างไรดี ให้สินค้าดิจิทัลของไทยมีคุณภาพ” ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ depa กล่าว

ซึ่งมาตรฐาน dSURE จะครอบคลุม 5 ด้าน

ที่มาพร้อมกับการกำหนดระดับของมาตรฐานถึง 3 ระดับ (3 ดาว) แตกต่างกันไป ยกตัวอย่างของ dSURE hardware ครอบคลุม 3 เรื่องดังนี้

1. Safety (dSURE hardware 1 ดาว): ต้องมีความปลอดภัย ได้มาตรฐานทั่วไป ทั้งลักษณะทางกายภาพ สาย ส่วนตัว แหล่งจ่าย จะต้องได้มาตรฐาน

2. Functionality (dSURE hardware 2 ดาว): คุณสมบัติของสินค้าต้องตรงกับที่ระบุไว้ตามฉลาก ตรงปก ไม่หลอกลวง

3. Cyber Security (dSURE hardware 3 ดาว): การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ป้องกันผู้ใช้เข้ามาเชื่อมต่อหรือควบคุมการทำงานแทนเจ้าของ และข้อมูลไม่รั่วไหลออกนอกประเทศ เป็นต้น

โดยผู้ประกอบการที่จะขอมาตรฐาน dSURE จะต้องส่งผลิตภัณฑ์เข้าทดสอบที่ห้องปฏิบัติการทดสอบที่ได้มาตรฐาน ซึ่งหากผ่านเกณฑ์ก็จะได้รับเครื่องหมาย dSURE แสดงบนผลิตภัณฑ์ได้ ถือเป็นการบอกผู้บริโภคว่า ผลิตภัณฑ์/บริการดิจิทัลได้ผ่านการคัดกรองคุณภาพที่ได้รับการยอมรับในระดับประเทศ และระดับสากลนั้นเอง

หากผู้ประกอบการต้องการขอรับมาตรฐาน dSURE หรือศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมสามารถศึกษาได้ที่ https://depa.or.th/th/dsure

ได้มาตรฐาน มีตลาดรองรับ 

นอกจากมาตรฐาน dSURE ที่เป็นเครื่องหมายเพิ่มความมั่นในให้ผู้บริโภคแล้ว depa ยังได้ออกแบบกลไกบัญชีบริการดิจิทัล (Thailand Digital Catalog) ที่เป็นแหล่งรวมผลิตภัณฑ์/บริการดิจิทัลที่ได้มาตรฐาน dSURE เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนทั้งเทคโนโลยีไทยควบคู่การกระตุ้นให้เกิดการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัล

สิทธิประโยชน์ที่มาพร้อมกับ “บัญชีบริการดิจิทัล”


ประชาชน บุคคลทั่วไป มีทางเลือกในการใช้ผลิตภัณฑ์/บริการดิจิทัลที่ได้มาตรฐาน ตรงปก ไม่โดนหลอก ในราคาที่สมเหตุสมผล

ผู้ประกอบการ กลุ่มผู้มองหาเทคโนโลยีเพื่อยกระดับธุรกิจ

- กรมสรรพากร : Tax 200% แบ่งเบา SMEs ด้วยสิทธิประโยชน์ทางภาษี ผู้ที่ซื้อ ผลิตภัณฑ์/บริการบนบัญชีบริการดิจิทัล สามารถหักรายจ่ายได้สูงสุด 200% ในวงเงินไม่เกิน 300,000 บาท โดยมีผลบังคับใช้แล้ว

- สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) : สามารถยื่นเสนอแผนการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อยกระดับการทำงานเพื่อขอรับการส่งเสริมฯ สำหรับ SMEs ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 5 ปี ในสัดส่วน 100% ของเงินลงทุน และ สำหรับ LEs ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 3 ปี ในสัดส่วน 50% ของเงินลงทุน

ผู้ประกอบการ กลุ่มผู้พัฒนา หรือให้บริการ ผลิตภัณฑ์/บริการดิจิทัล ขยายโอกาสการเข้าถึงลูกค้า

- กรมบัญชีกลาง : ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการดิจิทัลสัญชาติไทยได้เปิดประตูสู่ภาครัฐด้วยกระบวนการจัดซื้อ-จ้างด้วยวิธีพิเศษ
- กรมสรรพากร : Tax 200% ช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้งานในภาคธุรกิจ

ภาครัฐ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยียกระดับการให้บริการประชาชน กรมบัญชีกลาง - ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการดิจิทัลสัญชาติไทยได้เปิดประตูสู่ภาครัฐด้วยกระบวนการจัดซื้อ-จ้างด้วยวิธีพิเศษ ผ่านวิธีการคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจงได้อย่างสมัครใจ ซึ่งมีราคากลางชัดเจน

โดยผู้อำนวยการใหญ่ depa ย้ำว่า “นี่คือ incentive ที่แรงที่สุดในภูมิภาค”

กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล  


นับได้ว่า มาตรฐาน dSURE และ บัญชีบริการดิจิทัล ทำให้ผลิตภัณฑ์/บริการดิจิทัลของไทยมีมาตรฐานเทียบเท่าระดับสากล ขณะเดียวกันเป็นการกระตุ้นให้ผู้ประกอบการยกระดับมาตรฐานเทคโนโลยีและบริการดิจิทัล พร้อมกับเปิดประตูสู่โอกาสในหลากหลายช่องทาง เป็นหนึ่งในกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับประเทศไทยอย่างแท้จริง

“เวลาคนไทยประยุกต์ใช้ Digital Technology แล้วเขาใช้เป็นอย่างชาญฉลาด เราไม่ได้คิดแทน ทำแทน ทำให้ แต่ถ้าเขาคิดเป็น ทำเอง ทำเป็น แล้วรู้ ใช้เป็น เดี๋ยวการบอกต่อมันจะ Create Demand ขึ้น ทำให้เกิดการลงทุน ลงทุนไม่ได้เป็นแค่ต่างชาติมาลงทุนในประเทศไทยอย่างเดียว แต่จะเกิดไทยลงทุนไทยพัฒนา Product เหล่านั้นให้มันตอบสนอง Demand ที่เขามีความต้องการ การพัฒนาอุตสาหกรรมเหล่านี้ คือการเปลี่ยนประเทศไทย ให้คนใช้ ใช้เป็น แล้วก็ใช้งานได้อย่างฉลาด เลือกใช้ในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่โดนหลอก แล้วมีมาตรฐาน คนที่เขาบอกว่าเป็นผู้พัฒนาทั้ง Hardware, Software ก็ต้องมีโอกาสในการทำมาหากิน เขาถึงจะเกิดการลงทุนขึ้น และเมื่อมีการลงทุนเพิ่มขึ้น การต่อยอดทางด้านเทคโนโลยีที่เรียกว่า “Deep Tech” นี่หละทำให้ระบบนิเวศเศรษฐกิจดิจิทัลขับเคลื่อนได้อย่างเป็นรูปธรรม” ผศ.ดร.ณัฐพล กล่าวทิ้งท้าย

ที่มาข้อมูล : DEPA

ที่มารูปภาพ : DEPA

avatar

TNNThailand