Unseen JOB: ชานมไข่มุก 19 บาท ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคทุกกลุ่ม

10 ต.ค. 2019

21:18 น

Unseen JOB: ชานมไข่มุก 19 บาท ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคทุกกลุ่ม

สรุปข่าว

ตลาดชาไข่มุกแม้ว่าจะกลับมาบูมได้หลายปีแล้ว แต่ปัจจุบันธุรกิจชาไข่มุกยังคงอยู่ในกระแส แถมยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง และจากชาไข่มุกแบรนด์ดังจากต่างประเทศเข้ามาตีตลาดในไทย ทำให้ผู้ประกอบการไทยหันมาจับต้องกับธุรกิจนี้มากขึ้น แต่ได้ปรับรูปแบบและกลุ่มเป้าหมายที่ต่างออกไป ซึ่งหากแบ่งกลุ่มลูกค้าของตลาดชาแล้ว ก็จะแบ่งได้ 3 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกจะเป็นระดับล่างที่มีราคาเฉลี่ย 19-30 บาท, ระดับกลางราคาเฉลี่ย 35-60 บาท และระดับพรีเมี่ยม ราคาจะเริ่มตั้งแต่ 70 บาทขึ้นไป จนถึงราคาเกือบ 200 ก็มี

ทั้งนี้ ผลสำรวจก็ระบุว่า ตลาดชาไข่มุกในปี 2016 มีมูลค่า 1,957 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 62,000 ล้านบาท และจะโตแบบก้าวกระโดดจนมีมูลค่าถึง 3,214 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2023 หรือราว 102,000 ล้านบาท ยิ่งทำให้ผู้ประกอบการเห็นโอกาสในตลาดนี้

เมื่อก่อนชาราคา 25 บาทถือว่าถูกและคุ้มค่าแล้ว แต่เมื่อตลาดเปลี่ยนไปทำให้แฟรนไชส์ชาไข่มุกขยายตัวแบบก้าวกระโดด ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องแข่งกันในด้านราคา ซึ่งกลุ่มที่สามารถเข้าถึงได้กว้าง ก็คงจะหนีไม่พ้นระดับราคาสบายกระเป๋า ที่เริ่มต้น 19 บาท เพราะกลุ่มลูกค้าหลากหลาย เช่น นักเรียน นักศึกษา หรือกลุ่มคนทำงาน ซึ่งขณะนี้ผู้ประกอบการในตลาดกลุ่มนี้มากกว่า 100 แบรนด์เลยทีเดียว

โดยหนึ่งในแบรนด์ชาไข่มุกที่ราคาเริ่มต้นที่ 19 บาท ที่น่าจะพอรู้จักกัน อย่างแบรนด์ "โนบิชา" นับว่าเป็นชาไข่มุกเจ้าแรกๆในตลาดกลุ่มนี้ มีสาขาแรกอยู่ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งธุรกิจของโนบิชาเติบโตแบบก้าวกระโดด สามารถขยายสาขาได้กว่า 500 สาขา ภายใน 1 ปี และปัจจุบันสาขาแฟรนไชส์ของโนบิชาเพิ่มขึ้นมาเป็น 729 สาขาแล้ว คิดเป็นสัดส่วนสาขาแฟรนส์ไชส์ 95% และอีก 5% เป็นสาขาที่บริหารจัดการเอง

สุปัทมา พชรทรัพย์ กรรมการผู้จัดการบริษัท โนบิชา กรุ๊ป จำกัด บอกว่า การแข่งขันของตลาดชาไข่มุกค่อนข้างสูงแต่ยังสามารถขับเคลื่อนไปได้ต่อ เพราะชาไข่มุกยังอยู่ในเทรนด์ไปอีกอย่างน้อย 3-4 ปี ซึ่งโนบิชาเองก็เป็นแบรนด์ราคาเริ่มต้น 19 บาทแบรนด์แรกๆในตลาดจึงทำให้ยังมีความได้เปรียบคู่แข่ง ซึ่งจากความตั้งใจของโนบิชา คืออยากใช้คนไทยได้กินชาไข่มุกที่มีคุณภาพและราคาถูก คนทุกกลุ่มสามารถซื้อได้ทุกวัน จึงทำให้ลูกค้าของโนบิชามีตั้งแต่อายุ 13 ปี ไปจนถึง 35 ปี

