ไทม์ไลน์เหตุปะทะช่องบก ไทย-กัมพูชา จากแนวรบสู่โต๊ะเจรจา

ไทม์ไลน์เหตุปะทะช่องบก ไทย-กัมพูชา จากแนวรบสู่โต๊ะเจรจา

ไทม์ไลน์ความตึงเครียด เจาะลึกสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาจากปราสาทสู่ช่องบก

เสียงปืนที่ดังขึ้นในเช้าวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี กลับมาทำให้ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาตกอยู่ในภาวะวิกฤติอีกครั้ง เหตุปะทะครั้งนี้ไม่เพียงส่งผลให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1-2 นาย แต่ยังจุดชนวนให้เกิดกระแสต่อต้านสินค้าไทยในประเทศเพื่อนบ้าน และบีบให้ผู้นำทั้งสองฝ่ายต้องเร่งใช้กลไกทางการทูตเพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลามไปสู่วิกฤติที่ใหญ่ขึ้น การพิจารณาเหตุการณ์ตามลำดับเวลาเผยให้เห็นถึงความซับซ้อนของปัญหาชายแดนที่สะสมมาตั้งแต่ต้นปี พร้อมกับแนวทางการจัดการวิกฤติที่ต้องอาศัยทั้งความอดทนและภูมิปัญญาทางการทูต

บรรยากาศก่อนเกิดเหตุ การเตรียมความพร้อมในเดือนพฤษภาคม

ก่อนเกิดเหตุปะทะที่ช่องบก สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาได้มีการเตรียมการและพยายามลดความตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 หลังการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee – GBC) ไทย-กัมพูชา ผู้นำทหารของทั้งสองฝ่ายได้ตกลงร่วมกันลดความตึงเครียดและป้องกันการปะทะในพื้นที่พิพาท โดยเฉพาะบริเวณช่องบก และช่องอำนาจ จังหวัดอุบลราชธานี

ต่อมาเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2568 ทหารไทยและกัมพูชามีการเจรจาเพื่อควบคุมการลาดตระเวนในพื้นที่ทับซ้อน และยืนยันการปฏิบัติตามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2000 ที่กำหนดให้รักษาสถานภาพเดิม (Status Quo) ในพื้นที่พิพาท การเตรียมการเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายตระหนักถึงความอ่อนไหวของสถานการณ์และพยายามป้องกันไม่ให้เกิดการปะทะ

สรุปข่าว

เสียงปืนที่ช่องบก อุบลราชธานี เมื่อ 28 พ.ค. 68 กลับมาทำให้ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาตึงเครียด หลังทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1-2 นาย จุดชนวนกระแสต่อต้านสินค้าไทย ผู้นำทั้งสองฝ่ายเร่งใช้กลไกทางการทูต ประชุม JBC เพื่อคลี่คลายวิกฤติ ขณะที่ด่านชายแดนยังเปิดปกติ

ไทม์ไลน์ความตึงเครียด เจาะลึกสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาจากปราสาทสู่ช่องบก

เสียงปืนที่ดังขึ้นในเช้าวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี กลับมาทำให้ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาตกอยู่ในภาวะวิกฤติอีกครั้ง เหตุปะทะครั้งนี้ไม่เพียงส่งผลให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1-2 นาย แต่ยังจุดชนวนให้เกิดกระแสต่อต้านสินค้าไทยในประเทศเพื่อนบ้าน และบีบให้ผู้นำทั้งสองฝ่ายต้องเร่งใช้กลไกทางการทูตเพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลามไปสู่วิกฤติที่ใหญ่ขึ้น การพิจารณาเหตุการณ์ตามลำดับเวลาเผยให้เห็นถึงความซับซ้อนของปัญหาชายแดนที่สะสมมาตั้งแต่ต้นปี พร้อมกับแนวทางการจัดการวิกฤติที่ต้องอาศัยทั้งความอดทนและภูมิปัญญาทางการทูต

