ทรัมป์ตั้งภาษาอังกฤษ เป็นภาษาราชการ ครั้งแรกในรอบ 250 ปี ตั้งแต่ก่อตั้งสหรัฐฯ

ทรัมป์ตั้งภาษาอังกฤษ เป็นภาษาราชการ ครั้งแรกในรอบ 250 ปี ตั้งแต่ก่อตั้งสหรัฐฯ

รู้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้ว แต่ละประเทศไม่ต้องมีการประกาศภาษาประจำทางการก็ได้ และสหรัฐฯ เอง ก็ไม่ได้มีภาษาทางราชการมาถึง 250 ปี แต่นี่เป็นครั้งแรก ที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ลงนามคำสั่งพิเศษให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ 


ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อให้ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาทางการของสหรัฐฯ คำสั่งนี้ทำให้นโยบายที่กำหนดให้หน่วยงานของรัฐ และหน่วยงานที่ได้เงินจากทางการ ต้องให้ความช่วยเหลือด้านภาษาแก่ผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งลงนามโดยอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตันในปี 2000 ถูกยกเลิกไป ทำให้ต่อจากนี้ หน่วยงานเหล่านี้ จะใช้เพียงภาษาอังกฤษก็ได้ 


คำสั่งดังกล่าวระบุว่า "การกำหนดให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการจะไม่เพียงแต่ทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างค่านิยมร่วมกันของชาติ และสร้างสังคมที่เหนียวแน่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย"

และ “นับตั้งแต่การก่อตั้งสาธารณรัฐของเรา ภาษาอังกฤษได้ถูกนำมาใช้เป็นภาษาประจำชาติของเรา ดังนั้น จึงถึงเวลาแล้วที่ภาษาอังกฤษจะได้รับการประกาศให้เป็นภาษาทางการของสหรัฐอเมริกา”


นี่ถือเป็นครั้งแรกที่สหรัฐฯ กำหนดภาษาทางการในระดับรัฐบาลกลางนับตั้งแต่ก่อตั้งประเทศเมื่อเกือบ 250 ปีที่แล้ว ในคำสั่งดังกล่าว หน่วยงานต่างๆ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง ยกเลิก หรือหยุดให้ความช่วยเหลือใดๆ ที่ให้ไปแล้ว


สรุปข่าว

โดนัลด์ ทรัมป์ ออกคำสั่งให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการของสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ส่งผลให้หน่วยงานรัฐไม่จำเป็นต้องให้บริการด้านภาษาสำหรับผู้ที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษอีกต่อไป ซึ่งเป็นการยกเลิกนโยบายเดิมของบิล คลินตัน คำสั่งนี้เน้นว่าภาษาอังกฤษช่วยเสริมสร้างเอกลักษณ์ชาติและการรวมตัวของสังคม

รู้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้ว แต่ละประเทศไม่ต้องมีการประกาศภาษาประจำทางการก็ได้ และสหรัฐฯ เอง ก็ไม่ได้มีภาษาทางราชการมาถึง 250 ปี แต่นี่เป็นครั้งแรก ที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ลงนามคำสั่งพิเศษให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ 


ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อให้ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาทางการของสหรัฐฯ คำสั่งนี้ทำให้นโยบายที่กำหนดให้หน่วยงานของรัฐ และหน่วยงานที่ได้เงินจากทางการ ต้องให้ความช่วยเหลือด้านภาษาแก่ผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งลงนามโดยอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตันในปี 2000 ถูกยกเลิกไป ทำให้ต่อจากนี้ หน่วยงานเหล่านี้ จะใช้เพียงภาษาอังกฤษก็ได้ 


คำสั่งดังกล่าวระบุว่า "การกำหนดให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการจะไม่เพียงแต่ทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างค่านิยมร่วมกันของชาติ และสร้างสังคมที่เหนียวแน่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย"

และ “นับตั้งแต่การก่อตั้งสาธารณรัฐของเรา ภาษาอังกฤษได้ถูกนำมาใช้เป็นภาษาประจำชาติของเรา ดังนั้น จึงถึงเวลาแล้วที่ภาษาอังกฤษจะได้รับการประกาศให้เป็นภาษาทางการของสหรัฐอเมริกา”


นี่ถือเป็นครั้งแรกที่สหรัฐฯ กำหนดภาษาทางการในระดับรัฐบาลกลางนับตั้งแต่ก่อตั้งประเทศเมื่อเกือบ 250 ปีที่แล้ว ในคำสั่งดังกล่าว หน่วยงานต่างๆ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง ยกเลิก หรือหยุดให้ความช่วยเหลือใดๆ ที่ให้ไปแล้ว


