เจาะลึก 3 ตัวเต็ง "โครงการเรือฟริเกตสมรรถนะสูง" 2 ลำใหม่ มูลค่า 3.5 หมื่นล้าน

Share on Line Share on Facebook Share on X
เจาะลึก 3 ตัวเต็ง "โครงการเรือฟริเกตสมรรถนะสูง" 2 ลำใหม่ มูลค่า 3.5 หมื่นล้าน

กองทัพเรือไทยกำลังเดินหน้าโครงการสำคัญในการเสริมเขี้ยวเล็บทางทะเล ด้วยงบประมาณรวมกว่า 35,000 ล้านบาท เพื่อจัดหา เรือฟริเกตใหม่จำนวน 2 ลำ โดยมีโจทย์สำคัญที่ไม่ใช่แค่เรื่องของอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่ยังมีเงื่อนไขสำคัญเรื่องการส่งเสริมเศรษฐกิจในประเทศ และการถ่ายทอดเทคโนโลยีการต่อเรือให้กับอุตสาหกรรมไทย

จากการสำรวจข้อมูลล่าสุด พบว่ามี 3 แคนดิเดตหลักที่น่าจับตามอง โดยแต่ละค่ายมีจุดเด่นและกลยุทธ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน 

1. กาหลีใต้ความคุ้นเคยที่วางใจได้

ตัวแทนจากบริษัท Hanwha Ocean ประเทศเกาหลีใต้ นำเสนอแบบเรือ Okpo 40F และ HDF 3600 มีระวางขับน้ำ 3,600 ตัน

จุดเด่นเน้นเรื่องความเข้ากันได้ของการส่งกำลังบำรุง (Logistics) เนื่องจากใช้อะไหล่ร่วมกับเรือชุดเดิมที่มีอยู่ได้ ทำให้ง่ายต่อการซ่อมบำรุงและบริหารจัดการ เพราะกองทัพเรือคุ้นเคยกับระบบนี้ดีอยู่แล้ว

ระบบอาวุธรองรับแท่นยิงแนวดิ่ง (VLS) 16 ช่อง, จรวด ESSM และจรวดต่อต้านเรือรบ Exocet และอาวุธอื่น ๆ

2. สเปน เน้นความทันสมัย พร้อมรับมือภัยคุกคามยุคใหม่ ค่าย Navantia จากประเทศสเปน ส่งแบบเรือ Alpha 3000 เข้าประกวดระวางขับน้ำ 3,000 ตัน

ชูจุดขายเรื่องการออกแบบมาเพื่อรองรับระบบต่อต้านโดรนซึ่งเป็นภัยคุกคามรูปแบบใหม่ในสนามรบยุคปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนอาวุธหรือเรดาร์ไปใช้ยี่ห้ออื่นได้ง่ายตามความต้องการ

ระบบอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ (SAM) 16 ช่องยิง รองรับจรวด ESSM และอาวุธอื่น ๆ

3. ตุรกีเน้นพึ่งพาตนเอง ถ่ายทอดเทคโนโลยีจัดเต็ม
ตัวเลือกจากยุทธศาสตร์ G2G โดย รัฐวิสาหกิจตุรกี นำเสนอเรือชั้น Istanbul Class ระวางขับน้ำ 3,000 - 3,100 ตัน

จุดเด่นตรงที่ตอบโจทย์เงื่อนไขการถ่ายทอดเทคโนโลยีมากที่สุด โดยเสนอให้ไทยมีส่วนร่วมในการผลิตและประกอบมากที่สุด (ผลิตเองเกือบหมด) รวมถึงระบบอาวุธอย่างจรวด Atmaca และ VLS

ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำ (SSM) และระบบอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ (SAM) และอาวุธอื่น ๆ

โครงการนี้ไม่ได้เป็นเพียงการซื้ออาวุธ แต่เป็นการวางรากฐานอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ภายใต้วงเงิน 35,000 ล้านบาท กองทัพเรือต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความคุ้นเคยและการซ่อมบำรุงง่ายของเกาหลีใต้, เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ยืดหยุ่นของสเปน หรือการพึ่งพาตนเองและการถ่ายทอดเทคโนโลยีของตุรกี 

การตัดสินใจครั้งนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญว่า กองทัพเรือไทยจะมุ่งเน้นไปในทิศทางใดในทศวรรษหน้าเพื่อปกป้องน่านน้ำไทยทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน 

สรุปข่าว

กองทัพเรือไทยกำลังเดินหน้าโครงการสำคัญในการเสริมเขี้ยวเล็บทางทะเล ด้วยงบประมาณรวมกว่า 35,000 ล้านบาท เพื่อจัดหา เรือฟริเกตใหม่จำนวน 2 ลำ โดยมีโจทย์สำคัญที่ไม่ใช่แค่เรื่องของอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่ยังมีเงื่อนไขสำคัญเรื่องการส่งเสริมเศรษฐกิจในประเทศ และการถ่ายทอดเทคโนโลยีการต่อเรือให้กับอุตสาหกรรมไทย

