
ตลาดหุ้นไทยเผชิญปัจจัยเสี่ยงต่างประเทศและในประเทศที่ถาโถมกระหน่ำ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจวบจนมาถึงปัจจุบัน จากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก แรงกดดันสงครามการค้าและนโยบายการเงินสหรัฐ ความไม่แน่นอนทางการเมือง เศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว เงินดอลลาร์แข็งค่า ทำให้เงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ และไทยอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนต่ำกว่าคาด ทุบดัชนีทิ้งดิ่ง ขึ้นแท่นตลาดหุ้นยอดแย่ผลตอบแทนต่ำสุด ติดอันดับ 91 ของโลก จากทั้งหมด 92 ดัชนีทั่วโลก ซึ่งสาเหตุที่แท้จริงเกิดจากอะไร และแนวโน้มตลาดหุ้นไทยมิ.ย.ไปต่อได้หรือไม่ TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูตลาดทุน
เริ่มจาก"ภราดร เตียรณปราโมทย์" ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส เล่าให้ฟังว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วง5 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-พ.ค.) ปรับตัวลง -17% โดยดัชนีร่วง 4 เดือนจากทั้งหมด 5 เดือน (เฉพาะเดือนเม.ย. +3.4% ) ซึ่ง SET Index ไทยต่ำสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศเลบานอน -24% จากที่ตลาดหุ้นโลก (MSCI ACWI) +4.6% ซึ่งหากเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 67 ดัชนีหุ้นไทยต่ำสุดเป็นอันดับ 16 ของโลก -1.1%
ทั้งนี้หากเทียบกับตลาดหุ้นต่างประเทศ เช่น ตลาดหุ้นยุโรป ดัชนีอยู่อันดับ 32 ของโลก +10.11% ดัชนีหุ้นเยอรมัน DAX 40 อยู่อันดับ 11 ของโลก บวก 21.2% ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐฯ นั้นพบว่า ัชนี เอสแอนด์พี 500 อยู่อันดับ 63 ของโลก +0.52% ขณะเดียวกันหากเทียบเพื่อนบ้านพบว่า ดัชนีฮั่งเส็งอยู่อันดับที่ 19 ของโลก +16% ดัชนีตลาดหุ้นเกาหลีใต้อยู่อันดับ 31 ของโลก +11.28% ตลาดหุ้นอินโดนีเซียอยู่อันดับที่ 58 ของโลก +1.35% ส่วน ฟิลิปปินส์ดัชนีต่ำสุดเป็นอันดับ 16 ของโลก -2.87% ญี่ปุ่นดัชนีนิเคอิต่ำสุดเป็นอันดับ 12 ของโลก -4.84%
ส่วนสาเหตุที่หุ้นไทยร่วงหนักเกิดจากเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกถึง 60-70% เมื่อเจอเหตุการณ์ขึ้นภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐจึงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและตลาดทุน ผสมโรงความกังวลแรงขายแอลทีเอฟที่ออกมาในช่วงต้นปี ซึ่งมียอดคงค้าง 1.8 หมื่นล้านบาท ทำให้หุ้นในช่วง 3 เดือนแรกติดลบ รวมถึงเรื่องแผ่นดินไหวกระหน่ำซ้ำเติมอีก และ เสถียรภาพทางการเมืองที่ไม่มีความแน่นอน
ขณะที่นโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาลบางนโยบายยังไม่มีความชัดเจน เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ แม้ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)พยุงเศรษฐกิจช่วยลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ก็ตาม โดยปัจจุบันมูลค่าการซื้อขายหุ้นไทยต่ำไม่ถึง 4 หมื่นล้านบาทต่อวัน จากเดิมที่บางวันทะลุเป็นแสนล้าน
