“ล็อกตั้งแต่ต้นทาง” บทเรียนคดีปลอมประกาศประมูล จ.กาญจนบุรี

“ล็อกตั้งแต่ต้นทาง” บทเรียนคดีปลอมประกาศประมูล จ.กาญจนบุรี

โครงการภาครัฐคือเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาประเทศ ตั้งแต่ถนนหนทาง โรงพยาบาล โรงเรียน ไปจนถึงสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ทุกคนควรเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม แต่หลายครั้ง ความฝันของประชาชนกลับไม่เคยเป็นจริง เพราะโครงการที่ควรจะดีตั้งแต่ต้นทาง กลับเต็มไปด้วยรอยรั่วที่มองไม่เห็น

เบื้องหลังความล่าช้า งบบานปลาย และคุณภาพต่ำของโครงการจำนวนมาก อาจไม่ได้เกิดจากข้อผิดพลาดในการบริหารจัดการเพียงอย่างเดียว แต่คือโครงสร้างที่เอื้อให้เกิดการทุจริตอย่างเป็นระบบ — ตั้งแต่วันแรกที่โครงการยังไม่ออกจากห้องประชุม

แล้วโครงสร้างนี้ทำงานอย่างไร ใครได้ประโยชน์ และใครคือคนเสียโอกาส? ติดตามบทสัมภาษณ์เชิงลึกกับนายสิทธิพร ขันธพร พนักงานไต่สวนระดับกลาง สำนักงาน ป.ป.ช. จังหวัดกาญจนบุรี ผู้คลุกคลีอยู่กับคดีทุจริตในภาครัฐมาอย่างต่อเนื่องหลายปี และเคยรับผิดชอบสำนวนสำคัญอย่างคดีของอดีตเจ้าหน้าที่ธุรการ เทศบาลเมืองกาญจนบุรี

สิ่งที่เขาเล่าให้ฟัง ไม่เพียงชี้ให้เห็นความซับซ้อนของการโกงที่เกิดขึ้นในแต่ละขั้นตอนเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในระดับกระดาษแผ่นเดียว อาจนำไปสู่ความเสียหายของงบประมาณรัฐนับล้านบาท และกระทบกับประชาชนทั้งเมืองได้อย่างไร

“ล็อกสเปก” ก่อนเปิดประมูล

นายสิทธิพร ขันธพร พนักงานไต่สวนระดับกลาง สำนักงาน ป.ป.ช. จังหวัดกาญจนบุรี เล่าให้ฟังว่า ปัญหาใหญ่ที่สุดของระบบจัดซื้อจัดจ้าง คือ “การโกงที่เริ่มตั้งแต่ยังไม่ซื้อ” กล่าวคือ มีการกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของสินค้า หรือสเปกโครงการให้ตรงกับผู้รับเหมารายใดรายหนึ่งโดยเฉพาะ เพื่อให้เจ้าอื่นหมดสิทธิ์เสนอราคา

การล็อกสเปกอาจมาในรูปแบบการระบุวัสดุที่หายากในท้องตลาด การตั้งราคากลางแบบผิดปกติ หรือการระบุคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมประมูลให้ตรงกับคุณลักษณะเฉพาะของบริษัทเดียว ทำให้แม้จะมีการเปิดประมูลตามขั้นตอน แต่ความจริงแล้วเป็นการจำกัดการแข่งขันทางอ้อม



ในบางพื้นที่ มีการกีดกันไม่ให้ผู้สนใจรายอื่นซื้อซองประมูล หรือแม้แต่ส่งเจ้าหน้าที่ปลอมตัวเข้าร่วมยื่นซองทดลองเพื่อตรวจสอบกระบวนการ ก็กลับถูกกันออกไม่ให้เข้าร่วมแข่งขัน บางครั้งเหตุผลก็ง่ายเพียงแค่ “ซื้อซองไม่ทัน” หรือ “คุณสมบัติไม่ครบ” ทั้งที่เป็นเงื่อนไขที่ออกแบบมาอย่างจงใจ