บรรยากาศก่อนเกิดเหตุ การเตรียมความพร้อมในเดือนพฤษภาคม

ก่อนเกิดเหตุปะทะที่ช่องบก สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาได้มีการเตรียมการและพยายามลดความตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 หลังการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee – GBC) ไทย-กัมพูชา ผู้นำทหารของทั้งสองฝ่ายได้ตกลงร่วมกันลดความตึงเครียดและป้องกันการปะทะในพื้นที่พิพาท โดยเฉพาะบริเวณช่องบก และช่องอำนาจ จังหวัดอุบลราชธานี

ต่อมาเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2568 ทหารไทยและกัมพูชามีการเจรจาเพื่อควบคุมการลาดตระเวนในพื้นที่ทับซ้อน และยืนยันการปฏิบัติตามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2000 ที่กำหนดให้รักษาสถานภาพเดิม (Status Quo) ในพื้นที่พิพาท การเตรียมการเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายตระหนักถึงความอ่อนไหวของสถานการณ์และพยายามป้องกันไม่ให้เกิดการปะทะ

เหตุปะทะที่ช่องบกเมื่อ 28 พฤษภาคม

ในเช้าวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เวลาประมาณ 05.30-05.45 น. ได้เกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา ที่บริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี สาเหตุเริ่มจากทหารไทยตรวจพบทหารกัมพูชาลักลอบก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่พิพาท โดยเฉพาะการขุดคูระยะทาง 650 เมตร จากต้นสัตบรรณถึงสามแยกลาว เพื่อสร้างจุดตั้งกำลัง

การกระทำนี้เป็นการละเมิด MOU 2543 เป็นครั้งที่ 2 เนื่องจากทหารกัมพูชาเคยเข้ามาขุดและมีการเจรจาให้ถอนกำลังออกไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่กลับมาละเมิดอีกครั้ง เมื่อทหารไทยเข้าไปเจรจาให้ออกจากพื้นที่ ฝ่ายกัมพูชากลับยิงสวนกลับมา จนเกิดการปะทะกันเป็นระยะเวลาประมาณ 10 นาที ก่อนจะยุติลงหลังการเจรจาของผู้บัญชาการระดับสูงของทั้งสองฝ่าย

เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ทหารกัมพูชาชื่อ สวน โรน (Suan Roan) อายุ 48 ปี ยศสิบเอก เสียชีวิต ขณะที่ทหารไทยปลอดภัยทุกคน

คลื่นกระแทกหลังเหตุปะทะ 29 พฤษภาคม

วันรุ่งขึ้นหลังเหตุปะทะ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 เกิดกระแสต่อต้านสินค้าไทยในโซเชียลมีเดียของกัมพูชา และมีการปลุกกระแสรักชาติให้ประชาชนกัมพูชางดซื้อสินค้าไทยทุกชนิด เพื่อเป็นการตอบโต้ความสูญเสียที่เกิดขึ้น ฝ่ายกัมพูชาได้ประกาศเพิ่มกำลังทหารและยุทโธปกรณ์บริเวณชายแดน เพื่อเสริมความมั่นคงในพื้นที่

อย่างไรก็ตาม ผู้นำทหารไทยและกัมพูชาได้พบหารือที่จุดผ่านแดนในวันเดียวกันเพื่อลดความตึงเครียดและหาทางออกร่วมกัน 

การทูตระดับสูงเข้าแทรกแซง 30 พฤษภาคม

เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย ได้พบหารือกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชาในญี่ปุ่น โดยยืนยันการใช้กลไกความร่วมมือเพื่อลดความตึงเครียด การเจรจาระดับรัฐมนตรีนี้เป็นจุดสำคัญที่ช่วยป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลามเป็นวิกฤติทางการทูตที่ใหญ่ขึ้น

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าได้คุยกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชาแล้ว และได้รับทราบว่าจะมีข้อตกลงกัน