ซึ่งมูลค่าหุ้น ( Valuation) ขณะนี้ถือว่าถูกมาก อัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี หรือ PBV อยู่ที่ 1.08 เท่า และหากหัก DELTA ออก SET จะมี PBV 0.98 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำบุ๊ค โดยใน อดีตตลอด 25 ปี SET มีโอกาส PBV น้อยกว่าหรือเท่ากับ 1.1 เท่า เกิดขึ้นแค่ 2% เท่านั้น และหากซื้อหุ้นช่วงที่ SET มี PBV น้อยกว่าหรือเท่ากับ 1.1 เท่า มีโอกาสได้ผลตอบที่ดีในช่วง 5 ปี ถึง 205% หรือประมาณ 25% ต่อปีถือเป็นจังหวะในการซื้อสะสมลงทุน ระยะยาว
สำหรับแนวโน้มหุ้นไทยเดือน มิ.ย.นั้น ยังคงอยู่ในลักษณะ “ไร้ทิศทาง จะลงก็ได้ จะขึ้นก็ดี” เนื่องจากเป็นช่วงเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญการเมืองทั้งไทยและต่างประเทศ เริ่มจากประเด็นต่างประเทศ อยู่ในช่วงระหว่างรอ ศาลอุทธรณ์สหรัฐ ได้ให้ศาลการค้าฯ - รัฐบาลทรัมป์ รีบส่งเอกสารด่วน ภายในวันที่ 9 มิ.ย. 68 เพื่อพิจารณาคำร้องขอระงับคำตัดสินเดิมอย่างถาวรหรือไม่
นอกจากนี้ต้องจับตาการประชุมธนาคารกลางสำคัญๆ ของโลกทั้ง ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางญี่ปุ่น ( BOJ) ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ตลาดฯ คาดคงดอกเบี้ย ส่วนการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ตลาดคาดลดดอกเบี้ยจาก 2.25% เหลือ 2%
ส่วนปัจจัยในประเทศหลักที่ต้องเกาะติดคือประเด็นการเมืองไทย มีกระแสการปรับ ครม. และ รอลุ้นคดีสำคัญทางการเมืองในช่วงกลางเดือน มิ.ย. เป็นตัวชี้วัดทิศทางตลาดหุ้นไทย .ความคืบหน้าของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านงบประมาณประจำปี 68 โดย ประเมิน SET Index เคลื่อนไหวกรอบล่าง แนวรับแรก 1,150 จุด หากหลุดจะมีแนวรับถัดไป 1ม130 จุด ส่วนกรอบบนมีแนวต้านแรก 1,175 จุด ถ้าผ่านมีโอกาสขึ้นไปได้ถึง 1,210 จุด
หุ้นเด่นแนะนำ
- TOP (FV @ 41.00) หุ้นเด่นกลุ่มน้ำมันที่ได้ประโยชน์ในยามน้ำมันดิบกลับเป็นขาขึ้นตาม Trade Tariff ที่มีโอกาสผ่อนคลายลงช่วงสั้น
- CPF (FV @ 30.00) หุ้นเด่นกำไร 1Q68 แข็งแกร่งเกินคาด ขณะที่กำไร 2Q68 มีโอกาสยืนสูงไม่ต่างจาก 1Q68 เลือกเป็นหุ้นเด่นสุดของกลุ่มฯ
- WHA (FV @ 4.80) หุ้นเด่นได้ประโยชน์จากประเด็น Trade War คลี่คลายลงบ้าง อีกทั้งราคาหุ้นยังปรับฐานลงมาลึกกว่า SET ในช่วงที่ผ่านมา
- IVL (FV @ 30.00) ราคาหุ้นปรับฐานไปแล้วระดับหนึ่ง Downside จำกัดมากขึ้น รอทยอยสะสมรอบใหม่ลุ้นรับช่วงฤดูกาลในงวด 2Q68 และความคาดหวังสำหรับ Theme China play
- GPSC (FV @ 32.50) แม้ปัจจัยพื้นฐานระยะสั้น 2Q68 ยังไม่โดดเด่น แต่ช่วงที่ผ่านมาคาดราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยลบต่างๆ ไปแล้ว อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันยังมี upside สูง
สรุปข่าว
