
ในขณะที่โลกเกิดความขัดแย้ง สงครามมากมาย ทั้งสงครามที่มีการสู้รบ ทางการทหาร และสงครามในเชิงเศรษฐกิจ และการค้า ไปถึงการมองว่าระเบียบโลกเปลี่ยนไปแล้ว การร่วมมือ หรือองค์กรระหว่างประเทศไม่สามารถเป็นตัวช่วยที่ดีแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น ในการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลก ของกระทรวงการต่างประเทศ ในเวทีการพูดคุยประเด็นบริบทโลกใหม่ ท่ามกลาง Geopolitics นั้น ท่านทูตไทยจากหลายประเทศ หลากหลายมุมโลกเห็นตรงกันว่า ประเทศไทยนั้นต้องไม่เลือกข้าง และต้องดำเนินนโยบายการต่างประเทศแบบคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติมากที่สุด
ในเวทีนี้ กาญจนา ภัทรโชค เอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ ได้เปิดประเด็นถึงสถานการณ์ของยุโรปในปัจจุบัน โดยชี้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับยุโรปที่เคยเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกัน ได้เปลี่ยนไปแล้ว
“ยุโรปเองก็หาพันธมิตรใหม่ ๆ แนวคิดของผู้บริหาร EU ก็เปลี่ยนไปมาก โดยเฉพาะยิ่งเพิ่งมีการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว และทรัมป์เองก็เข้ามามีบทบาท ดังนั้น EU มีความเชื่อว่า ต้องหาพันธมิตรใหม่ และอาเซียนก็เป็นหนึ่งในนั้น”
ทูตไทยประจำกรุงบรัสเซลส์ชี้ว่า ปัจจุบัน EU ก็มีการเจรจาการตกลงทางการค้าเสรีกับไทย และประเทศในอาเซียนหลายประเทศ เพราะเขามองว่าอาเซียนเป็นภูมิภาคที่ดูมีความมั่นคง เติบโตเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ ถัดมาก็เป็นประเทศแถบเอเชียกลาง และประเทศในแถบอ่าวเปอร์เซีย ซึ่งก็มาจากเหตุผลเรื่องของเศรษฐกิจ และพลังงาน
“ไทยเองก็ต้องใช้ประโยชน์จากการที่เขาต้องการพันธมิตรใหม่” กาญจนาชี้ โดยย้ำว่า การเจรจา FTA จะช่วยให้เราได้ประโยชน์อย่างมาก โดยยกตัวอย่างเวียดนามที่มีการลงทุนจาก EU มากขึ้น หลังมี FTA ระหว่างกัน
ทูตไทยจากยุโรปยังชี้ว่า ยุโรปยังเป็นภูมิภาคที่มีความสำคัญมาก แม้ปัจจุบันคนอาจจะมองว่ายุโรปมีปัญหามากทั้งเรื่องผู้อพยพ หรือมีกระแสขวาจัด แต่กาญจนาก็มองว่า ยุโรปนั้นแตกต่างจากสหรัฐฯ
“สิ่งที่เห็นในยุโรปที่อาจจะต่างจากสหรัฐฯ ก็คือว่าความเข้มแข็งของภาคประชาชน อาจจะเพราะประเทศเล็กกว่า และยังมีวัฒนธรรมการทำงานที่ประชาธิปไตยอยู่ในทุกภาคส่วน ลงลึกไปถึงรากฐาน ถึงจะขวา แต่จะไม่ขวาจนเกินไป ทั้งยุโรปมีเรื่องนวัตกรรม เทคโนโลยี รวมถึงด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเราต้องดูว่าผลประโยชน์ของเราที่ได้จากเขาคืออะไร”