กลไกแก้ไขปัญหา การประชุม JBC วันที่ 1 มิถุนายน

เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2568 กระทรวงการต่างประเทศไทยได้เรียกประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Boundary Committee – JBC) เพื่อหาทางออกและป้องกันปัญหาลุกลาม การประชุมครั้งนี้มีความสำคัญเนื่องจากเป็นกลไกทางการทูตที่ทั้งสองประเทศใช้ในการแก้ไขปัญหาชายแดนมาอย่างต่อเนื่อง

กองทัพบกออกหนังสือแถลงการณ์ผลการเจรจาระหว่าง ผบ.ทบ.ไทย – ผบ.ทบ.กัมพูชา ยึดหลัก 4 ข้อในการแก้ไขปัญหา โดยทั้งสองฝ่ายตกลงถอนกำลังออกจากพื้นที่ ผลจากการเจรจาทำให้สถานการณ์เริ่มคลี่คลายลงอย่างเป็นรูปธรรม

ความมั่นคงในช่วงวิกฤติ การยืนยันสถานะด่านชายแดน

ท่ามกลางข่าวลือเรื่องการปิดด่านชายแดน แม้ฝ่ายความมั่นคงของไทยได้เตรียมแผนปิดด่านตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งจุดผ่านแดนถาวร 6 แห่ง และจุดผ่อนปรน 10 แห่ง เพื่อป้องกันการกระทบกระทั่งของประชาชนทั้งสองฝ่าย แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและโฆษกกองทัพบกได้ยืนยันว่า ด่านชายแดนทุกแห่งยังเปิดทำการตามปกติ ไม่มีการปิดด่านถาวรหรือจุดผ่อนปรน

การยืนยันนี้แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของฝ่ายไทยในการควบคุมสถานการณ์และการรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับกัมพูชา แม้จะมีความตึงเครียดทางการเมืองเกิดขึ้น

จากปราสาทตาเมือนธม ความเชื่อมโยงของปัญหา

สถานการณ์ที่ช่องบกไม่ได้เกิดขึ้นโดยลำพัง แต่เป็นส่วนหนึ่งของบรรยากาศที่ร้อนแรงมาตั้งแต่เหตุการณ์ที่ปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ เมื่อกลุ่มทหารและประชาชนกัมพูชาขึ้นไปร้องเพลงชาติปลุกใจบนปราสาทซึ่งอยู่ในเขตแดนไทย

รวมถึงเหตุการณ์ไฟไหม้ศาลาตรีมุข เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2568 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์มิตรภาพของ 3 ประเทศ ที่สร้างขึ้นโดยทหารไทย ลาว และกัมพูชา ร่วมกันเมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว เหตุการณ์เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความต่อเนื่องของปัญหาและความจำเป็นในการหาทางออกที่ยั่งยืน

สถานการณ์ปัจจุบันและแนวโน้มอนาคต

จากไทม์ไลน์ที่ผ่านมา สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชายังคงตึงเครียดหลังเหตุปะทะที่ช่องบก แต่ทั้งสองฝ่ายได้แสดงความมุ่งมั่นในการใช้กลไกความร่วมมือและการเจรจาเพื่อป้องกันปัญหาลุกลาม

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่ช่องบกเป็นเตือนสติให้เห็นว่าแม้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศจะดี แต่สถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนยังมีความเปราะบางและพร้อมที่จะปะทุได้ทุกเมื่อ การแก้ไขปัญหาต้องอาศัยความอดทนและการเจรจาอย่างต่อเนื่องผ่านกลไกทางการทูต พร้อมกับการเร่งดำเนินการปักปันเขตแดนให้แล้วเสร็จ เพื่อป้องกันปัญหาที่คล้ายคลึงกันในอนาคต

ที่มาข้อมูล : TNN เรียบเรียง

ที่มารูปภาพ : TNN

บรรณาธิการออนไลน์