ตลาดหุ้นไทยเผชิญปัจจัยเสี่ยงต่างประเทศและในประเทศที่ถาโถมกระหน่ำ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจวบจนมาถึงปัจจุบัน จากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก แรงกดดันสงครามการค้าและนโยบายการเงินสหรัฐ ความไม่แน่นอนทางการเมือง เศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว เงินดอลลาร์แข็งค่า ทำให้เงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ และไทยอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนต่ำกว่าคาด ทุบดัชนีทิ้งดิ่ง ขึ้นแท่นตลาดหุ้นยอดแย่ผลตอบแทนต่ำสุด ติดอันดับ 91 ของโลก จากทั้งหมด 92 ดัชนีทั่วโลก ซึ่งสาเหตุที่แท้จริงเกิดจากอะไร และแนวโน้มตลาดหุ้นไทยมิ.ย.ไปต่อได้หรือไม่ TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูตลาดทุน
เริ่มจาก"ภราดร เตียรณปราโมทย์" ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส เล่าให้ฟังว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วง5 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-พ.ค.) ปรับตัวลง -17% โดยดัชนีร่วง 4 เดือนจากทั้งหมด 5 เดือน (เฉพาะเดือนเม.ย. +3.4% ) ซึ่ง SET Index ไทยต่ำสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศเลบานอน -24% จากที่ตลาดหุ้นโลก (MSCI ACWI) +4.6% ซึ่งหากเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 67 ดัชนีหุ้นไทยต่ำสุดเป็นอันดับ 16 ของโลก -1.1%
ทั้งนี้หากเทียบกับตลาดหุ้นต่างประเทศ เช่น ตลาดหุ้นยุโรป ดัชนีอยู่อันดับ 32 ของโลก +10.11% ดัชนีหุ้นเยอรมัน DAX 40 อยู่อันดับ 11 ของโลก บวก 21.2% ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐฯ นั้นพบว่า ัชนี เอสแอนด์พี 500 อยู่อันดับ 63 ของโลก +0.52% ขณะเดียวกันหากเทียบเพื่อนบ้านพบว่า ดัชนีฮั่งเส็งอยู่อันดับที่ 19 ของโลก +16% ดัชนีตลาดหุ้นเกาหลีใต้อยู่อันดับ 31 ของโลก +11.28% ตลาดหุ้นอินโดนีเซียอยู่อันดับที่ 58 ของโลก +1.35% ส่วน ฟิลิปปินส์ดัชนีต่ำสุดเป็นอันดับ 16 ของโลก -2.87% ญี่ปุ่นดัชนีนิเคอิต่ำสุดเป็นอันดับ 12 ของโลก -4.84%
ส่วนสาเหตุที่หุ้นไทยร่วงหนักเกิดจากเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกถึง 60-70% เมื่อเจอเหตุการณ์ขึ้นภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐจึงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและตลาดทุน ผสมโรงความกังวลแรงขายแอลทีเอฟที่ออกมาในช่วงต้นปี ซึ่งมียอดคงค้าง 1.8 หมื่นล้านบาท ทำให้หุ้นในช่วง 3 เดือนแรกติดลบ รวมถึงเรื่องแผ่นดินไหวกระหน่ำซ้ำเติมอีก และ เสถียรภาพทางการเมืองที่ไม่มีความแน่นอน
ขณะที่นโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาลบางนโยบายยังไม่มีความชัดเจน เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ แม้ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)พยุงเศรษฐกิจช่วยลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ก็ตาม โดยปัจจุบันมูลค่าการซื้อขายหุ้นไทยต่ำไม่ถึง 4 หมื่นล้านบาทต่อวัน จากเดิมที่บางวันทะลุเป็นแสนล้าน