สรุปข่าว

คดีทุจริตประมูลในกาญจนบุรีเผยพฤติกรรมปลอมประกาศจัดซื้อ ปิดกั้นไม่ให้คู่แข่งรับรู้ข้อมูล เปิดทางผู้รับเหมารายเดียวเข้าถึงประมูล ส่อเอื้อฮั้ว ศาลตัดสินมีความผิดตามมาตรา 157 สะท้อนช่องโหว่ในระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ

โครงการภาครัฐคือเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาประเทศ ตั้งแต่ถนนหนทาง โรงพยาบาล โรงเรียน ไปจนถึงสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ทุกคนควรเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม แต่หลายครั้ง ความฝันของประชาชนกลับไม่เคยเป็นจริง เพราะโครงการที่ควรจะดีตั้งแต่ต้นทาง กลับเต็มไปด้วยรอยรั่วที่มองไม่เห็น

เบื้องหลังความล่าช้า งบบานปลาย และคุณภาพต่ำของโครงการจำนวนมาก อาจไม่ได้เกิดจากข้อผิดพลาดในการบริหารจัดการเพียงอย่างเดียว แต่คือโครงสร้างที่เอื้อให้เกิดการทุจริตอย่างเป็นระบบ — ตั้งแต่วันแรกที่โครงการยังไม่ออกจากห้องประชุม

แล้วโครงสร้างนี้ทำงานอย่างไร ใครได้ประโยชน์ และใครคือคนเสียโอกาส? ติดตามบทสัมภาษณ์เชิงลึกกับนายสิทธิพร ขันธพร พนักงานไต่สวนระดับกลาง สำนักงาน ป.ป.ช. จังหวัดกาญจนบุรี ผู้คลุกคลีอยู่กับคดีทุจริตในภาครัฐมาอย่างต่อเนื่องหลายปี และเคยรับผิดชอบสำนวนสำคัญอย่างคดีของอดีตเจ้าหน้าที่ธุรการ เทศบาลเมืองกาญจนบุรี

สิ่งที่เขาเล่าให้ฟัง ไม่เพียงชี้ให้เห็นความซับซ้อนของการโกงที่เกิดขึ้นในแต่ละขั้นตอนเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในระดับกระดาษแผ่นเดียว อาจนำไปสู่ความเสียหายของงบประมาณรัฐนับล้านบาท และกระทบกับประชาชนทั้งเมืองได้อย่างไร

“ล็อกสเปก” ก่อนเปิดประมูล

นายสิทธิพร ขันธพร พนักงานไต่สวนระดับกลาง สำนักงาน ป.ป.ช. จังหวัดกาญจนบุรี เล่าให้ฟังว่า ปัญหาใหญ่ที่สุดของระบบจัดซื้อจัดจ้าง คือ “การโกงที่เริ่มตั้งแต่ยังไม่ซื้อ” กล่าวคือ มีการกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของสินค้า หรือสเปกโครงการให้ตรงกับผู้รับเหมารายใดรายหนึ่งโดยเฉพาะ เพื่อให้เจ้าอื่นหมดสิทธิ์เสนอราคา

การล็อกสเปกอาจมาในรูปแบบการระบุวัสดุที่หายากในท้องตลาด การตั้งราคากลางแบบผิดปกติ หรือการระบุคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมประมูลให้ตรงกับคุณลักษณะเฉพาะของบริษัทเดียว ทำให้แม้จะมีการเปิดประมูลตามขั้นตอน แต่ความจริงแล้วเป็นการจำกัดการแข่งขันทางอ้อม



ในบางพื้นที่ มีการกีดกันไม่ให้ผู้สนใจรายอื่นซื้อซองประมูล หรือแม้แต่ส่งเจ้าหน้าที่ปลอมตัวเข้าร่วมยื่นซองทดลองเพื่อตรวจสอบกระบวนการ ก็กลับถูกกันออกไม่ให้เข้าร่วมแข่งขัน บางครั้งเหตุผลก็ง่ายเพียงแค่ “ซื้อซองไม่ทัน” หรือ “คุณสมบัติไม่ครบ” ทั้งที่เป็นเงื่อนไขที่ออกแบบมาอย่างจงใจ



เมื่อประกาศ “ไม่ถึงมือ” เพราะตั้งใจไม่ให้ถึง ?