จากการสำรวจข้อมูลล่าสุด พบว่ามี 3 แคนดิเดตหลักที่น่าจับตามอง โดยแต่ละค่ายมีจุดเด่นและกลยุทธ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน 

1. กาหลีใต้ความคุ้นเคยที่วางใจได้

ตัวแทนจากบริษัท Hanwha Ocean ประเทศเกาหลีใต้ นำเสนอแบบเรือ Okpo 40F และ HDF 3600 มีระวางขับน้ำ 3,600 ตัน

จุดเด่นเน้นเรื่องความเข้ากันได้ของการส่งกำลังบำรุง (Logistics) เนื่องจากใช้อะไหล่ร่วมกับเรือชุดเดิมที่มีอยู่ได้ ทำให้ง่ายต่อการซ่อมบำรุงและบริหารจัดการ เพราะกองทัพเรือคุ้นเคยกับระบบนี้ดีอยู่แล้ว

ระบบอาวุธรองรับแท่นยิงแนวดิ่ง (VLS) 16 ช่อง, จรวด ESSM และจรวดต่อต้านเรือรบ Exocet และอาวุธอื่น ๆ

2. สเปน เน้นความทันสมัย พร้อมรับมือภัยคุกคามยุคใหม่ ค่าย Navantia จากประเทศสเปน ส่งแบบเรือ Alpha 3000 เข้าประกวดระวางขับน้ำ 3,000 ตัน

ชูจุดขายเรื่องการออกแบบมาเพื่อรองรับระบบต่อต้านโดรนซึ่งเป็นภัยคุกคามรูปแบบใหม่ในสนามรบยุคปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนอาวุธหรือเรดาร์ไปใช้ยี่ห้ออื่นได้ง่ายตามความต้องการ

ระบบอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ (SAM) 16 ช่องยิง รองรับจรวด ESSM และอาวุธอื่น ๆ

3. ตุรกีเน้นพึ่งพาตนเอง ถ่ายทอดเทคโนโลยีจัดเต็ม
ตัวเลือกจากยุทธศาสตร์ G2G โดย รัฐวิสาหกิจตุรกี นำเสนอเรือชั้น Istanbul Class ระวางขับน้ำ 3,000 - 3,100 ตัน

จุดเด่นตรงที่ตอบโจทย์เงื่อนไขการถ่ายทอดเทคโนโลยีมากที่สุด โดยเสนอให้ไทยมีส่วนร่วมในการผลิตและประกอบมากที่สุด (ผลิตเองเกือบหมด) รวมถึงระบบอาวุธอย่างจรวด Atmaca และ VLS

ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำ (SSM) และระบบอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ (SAM) และอาวุธอื่น ๆ

โครงการนี้ไม่ได้เป็นเพียงการซื้ออาวุธ แต่เป็นการวางรากฐานอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ภายใต้วงเงิน 35,000 ล้านบาท กองทัพเรือต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความคุ้นเคยและการซ่อมบำรุงง่ายของเกาหลีใต้, เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ยืดหยุ่นของสเปน หรือการพึ่งพาตนเองและการถ่ายทอดเทคโนโลยีของตุรกี 

การตัดสินใจครั้งนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญว่า กองทัพเรือไทยจะมุ่งเน้นไปในทิศทางใดในทศวรรษหน้าเพื่อปกป้องน่านน้ำไทยทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน 

* ข้อมูลในด้านของระบบอาวุธของเรือทั้ง 3 แบบนี้ เป็นเพียงข้อมูลอาวุธพื้นฐานที่เรือแต่ละแบบสามารถรองรับได้ ไม่ใช่ข้อมูลอาวุธที่ผู้ผลิตจากทั้ง 3 ประเทศ จะติดตั้งมาให้กองทัพเรือไทยทั้งหมด

* ข้อเสนอของบริษัทประเทศตุรกีเป็นการคาดการณ์แนวทางที่คาดว่าบริษัทประเทศตุรีจะยื่นเสนอให้กับกองทัพเรือไทย มิใช่ข้อเสนอในเอกสารอย่างเป็นทางการจากบริษัท

* ส่วนเงื่อนไขการส่งเสริมเศรษฐกิจในประเทศ และการถ่ายทอดเทคโนโลยีการต่อเรือให้กับอุตสาหกรรมไทย เป็นไปตามความต้องการของกองทัพเรือไทย

* บริษัท Hanwha Ocean ประเทศเกาหลีใต้ นำเสนอแบบเรือ Okpo 40F มีระวางขับน้ำ 3,700 - 4,000 ตัน และเรือ HDF 3600 ต่อโดยบริษัท HD Hyundai Heavy Industries เรือ HDF 3600 มีระวางขับน้ำ 3,600 ตัน

ที่มาข้อมูล : Wikipedia, Navaltia Australia, Naval News

ที่มารูปภาพ : Wikipedia, Navaltia Australia, Naval News