อย่างไรก็ตาม แม้โนบิชาจะมีสาขาแฟรนไชส์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่มีการเข้มงวดเรื่องคุณภาพ โดยจะมีการดูแลมาตรฐานของรสชาติ ให้คงที่สม่ำเสมอทุกสาขา ซึ่งนับเป็นจุดแข็งของแบรนด์ที่สู้กับแบรนด์น้องใหม่ในตลาดได้ โดยปัจจุบันแต่ละสาขาสามารถขายได้ 500-1,500 แก้วต่อวัน ทำกำไรต่อสาขา เฉพาะสาขาในห้างฯทำกำไรเริ่มต้นที่ 50,000 บาท ส่วนสาขาคีออสตามพื้นที่เอาท์ดอร์ กำไรจะเริ่มต้นที่หลักพันถึงหลักหมื่นบาท ขึ้นอยู่กับทำเลของร้านนั้นๆ

ทั้งนี้ โนบิชา ตั้งเป้าหมายที่จะขยายสาขาไปยังต่างประเทศมากขึ้น จากปัจจุบันที่สามารถขยายสาขาไปที่ กัมพูชา และมาเลเซียได้แล้ว และล่าสุด โนบิชา ได้เปิดสาขาใหม่ในประเทศเพิ่มอีก 1 สาขา ที่บ้านก้ามปู @อโศก ทำเลก็ตั้งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัย และย่านธุรกิจ เจาะกลุ่มทั้งนักศึกษาและวัยทำงานในย่านนั้น โดยการตกแต่งร้านจะดูพรีเมี่ยมขึ้น และเพิ่มเมนูที่พรีเมี่ยมขึ้นมา อาทิ มัทฉะกรีนทรี พรีเมี่ยมโกโก้ นมสดบราวชูการ์ เป็นต้น ที่มีทั้งเมนูปั่น เมนูเย็น ราคาแพงสุดจะอยู่ที่แก้วละ 65 บาท รวมทั้งท็อปปิ้งที่เพิ่ม เยลลี่ที่ทำจากบุก เอาใจคนรักสุขภาพมากขึ้นด้วย ซึ่งเป็นสาขาที่บริษัทบริหารจัดการเองทั้งหมด

สำหรับ ราคาแฟรนไชส์ของโนบิชา ก่อนหน้านี้จะเริ่มต้นที่ 49,000-59,000 บาท แต่ล่าสุด ทางบริษัทได้ปรับราคามาอยู่ที่ 200,000 บาท เนื่องจากต้องการชะลอการเพิ่มขึ้นของสาขาในประเทศ เพื่อควบคุมคุมภาพและมาตรฐานของรสชาติของผลิตภัณฑ์

ทุกวันนี้ชาไข่มุกเป็นเหมือนไลฟ์สไตล์ที่เข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคทุกเพศ ทุกวัย และการที่ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน ก็ยิ่งทำให้ตลาดเครื่องดื่มมีการเติบโตขึ้นทุกปี จึงทำให้ชาไข่มุกเป็นอีกหนึ่งเมนูเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมากขึ้น แต่การจะยืนอยู่ในตลาดได้ย่อมมีปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อธุรกิจอย่างแน่นอน ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงต้องพร้อมที่จะปรับตัวไปพร้อมกับตลาด

"อุปสรรคคือเรื่องการแข่งขัน เพราะการทำร้านเครื่องดื่ม ใครๆก็สามารถทำได้ แต่การคงอยู่ในตลาดที่มีคู่แข่งใหม่ๆเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นอะไรที่ท้าทาย ซึ่งเราอาจจะต้องขยัน อยู่ตลอดเวลา ในราคาที่ตั้งมาเท่ากัน แต่เราจะต้องสร้างความแตกต่าง มีการคุมมาตรฐานที่ดี มีรสชาติคงที่" สุปัทมา กล่าว

นอกจากนี้ สุปัทมา ยังบอกเคล็ดลับการจะประสบความสำเร็จในธุรกิจด้วยว่า "ที่ทุกคนต้องมีคือ อดทน พยายาม อย่าหยุดอยู่กับที่ ต้องก้าวนำหน้าคนอื่นอยู่เสมอ "