Hardt Hyperloop สร้างสถิติความเร็วใหม่ และสาธิตการเปลี่ยนเลนสำเร็จในยุโรป

นอกจากนี้ยังประสบความสำเร็จในการทดสอบการเปลี่ยนเลนที่ซับซ้อนด้วยระบบแม่เหล็กยกตัว (Maglev) ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนไฮเปอร์ลูปจากแนวคิดทางเทคนิคให้เป็นเทคโนโลยีการขนส่งที่ปรับขนาดได้

การทดสอบครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนเลนซึ่งจำเป็นสำหรับเครือข่ายเส้นทางนั้น ไม่มีอุปสรรคทางเทคนิคในการดำเนินงานด้วยความเร็วระดับเดียวกับเครื่องบิน ทิม ฮูเตอร์ (Tim Houter) ผู้ร่วมก่อตั้ง Hardt Hyperloop กล่าวกับ AFP ว่า "เราพร้อมสำหรับความเร็วที่สูงขึ้น ซึ่งสูงถึง 700 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทันทีที่โครงสร้างพื้นฐานเอื้ออำนวย"

ความสำเร็จนี้ถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญของบริษัท หลังจากการทดสอบเมื่อปี 2024 ซึ่งรางเดียวกันนี้เคยทำความเร็วได้เพียง 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผู้สนับสนุนยืนยันว่า เทคโนโลยีนี้จะเข้ามาแทนที่เที่ยวบินระยะสั้นในยุโรปได้ในที่สุด และสามารถลดการใช้พลังงานลงเหลือเพียงเศษเสี้ยวของรถไฟหรือเครื่องบินได้

ในขณะที่ยุโรปยังคงพิจารณาการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกในการทดสอบระยะยาว โดยเยอรมนีและอิตาลีกำลังพิจารณาสร้างราง Hyperloop แต่ประเทศจีนกลับเร่งผลักดันโครงการความเร็วสูง Hyperloop ของตนเองเช่นกัน โดยสื่อของรัฐบาลจีนรายงานการทดสอบความเร็วที่เกิน 600 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และตั้งเป้าที่จะเชื่อมโยงเซี่ยงไฮ้และกวางโจวภายในปี 2035

แนวคิดระบบขนส่งไฮเปอร์ลูปยุคใหม่นี้ถูกนำเสนอครั้งแรกโดยอีลอน มัสก์ ในปี 2013 โดยผู้โดยสารจะนั่งในแคปซูลที่วิ่งผ่านท่อสุญญากาศด้วยระบบแม่เหล็กยกตัว (Maglev) ลดแรงเสียดทานและแรงต้านอากาศ ทำให้สามารถวิ่งได้ด้วยความเร็วเกือบเหนือเสียง ใช้พลังงานน้อยกว่ารถไฟหรือเครื่องบินมาก และมีเป้าหมายเพื่อแทนที่การเดินทางระยะสั้นและกลางในอนาคต

ปัจจุบันมีหลายบริษัทได้ลงทุนพัฒนาระบบ Hyperloop โดยในยุโรปได้มีการลงทุนไปแล้วหลายพันล้านดอลลาร์ในการทดลอง เช่น ศูนย์ทดสอบ European Hyperloop Center ซึ่งเปิดดำเนินการเมื่อปีที่แล้ว ได้เป็นเจ้าภาพจัดการทดสอบภารกิจกว่า 750 ครั้งแล้ว และบริษัท Hardt Hyperloop เป็นหนึ่งในหลายบริษัทที่มุ่งมั่นที่จะนำไฮเปอร์ลูปมาใช้ในเชิงพาณิชย์ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผู้โดยสารจะเดินทางในแคปซูลด้วยความเร็วใกล้ความเร็วเหนือเสียงผ่านท่อสุญญากาศ