หนึ่งในคดีตัวอย่างที่ ป.ป.ช. ยกขึ้นมาดำเนินการ คือกรณีของอดีตเจ้าหน้าที่ธุรการ เทศบาลเมืองกาญจนบุรี ผู้มีหน้าที่จัดส่งเอกสารประกาศประกวดราคาของโครงการก่อสร้างทางระบายน้ำถนนแสงชูโต ไปยังหน่วยงานหรือสื่อที่กฎหมายกำหนด เช่น สำนักงานกลางจัดซื้อจัดจ้าง หรือหน่วยงานไปรษณีย์ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถรับรู้และยื่นประมูลแข่งขันราคาได้อย่างเป็นธรรม

แต่ข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบพบคือ ประกาศดังกล่าวไม่เคยถูกส่งออกไปเผยแพร่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ส่งผลให้การประมูลขาดความโปร่งใส และกลุ่มผู้รับเหมาเข้าถึงข้อมูลได้เพียงบางกลุ่มเท่านั้น



จุดเริ่มต้นของการเปิดโปง – เมื่อ สตง. เริ่มตั้งคำถาม

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการตรวจพบพฤติการณ์ปลอมแปลงเอกสาร โดยอดีตเจ้าหน้าที่รายนี้ได้จัดทำเอกสารเท็จ ระบุว่าได้นำส่งประกาศไปที่ไปรษณีย์เรียบร้อยแล้ว พร้อมแนบหลักฐานที่มีตราประทับไปรษณีย์ปลอม และปลอมลายมือชื่อเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์เข้าไปในเอกสาร เพื่อให้ดูเหมือนเป็นการส่งประกาศจริงตามขั้นตอน ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่เคยมีการนำส่งเอกสารใดเกิดขึ้นเลย

เมื่อสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินประสานไปยังไปรษณีย์ในพื้นที่ กลับได้รับการยืนยันว่า ไม่มีการรับเอกสารฝากส่งจากเทศบาลในช่วงเวลาดังกล่าว และเมื่อเปรียบเทียบกับบันทึกข้อมูลต้นฉบับ ก็ไม่พบรายการใดตรงกันกับเอกสารที่แนบมาในสำนวน อีกทั้งตราประทับที่ใช้ยังไม่ตรงกับรูปแบบที่จดทะเบียนไว้กับระบบราชการ

พฤติกรรมดังกล่าวจึงเข้าข่ายเป็นการปลอมแปลงเอกสารราชการเพื่อปกปิดการไม่ปฏิบัติหน้าที่ และเอื้อประโยชน์ให้กับผู้รับเหมาบางราย โดยปิดกั้นไม่ให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ส่งผลให้กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างถูกบิดเบือน และเปิดช่องให้เกิดการฮั้วประมูลในท้ายที่สุด



จากปลอมตราไปรษณีย์ สู่คำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริต


หลังจากผู้ว่าราชการจังหวัดได้รับรายงานจาก สตง. จึงส่งต่อเรื่องให้สำนักงาน ป.ป.ช. ดำเนินการตรวจสอบ พบว่าพฤติกรรมของอดีตเจ้าหน้าที่ธุรการ เข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 (ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ) และ พ.ร.บ.การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ มาตรา 12

แม้อัยการจะเห็นว่าพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอ แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นต่าง และใช้สิทธิดำเนินคดีเอง โดยยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตภาค 7 ซึ่งศาลมีคำพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดจริง และลงโทษตามกฎหมาย