“EU เป็นพันธมิตรที่เข้มแข็งที่เราควรจะมีการเสริมสร้างปฏิสัมพันธ์ให้มากขึ้น โดยเฉพาะใช้จุดแข็งจากการที่ไทยอยู่ในอาเซียน ดูว่าบทบาทอะไรที่เข้มแข็งของไทยในอาเซียนที่เราจะเอาไปเป็นจุดสร้างยุทธศาสตร์ และคุณค่าของเรา ซึ่งไม่ได้มาแค่จากไทย แต่เป็นจากไทยในภูมิภาค แล้วก็จุดแข็งที่มาจากสังคมของเราคือเรื่องความมั่นคงด้านอาหารและเกษตรกรรมต่าง ๆ” กาญจนาสรุป
ในขณะที่ทางยุโรปตะวันออกเอง ที่มีความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนอยู่นั้น ศศิวัฒน์ ว่องสินสวัสดิ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงมอสโก ชี้ว่าปัจจุบันคนมักพูดถึงแค่สหรัฐฯ และจีน แต่จริง ๆ ในบริบทโลก ไม่ได้มีแค่นั้น
“มันคือสองค่ายตะวันตก และตะวันออก ฝั่งตะวันตก รัฐบาลสหรัฐฯ อาจจะมีวิธีที่ทำให้ EU หรือยุโรปตะวันตกห่างออกไป แต่ยุโรปกับสหรัฐฯ เป็นอะไรที่แยกไม่ออก และทรัมป์เองก็คาดการณ์ไม่ได้ แต่ในความสัมพันธ์ของสหรัฐฯ ยังมี EU และ NATO แนบแน่นเสมอ”
“กลุ่มที่น่าจับตาคือ Global South ซึ่งเราต้องเปลี่ยนมุมมองว่าไม่ใช่ประเทศกำลังพัฒนา แต่เป็นกลุ่มประเทศที่มีความคิดแตกต่างไปจากตะวันตกในหลาย ๆ เรื่องเท่านั้น”
และในสถานการณ์โลกท่ามกลาง Geopolitics นี้ ท่านทูตย้ำว่า ประเทศไทย หรือกระทรวงการต่างประเทศ คำนึงถึงประโยชน์แห่งชาติเป็นหลัก
“จะทำอย่างไรให้บรรลุผลประโยชน์แห่งชาติ ในสถานการณ์ปัจจุบัน เราก็จะพูดว่า เราต้องรักษาสมดุล ซึ่งการรักษาสมดุลไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สิ่งที่ยากกว่านั้นคือ หากเรารักษาไม่ได้ แล้วต้องเลือกข้าง นั่นจะเป็นการตัดสินใจที่ยาก ปัจจุบันไทยกำลังถูกบีบให้เลือกข้าง เพียงแต่เขาอาจจะไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ ซึ่งสิ่งนี้ก็เคยเกิดขึ้นแล้ว แต่ปัจจุบันนี้ออกมาในรูปแบบอื่น เช่น เขามาตะล่อมให้ต้องเลือกข้างระหว่างสงครามรัสเซีย-ยูเครน แต่ไทยก็ไม่ได้ประกาศแทรกแซงรัสเซีย ไม่ใช่เพราะเรารักรัสเซียมากกว่าอเมริกา เรารักทุกคนที่เป็นคุณกับประโยชน์แห่งชาติของไทย และเราไม่เชื่อในมาตรการแทรกแซง เราไม่แทรกแซงรายประเทศ เราจะแทรกแซงหากเป็นในกรอบอย่าง UN ที่เป็นพฤติกรรมบีบ ขอให้เลือก”
ทูตประจำมอสโกชี้ว่า การที่เราจะรักษาสมดุลได้นั้น เราต้องทำให้คนอื่นเกรงใจเราในระดับหนึ่ง “เขาจะเกรงใจเราก็ต่อเมื่อเรามีคุณค่าพอให้เขาเกรงใจ มันก็จะวนกลับมาว่า ถ้าจะทำให้เขาเกรงใจ เราก็ต้องมีจุดยืน และเลือกใช้หลักการ กฎหมายระหว่างประเทศที่จะตอบโจทย์ประเทศไทย”
สรุปข่าว