ซึ่งมูลค่าหุ้น ( Valuation) ขณะนี้ถือว่าถูกมาก อัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี หรือ PBV อยู่ที่ 1.08 เท่า และหากหัก DELTA ออก SET จะมี PBV 0.98 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำบุ๊ค โดยใน อดีตตลอด 25 ปี SET มีโอกาส PBV น้อยกว่าหรือเท่ากับ 1.1 เท่า เกิดขึ้นแค่ 2% เท่านั้น และหากซื้อหุ้นช่วงที่ SET มี PBV น้อยกว่าหรือเท่ากับ 1.1 เท่า มีโอกาสได้ผลตอบที่ดีในช่วง 5 ปี ถึง 205% หรือประมาณ 25% ต่อปีถือเป็นจังหวะในการซื้อสะสมลงทุน ระยะยาว
สำหรับแนวโน้มหุ้นไทยเดือน มิ.ย.นั้น ยังคงอยู่ในลักษณะ “ไร้ทิศทาง จะลงก็ได้ จะขึ้นก็ดี” เนื่องจากเป็นช่วงเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญการเมืองทั้งไทยและต่างประเทศ เริ่มจากประเด็นต่างประเทศ อยู่ในช่วงระหว่างรอ ศาลอุทธรณ์สหรัฐ ได้ให้ศาลการค้าฯ - รัฐบาลทรัมป์ รีบส่งเอกสารด่วน ภายในวันที่ 9 มิ.ย. 68 เพื่อพิจารณาคำร้องขอระงับคำตัดสินเดิมอย่างถาวรหรือไม่
นอกจากนี้ต้องจับตาการประชุมธนาคารกลางสำคัญๆ ของโลกทั้ง ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางญี่ปุ่น ( BOJ) ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ตลาดฯ คาดคงดอกเบี้ย ส่วนการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ตลาดคาดลดดอกเบี้ยจาก 2.25% เหลือ 2%
ส่วนปัจจัยในประเทศหลักที่ต้องเกาะติดคือประเด็นการเมืองไทย มีกระแสการปรับ ครม. และ รอลุ้นคดีสำคัญทางการเมืองในช่วงกลางเดือน มิ.ย. เป็นตัวชี้วัดทิศทางตลาดหุ้นไทย .ความคืบหน้าของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านงบประมาณประจำปี 68 โดย ประเมิน SET Index เคลื่อนไหวกรอบล่าง แนวรับแรก 1,150 จุด หากหลุดจะมีแนวรับถัดไป 1ม130 จุด ส่วนกรอบบนมีแนวต้านแรก 1,175 จุด ถ้าผ่านมีโอกาสขึ้นไปได้ถึง 1,210 จุด
หุ้นเด่นแนะนำ
- TOP (FV @ 41.00) หุ้นเด่นกลุ่มน้ำมันที่ได้ประโยชน์ในยามน้ำมันดิบกลับเป็นขาขึ้นตาม Trade Tariff ที่มีโอกาสผ่อนคลายลงช่วงสั้น
- CPF (FV @ 30.00) หุ้นเด่นกำไร 1Q68 แข็งแกร่งเกินคาด ขณะที่กำไร 2Q68 มีโอกาสยืนสูงไม่ต่างจาก 1Q68 เลือกเป็นหุ้นเด่นสุดของกลุ่มฯ
- WHA (FV @ 4.80) หุ้นเด่นได้ประโยชน์จากประเด็น Trade War คลี่คลายลงบ้าง อีกทั้งราคาหุ้นยังปรับฐานลงมาลึกกว่า SET ในช่วงที่ผ่านมา
- IVL (FV @ 30.00) ราคาหุ้นปรับฐานไปแล้วระดับหนึ่ง Downside จำกัดมากขึ้น รอทยอยสะสมรอบใหม่ลุ้นรับช่วงฤดูกาลในงวด 2Q68 และความคาดหวังสำหรับ Theme China play
- GPSC (FV @ 32.50) แม้ปัจจัยพื้นฐานระยะสั้น 2Q68 ยังไม่โดดเด่น แต่ช่วงที่ผ่านมาคาดราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยลบต่างๆ ไปแล้ว อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันยังมี upside สูง
ฝั่ง "ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์" AISA, CFTe ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.กรุงศรี กล่าวว่า SET Index เดือน พ.ค.ปรับลงราว 38 จุด หรือราว -3.2% ว่า แรงกดดันมาจากต่างประเทศ 1. สหรัฐถูกปรับลด Credit rating ลง 1 notch การผ่านร่างกฎหมายลดภาษี หนุน US Bond Yield 10 และ 30 ปี เร่งขึ้น 2.ความผันผวนจากความไม่แน่นอนของภาษีนำเข้าสหรัฐ