ท้ายที่สุด ศาลมีคำพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ซึ่งตอกย้ำให้เห็นว่า แม้การปลอมแปลงเพียงเล็กน้อยในขั้นตอนต้นทาง ก็สามารถทำลายระบบราชการ และทำลายความไว้วางใจของประชาชนได้ในระดับโครงสร้าง

“ร้องเรียนเร็ว = ตรวจสอบได้” ข้อมูลของประชาชนคือพลัง

นายสิทธิพร กล่าวย้ำว่า การไต่สวนและตรวจสอบในลักษณะนี้จะเป็นไปได้ยาก หากไม่มีข้อมูลเบื้องต้นที่ชัดเจนจากประชาชน ไม่ว่าจะเป็นชื่อโครงการ วันเวลาที่เกิดเหตุ หรือแม้กระทั่งเอกสารที่บ่งชี้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ยิ่งข้อมูลครบเท่าไร กระบวนการตรวจสอบยิ่งทำได้เร็ว และมีโอกาสเอาผิดได้สูงขึ้น

แต่หากปล่อยให้เวลาผ่านไปนาน โครงการดำเนินไปจนแล้วเสร็จ หรือไม่มีเอกสารประกอบ จะทำให้การรวบรวมพยานหลักฐานเป็นไปอย่างลำบาก บางครั้งจนอาจไม่สามารถดำเนินคดีได้

“ถ้าไม่มีคนกล้าพูด ระบบก็ไม่เปลี่ยน”

คดีของอดีตเจ้าหน้าที่ธุรการ ไม่ใช่เพียงการจับผิดคนทำผิดรายหนึ่ง แต่คือภาพสะท้อนของระบบจัดซื้อจัดจ้างที่เต็มไปด้วยช่องว่างให้บิดเบือน ตั้งแต่การกำหนดเงื่อนไขที่อาจเอื้อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไปจนถึงขั้นตอนการประกาศที่ควรเปิดเผยต่อสาธารณะ กลับถูกซุกซ่อนไว้เพียงในวงจำกัด

เมื่อกระบวนการเหล่านี้ถูกปล่อยให้ควบคุมได้โดยคนไม่กี่คน โครงการที่ควรโปร่งใสจึงกลายเป็นสนามของการล็อกผล และประชาชน—ในฐานะเจ้าของภาษี—กลับไม่เคยรู้แม้แต่ว่ามีการประมูลเกิดขึ้น

ถึงเวลาออกแบบใหม่ – ระบบจัดซื้อจัดจ้างที่ตรวจสอบได้จริง

คำถามที่สังคมไทยต้องช่วยกันตอบ คือ เราจะปล่อยให้ระบบจัดซื้อจัดจ้างอยู่ภายใต้อิทธิพลของคนไม่กี่คนอีกนานแค่ไหน การปรับปรุงระบบไม่ใช่แค่การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย แต่ต้องเริ่มจาก “เจตจำนง” ของหน่วยงานรัฐทุกระดับ ว่าจะไม่ยอมให้ช่องโหว่เหล่านี้ถูกใช้เพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มอีกต่อไป

และที่สำคัญที่สุด คือการเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้ตรวจสอบการใช้เงินภาษีของตนเองอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ในนาม แต่ต้องมีผลในทางปฏิบัติ

เพราะหากไม่มีการทุจริต ทุกบาทของภาษีจะถูกใช้เพื่อประโยชน์ของประชาชน โรงเรียนจะได้อุปกรณ์ที่ดี ถนนจะไม่พังซ้ำซาก และอนาคตของประเทศจะไม่ถูกซื้อขายใต้โต๊ะอีกต่อไป

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : TNN

บรรณาธิการออนไลน์

แท็กบทความ

ทุจริตประมูล
ล็อกสเปก
ปลอมเอกสาร
ฮั้วประมูลป.ป.ช.สตง.
ระบบจัดซื้อ
ประกาศจัดซื้อ
คดีโกงรัฐ
งบประมาณแผ่นดิน