ในขณะที่โลกเกิดความขัดแย้ง สงครามมากมาย ทั้งสงครามที่มีการสู้รบ ทางการทหาร และสงครามในเชิงเศรษฐกิจ และการค้า ไปถึงการมองว่าระเบียบโลกเปลี่ยนไปแล้ว การร่วมมือ หรือองค์กรระหว่างประเทศไม่สามารถเป็นตัวช่วยที่ดีแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น ในการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลก ของกระทรวงการต่างประเทศ ในเวทีการพูดคุยประเด็นบริบทโลกใหม่ ท่ามกลาง Geopolitics นั้น ท่านทูตไทยจากหลายประเทศ หลากหลายมุมโลกเห็นตรงกันว่า ประเทศไทยนั้นต้องไม่เลือกข้าง และต้องดำเนินนโยบายการต่างประเทศแบบคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติมากที่สุด
ในเวทีนี้ กาญจนา ภัทรโชค เอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ ได้เปิดประเด็นถึงสถานการณ์ของยุโรปในปัจจุบัน โดยชี้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับยุโรปที่เคยเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกัน ได้เปลี่ยนไปแล้ว
“ยุโรปเองก็หาพันธมิตรใหม่ ๆ แนวคิดของผู้บริหาร EU ก็เปลี่ยนไปมาก โดยเฉพาะยิ่งเพิ่งมีการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว และทรัมป์เองก็เข้ามามีบทบาท ดังนั้น EU มีความเชื่อว่า ต้องหาพันธมิตรใหม่ และอาเซียนก็เป็นหนึ่งในนั้น”
ทูตไทยประจำกรุงบรัสเซลส์ชี้ว่า ปัจจุบัน EU ก็มีการเจรจาการตกลงทางการค้าเสรีกับไทย และประเทศในอาเซียนหลายประเทศ เพราะเขามองว่าอาเซียนเป็นภูมิภาคที่ดูมีความมั่นคง เติบโตเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ ถัดมาก็เป็นประเทศแถบเอเชียกลาง และประเทศในแถบอ่าวเปอร์เซีย ซึ่งก็มาจากเหตุผลเรื่องของเศรษฐกิจ และพลังงาน
“ไทยเองก็ต้องใช้ประโยชน์จากการที่เขาต้องการพันธมิตรใหม่” กาญจนาชี้ โดยย้ำว่า การเจรจา FTA จะช่วยให้เราได้ประโยชน์อย่างมาก โดยยกตัวอย่างเวียดนามที่มีการลงทุนจาก EU มากขึ้น หลังมี FTA ระหว่างกัน
ทูตไทยจากยุโรปยังชี้ว่า ยุโรปยังเป็นภูมิภาคที่มีความสำคัญมาก แม้ปัจจุบันคนอาจจะมองว่ายุโรปมีปัญหามากทั้งเรื่องผู้อพยพ หรือมีกระแสขวาจัด แต่กาญจนาก็มองว่า ยุโรปนั้นแตกต่างจากสหรัฐฯ
“สิ่งที่เห็นในยุโรปที่อาจจะต่างจากสหรัฐฯ ก็คือว่าความเข้มแข็งของภาคประชาชน อาจจะเพราะประเทศเล็กกว่า และยังมีวัฒนธรรมการทำงานที่ประชาธิปไตยอยู่ในทุกภาคส่วน ลงลึกไปถึงรากฐาน ถึงจะขวา แต่จะไม่ขวาจนเกินไป ทั้งยุโรปมีเรื่องนวัตกรรม เทคโนโลยี รวมถึงด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเราต้องดูว่าผลประโยชน์ของเราที่ได้จากเขาคืออะไร”
“EU เป็นพันธมิตรที่เข้มแข็งที่เราควรจะมีการเสริมสร้างปฏิสัมพันธ์ให้มากขึ้น โดยเฉพาะใช้จุดแข็งจากการที่ไทยอยู่ในอาเซียน ดูว่าบทบาทอะไรที่เข้มแข็งของไทยในอาเซียนที่เราจะเอาไปเป็นจุดสร้างยุทธศาสตร์ และคุณค่าของเรา ซึ่งไม่ได้มาแค่จากไทย แต่เป็นจากไทยในภูมิภาค แล้วก็จุดแข็งที่มาจากสังคมของเราคือเรื่องความมั่นคงด้านอาหารและเกษตรกรรมต่าง ๆ” กาญจนาสรุป