ส่วนภายในปัจจัยกดดันมาจาก 1. ไทยพบผู้ติดเชื้อ Covid-19 ในอัตราที่เร่งขึ้น 2. MSCI Rebalance รอบเดือน พ.ค. Net outflow ราว -1.3 หมื่นล้านบาท 3. การขาดดุลการค้าไทย และมุมมองการขาดดุลบริการเร่งขึ้นรายงานนักท่องเที่ยวล่าสุดยังลดลง โดยเฉพาะฝั่งจีน
ส่วนทิศทาง ตลาดหุ้นไทย เดือน มิ.ย. นั้น คาด “Sideways- Sideways Up” โดยสถิติย้อนหลัง 10 ปีที่ผ่านมาผลตอบแทนจะติดลบเฉลี่ย -0.96% และความเป็นไปได้ที่ผลตอบแทนจะเป็นบวกราว 40% โดยคาดว่าปีนี้ตลาดหุ้นไทยคาดโอกาสแกว่งขึ้น ได้เนื่องจาก
1.ความเสี่ยงหลัก Trade Tariffs คลายลง ลดโอกาสทรัมป์เดินหน้าเก็บภาษีนำเข้าแบบ Aggressive และประเมินตลาดรับจุดที่เลวร้ายที่สุดไปแล้วในราคาหุ้นและประเมินเป็นจุดเปลี่ยน Fund Flow ของการลงทุนไหลเข้าตลาดหุ้นใน Emerging Markets และการ Reposition เข้าตลาดหุ้นไทยซึ่งมีจุดเด่น คือ มี Valuation ที่ Deep Discount โดยมี Current Equity Risk Premium ราว 4.91% อยู่ในโซนใกล้ AVG + 2 S.D.
2.เดือน มิ.ย. Events สำคัญที่มีผลต่อการลงทุนทั้งทางบวก/ลบ อาทิ 18-19 มิ.ย. ประชุม Fed คาดคงดอกเบี้ย แต่ให้น้ำหนัก Dot plot มากกว่าว่า Fed จะลดดอกเบี้ยกี่ครั้งในปีนี้ และปี 69
นอกจากนี้ 25 มิ.ย. ประชุม กนง. ตลาดคาดคงอัตราดอกเบี้ยที่เดิม แต่ลุ้นโอกาสลดดอกเบี้ยฯในรอบนี้ อิง Thai Bond Yields ปรับลงต่อ 1.552% ประเมินมีโอกาสเห็น SET กลับสู่ระดับ 1,200 – 1,210 จุด ในระยะสั้น - ระยะกลาง
โดยมองกลุ่มเด่นหลักๆ คือ กลุ่มพลังงาน, ปิโตรเคมี, ส่งออก อาทิ ชิ้นส่วน ,กลุ่มนิคม ผสานกับความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยเริ่มมีมุมมองดีขึ้นจากก่อน มองหนุนกลุ่มธนาคาร โดยประเมินแนวต้านแรกที่ 1,200 จุด แนวต้านถัดไปที่ 1,231 จุด กรณีดีที่สุดแนวต้านอยู่ที่ 1,246 จุด แนวรับแรกที่ 1,155 จุด แนวรับแรกถัดไปที่ 1,143 จุด กรณีที่ Worst Case จะอยู่ที่ 1,123 จุด
ปัจจัยบวก-ลบที่ต้องติดตาม
- 5 มิ.ย. ติดตามการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) คาดปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25 bps ลงสู่ระดับ 2.0%
- ประเด็นที่เป็นกลาง
- 13 มิ.ย. ติดตามศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้นัดไต่สวนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรณีพิจารณาการบังคับโทษจำคุกต่อนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ประเมินมีโอกาสทำให้ตลาดผันผวนจากความกังวลเสถียรภาพการเมือง
- 17 มิ.ย. ประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น คาด BOJ จะคงดอกเบี้ยที่ 0.50%
- 18-19 มิ.ย. ประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(Fed) ตลาดคาดยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เดิม 4.25-4.5%