คำสั่งยังระบุอีกว่า “การพูดภาษาอังกฤษไม่เพียงแต่ช่วยเปิดประตูสู่เศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้มาใหม่มีส่วนร่วมในชุมชน มีส่วนร่วมในประเพณีของชาติ และตอบแทนสังคมของเราด้วย”

นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่า เป็นการฉลอง “ประเพณีอันยาวนานของพลเมืองอเมริกันที่พูดได้หลายภาษาซึ่งเรียนรู้ภาษาอังกฤษและถ่ายทอดให้ลูกหลานจากรุ่นสู่รุ่น”


โดยจากคำสั่งพิเศษนี้ บุคคลที่ผ่านกระบวนการเปลี่ยนสัญชาติเพื่อเป็นพลเมืองสหรัฐฯ จะต้องสอบภาษาอังกฤษด้วย ซึ่งพวกเขา "ต้องแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในภาษาอังกฤษ รวมถึงความสามารถในการอ่าน เขียน และพูดภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐาน" ตามข้อมูลของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและสัญชาติสหรัฐฯ คำสั่งของทรัมป์ระบุว่าการกำหนดให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการของประเทศจะ "เสริมพลัง" ให้กับพลเมืองใหม่มากขึ้นและช่วยให้พวกเขาปรับตัวเข้ากับสังคมได้ดีขึ้น


ตามข้อมูลของสำนักงานสำมะโนประชากรของสหรัฐฯ ประชากรเกือบ 68 ล้านคนจากทั้งหมด 340 ล้านคนของประเทศ พูดภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ซึ่งรวมถึงภาษาพื้นเมืองอเมริกันมากกว่า 160 ภาษา ตามข้อมูลของสำนักงานสำมะโนประชากร ภาษาสเปน ภาษาจีนต่างๆ และภาษาอาหรับ เป็นภาษาที่ใช้พูดมากที่สุดรองจากภาษาอังกฤษ


ก่อนหน้านี้ พรรครีพับลิกันพยายามกำหนดให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการของสหรัฐฯ โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสนอร่างกฎหมาย แต่ก็ล้มเหลวในปี 2021

ผู้ที่คัดค้านความพยายามดังกล่าวกล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องมีภาษาราชการ เนื่องจากมีผู้พูดภาษาอังกฤษจำนวนมากโดยที่ภาษานั้นไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นภาษาราชการ

พวกเขายังกล่าวอีกว่า การกำหนดให้ภาษาราชการมีเพียง 1 ภาษา อาจส่งเสริมการเลือกปฏิบัติต่อผู้ที่ไม่พูดภาษาอังกฤษด้วย


ขณะที่ในช่วงหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2024 ทรัมป์ได้อ้างถึงภาษาอื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ในขณะที่เรียกร้องให้มีนโยบายตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มงวดยิ่งขึ้น ในตอนนั้น ทรัมป์กล่าวว่า “มันเป็นเรื่องที่บ้าที่สุด พวกเขามีภาษาที่ไม่มีใครในประเทศนี้เคยได้ยินมาก่อน มันเป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก” ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ก็สอดคล้องกับจุดยืนที่แข็งกร้าวของทรัมป์เกี่ยวกับการย้ายถิ่นฐาน ซึ่งรวมถึงคำสั่งฝ่ายบริหารของเขาที่ยุติการให้สัญชาติโดยกำเนิด ซึ่งศาลหลายแห่งได้สั่งยกเลิกไปแล้ว


ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกไม่มีภาษาทางการ รวมถึงสหราชอาณาจักร

ขณะที่รัฐต่างๆ ของสหรัฐฯ มากกว่า 30 รัฐกำหนดให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ ขณะที่อแลสกาและฮาวายยังให้สถานะทางการแก่ภาษาพื้นเมืองหลายภาษาด้วย


หนึ่งในพื้นที่ของสหรัฐฯ ที่ผู้คนพูดภาษาหลากหลายคือ ทางใต้ของฟลอริดา ซึ่งในลิตเติลฮาวานา ธุรกิจส่วนใหญ่ใช้ภาษาสเปน และรัฐบาลท้องถิ่นก็มักมีการแปลข้อมูลสำคัญเป็นภาษาสเปนและภาษาครีโอล 

 ซึ่งเมื่อสื่อท้องถิ่นได้สัมภาษณ์ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ ชาวเมืองก็มองว่า 

คิดว่ามันเป็นเรื่องการเมือง และไม่มีความจำเป็นเลย


วาเลนติน อัลเมอิตา ชาวฟลอริดาใต้กล่าวว่า “ไมอามีเป็นเมืองที่มีวัฒนธรรมที่หลากหลาย และมีคนพูดภาษาต่างๆ มากมาย หากเขาต้องการออกคำสั่ง ก็สามารถทำได้ แต่ฉันไม่คิดว่าจะมีการบังคับใช้”