ในขณะที่ทางยุโรปตะวันออกเอง ที่มีความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนอยู่นั้น ศศิวัฒน์ ว่องสินสวัสดิ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงมอสโก ชี้ว่าปัจจุบันคนมักพูดถึงแค่สหรัฐฯ และจีน แต่จริง ๆ ในบริบทโลก ไม่ได้มีแค่นั้น
“มันคือสองค่ายตะวันตก และตะวันออก ฝั่งตะวันตก รัฐบาลสหรัฐฯ อาจจะมีวิธีที่ทำให้ EU หรือยุโรปตะวันตกห่างออกไป แต่ยุโรปกับสหรัฐฯ เป็นอะไรที่แยกไม่ออก และทรัมป์เองก็คาดการณ์ไม่ได้ แต่ในความสัมพันธ์ของสหรัฐฯ ยังมี EU และ NATO แนบแน่นเสมอ”
“กลุ่มที่น่าจับตาคือ Global South ซึ่งเราต้องเปลี่ยนมุมมองว่าไม่ใช่ประเทศกำลังพัฒนา แต่เป็นกลุ่มประเทศที่มีความคิดแตกต่างไปจากตะวันตกในหลาย ๆ เรื่องเท่านั้น”
และในสถานการณ์โลกท่ามกลาง Geopolitics นี้ ท่านทูตย้ำว่า ประเทศไทย หรือกระทรวงการต่างประเทศ คำนึงถึงประโยชน์แห่งชาติเป็นหลัก
“จะทำอย่างไรให้บรรลุผลประโยชน์แห่งชาติ ในสถานการณ์ปัจจุบัน เราก็จะพูดว่า เราต้องรักษาสมดุล ซึ่งการรักษาสมดุลไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สิ่งที่ยากกว่านั้นคือ หากเรารักษาไม่ได้ แล้วต้องเลือกข้าง นั่นจะเป็นการตัดสินใจที่ยาก ปัจจุบันไทยกำลังถูกบีบให้เลือกข้าง เพียงแต่เขาอาจจะไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ ซึ่งสิ่งนี้ก็เคยเกิดขึ้นแล้ว แต่ปัจจุบันนี้ออกมาในรูปแบบอื่น เช่น เขามาตะล่อมให้ต้องเลือกข้างระหว่างสงครามรัสเซีย-ยูเครน แต่ไทยก็ไม่ได้ประกาศแทรกแซงรัสเซีย ไม่ใช่เพราะเรารักรัสเซียมากกว่าอเมริกา เรารักทุกคนที่เป็นคุณกับประโยชน์แห่งชาติของไทย และเราไม่เชื่อในมาตรการแทรกแซง เราไม่แทรกแซงรายประเทศ เราจะแทรกแซงหากเป็นในกรอบอย่าง UN ที่เป็นพฤติกรรมบีบ ขอให้เลือก”
ทูตประจำมอสโกชี้ว่า การที่เราจะรักษาสมดุลได้นั้น เราต้องทำให้คนอื่นเกรงใจเราในระดับหนึ่ง “เขาจะเกรงใจเราก็ต่อเมื่อเรามีคุณค่าพอให้เขาเกรงใจ มันก็จะวนกลับมาว่า ถ้าจะทำให้เขาเกรงใจ เราก็ต้องมีจุดยืน และเลือกใช้หลักการ กฎหมายระหว่างประเทศที่จะตอบโจทย์ประเทศไทย”
ขณะที่ทูตที่ประจำอีกมุมโลกอย่าง เชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์กนั้น มองว่าการเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นเรื่องปกติ เพราะโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่การเปลี่ยนแปลงจากสหรัฐฯ ในครั้งนี้ ส่งผลกระทบมาถึงองค์กรระหว่างประเทศที่สำคัญอย่าง UN
“โลกมันเปลี่ยนตลอดเวลา แต่จุดที่ disruption มากคือยูเครน และพอรัฐบาลทรัมป์เข้ามาก็เป็น super disruption อีกในระบบของ UN และระบบของโลกที่ปกติเราต้องยึดกับกติการะเบียบสากล แต่การ disruption ในวันนี้มันถอนรากถอนโคน UN ในการเป็น super stage ของระบบการปกครองของโลก ซึ่งประเทศที่ออกแบบกฎของ UN (สหรัฐฯ) วันนี้หันหลัง 360 องศาให้กับ UN”