- 25 มิ.ย. ติดตามการประชุมคณะกรรมนโยบายการเงิน (กนง.) ตลาดคาดคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เดิม 1.75% KSS ลุ้นลดดอกเบี้ยโอกาสลดดอกเบี้ยหลังจาก Indicator ชี้นำอัตราดอกเบี้ย คือ Thai Bond Yields ปรับลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 1.552%
- Thai Covid ติดตามสถานการณ์ผู้ป่วยโควิด-19 ในเดือน มิ.ย. หลังจากช่วง กลาง - ปลายเดือน พ.ค. ตัวเลขผู้ติดเชื้อเร่งขึ้นแรง
หุ้นเด่นแนะนำ
- AOT (Max Consensus TP@ 47.25)
- AMATA ([email protected])
- SCC ([email protected])
- BDMS ([email protected])
- CPALL ([email protected])
ปิดท้ายที่ “วทัญ จิตต์สมนึก” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย มองว่า ตลาดหุ้นไทยเดือน พ.ค. ปรับลงมาจากจุดสูงสุดที่ 1,230 จุด มาอยู่ที่ระดับ 1,158 จุด คิดเป็นการปรับลง 4.5% รับแรงกดดันจากเศรษฐกิจภายในประเทศ เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวทยอยลดลงพร้อมกับการส่งออกที่น่าจะเติบโตลดลง ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนก็น่าจะเริ่มเห็นการลดลงเช่นกัน แม้ในเดือน พ.ค. จะมีปัจจัยหนุนเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับนานาประเทศ แต่ก็ช่วยหนุนหุ้นไทยเพียงเล็กน้อย
ส่วนแนวโน้มเดือน มิ.ย. คาดว่าจะ Sideway – Sideway Down เพราะขาดปัจจัยหนุนและตลาดก็สะท้อนปัจจัยบวกการเจรจาการค้าไปแล้ว ปัจจัยที่ต้องติดตามอาจไปให้น้ำหนักกับเรื่องของเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะการท่องเที่ยว การบริโภค รวมไปถึงเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับนานาประเทศ
หุ้นTop Pick
- MINT คาดผลประกอบการกำไรปกติ 2Q25 เติบโตทั้ง YoY และ QoQ หนุนจากปัจจัยในฤดูกาลท่องเที่ยวยุโรป โดยยอดจองห้องพักทะยอยสูงขึ้นอยู่ในเกณฑ์ดีตั้งแต่เดือนเมษายน ขณะที่รายได้ต่อห้อง (RevPar) คาดเติบโตแข็งแกร่ง ประกอบกับผลประกอบการธุรกิจร้านอาหารที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น QoQ จากแคมเปญไอศกรีมมะม่วงยอดนิยมที่เลื่อนการเปิดตัวมาจาก 1Q25 บนภาระดอกเบี้ยที่ลดลงจากการลดหนี้ IBD/E ตามเป้าที่ 0.8x
ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยผันผวนนักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของบริษัทในปัจจุบันและแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจอย่างรอบคอบ เน้นการกระจายความเสี่ยง ปรับพอร์ตตามสถานการณ์ ไม่ควรแห่ลงทุนตามกระแสเทรนด์หรือหุ้นปั่นโดยไม่ศึกษาข้อมูล เพราะหุ้นเหล่านี้จะปรับขึ้นลงโดยไม่เป็นไปตามปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งการลงทุนเปรียบเสมือนเหรียญ 2 ด้าน เมื่อสามารถมีกำไรมหาศาลจากตลาดหุ้นไทย ในอีกด้านหนึ่ง ก็อาจจะขาดทุนยับเยินจากการลงทุนได้เช่นกัน หากขาดความรู้ ข้อมูล และการประเมินความเสี่ยงที่เหมาะสม...
ที่มาข้อมูล : สัมภาษณ์
ที่มารูปภาพ : Getty Images,พิกซาเบย์
นักข่าวอาวุโส ประสบการณ์มากกว่า 25ปี ด้านข่าวการเงิน การคลัง การลงทุน