“ประเด็นที่ต้องจับตาในความสนใจของ UN ทุกวันนี้มีสองเรื่อง เรื่องแรกคือ ปัญหาเรื่องการเมืองความมั่นคง ซึ่งเป็นเหมือนหลักของ UN อยู่แล้ว ที่ก่อตั้งขึ้นมาเพราะว่าไม่ต้องการให้เกิดสงคราม ซึ่งทุกวันนี้ก็มีเรื่องยูเครน-รัสเซีย และอิสราเอล-ปาเลสไตน์ที่สำคัญที่สุด” ซึ่งสำหรับเชิดชาย เขามองว่าปัญหาเมียนมาที่เป็นเรื่องสำคัญด้วย แต่ปัจจุบันมันถูกลดความสำคัญ จนไม่สามารถเอาไปพูดได้ในสภาความมั่นคง
“ประเด็นที่สองคือ วิกฤตการณ์การเงินของ UN เงินสดในมือของ UN แทบจะต่ำมากที่สุดในรอบ 80 ปีที่ก่อตั้งมา ซึ่งมาจากที่ผมพูดว่าสหรัฐฯ หันหลังให้การทำงานหลาย ๆ เรื่องใน UN เรื่องหนึ่งคือเงิน และความช่วยเหลือ เพราะสหรัฐฯ เป็นผู้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินมากที่สุด เพราะฉะนั้นตอนนี้คือไม่มีเงิน และถ้าไม่มีเงินจะบริหารจัดการอย่างไร”
ทูตผู้แทนประจำ UN ของไทยยกตัวอย่างว่า ตอนนี้ออฟฟิศของคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียและแปซิฟิกที่เป็นหน่วยงานใต้ UN ต้องปิดออฟฟิศลง และพนักงานต้องเวิร์กฟรอมโฮม เพราะไม่มีเงิน ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก เพราะไทยเป็นสำนักงานใหญ่ รวมไปถึงประเด็นการช่วยเหลือมนุษยธรรมตามชายแดนไทย-เมียนมา ที่ปัจจุบันเมื่อไม่มีเงินก็ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้
“อีกเรื่องคือการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ของจีน-สหรัฐ ซึ่งผมไม่ค่อยกังวล การต่างประเทศเราไม่ได้เปลี่ยน ผมไม่ให้ความสำคัญกับการโต้เถียงว่าต้องเลือกข้างระหว่างจีน หรือสหรัฐฯ นโยบายต่างประเทศเชิงปฏิบัติไม่ใช่การเลือกข้าง หลาย ๆ คนพูดถึงเรื่องที่ไทยเป็นคนสร้างสะพาน เป็นมิตรกับทุกประเทศ แต่ผมคิดว่าประเด็นสำคัญที่สุดคือ วันนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่าเราเป็นมิตรกับทุกประเทศไหม แต่อยู่ที่ว่าไทยมีความสามารถในการพูดกับทุกประเทศได้ไหม อันนี้คือเรื่องสำคัญ”
โดยเชิดชายมองว่า สิ่งสำคัญที่ไทยจะพัฒนาในปัจจุบัน คือเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพราะปัจจุบันไทยมีแรงงานไร้ฝีมือมากกว่า และถ้าหากเราขาดทรัพยากรขึ้นมา การต่างประเทศก็จะกระเทือน ซึ่งเขาในฐานะเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ได้เห็นการทำงานของเวียดนาม การผลักดันสรรพกำลัง และกลายเป็นชาติที่ถูกมองเห็น ทำให้เห็นชัดว่าไทยอ่อนแรงกว่าเขา และเราจำเป็นต้องลงทุนในด้านการศึกษา ทรัพยากรบุคคล ที่มันจะกำหนดศักยภาพของเราในการเมืองระหว่างประเทศ
ที่มาข้อมูล : TNN Online
ที่มารูปภาพ : Freepik, กระทรวงการต่างประเทศ