อพยพคนไทย ดูแลผีน้อย เตรียมรับมือภัยพิบัติ ภารกิจคุ้มครองคนไทยในต่างแดนของทูตไทย

อพยพคนไทย ดูแลผีน้อย เตรียมรับมือภัยพิบัติ ภารกิจคุ้มครองคนไทยในต่างแดนของทูตไทย

ถ้าเราเดินทางไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะท่องเที่ยว ไปอาศัย ไปเรียน หรือไปทำงาน หากเกิดเหตุด่วน เหตุร้าย หรือต้องการได้รับความช่วยเหลืออะไร สถานทูต และสถานกงสุลของไทย ที่ประจำอยู่ในประเทศต่างๆ ต่างก็ต้องเป็นผู้ดูและ และคุ้มครอง 

ในการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลก ของกระทรวงการต่างประเทศ ในเวทีการพูดคุยกับสื่อมวลชน ทูตจากสามประเทศ ในแต่ละภูมิภาคของโลก ได้มาเล่าประสบการณ์การดูแลคนไทยในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการอพยพคนไทยในอิสราเอล เมื่อฮามาสบุก, การดูแล และปัญหาผีน้อยไทยในเกาหลีใต้ ไปถึงการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติในลอสแองเจลลิส สหรัฐฯ ซึ่งต่างพื้นที่ การดูแล และสถานการณ์ก็แตกต่างกันไป


ประสบการณ์อพยพคนไทยในอิสราเอล

พรรณนภา จันทรารมย์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงเบิร์น ซึ่งในช่วงปี 2566 นั้นประจำการอยู่ที่อิสราเอล ได้เล่าประสบการณ์ และภารกิจการพาคนไทย 7,900 คนออกจากพื้นที่อันตราย โดยท่านทูตเล่าว่า ในตอนนั้นเป็นทั้งการร่วมมือระหว่างกระทรวงต่างประเทศ และกระทรวงแรงงาน

“สิ่งที่เรากังวลมากที่สุดในการปฏิบัติการ คือความปลอดภัยของพี่น้องชาวไทยว่า เราจะทำยังไงที่จะให้ได้กลับมาที่ไทยได้เร็วที่สุด โชคดีที่ทางรัฐบาลได้ช่วยสนับสนุนในเรื่องของการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในเรื่องของระเบียบราชการ ทำให้เราทำงานได้เร็วขึ้น

ตอนเกิดสถานการณ์นี้คือ ช่วงต้นกำลังคนของสถานทูตมีจำกัดแค่ข้าราชการ 5 คน และมีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นอีกประมาณ 16 คน
แต่เท่านั้นไม่พอ เพราะว่าเรามีคนไทย 25,000 คน เราต้องรู้ว่าใครอยู่ในพื้นที่สีแดง สีเหลือง และสีเขียว และเราต้องอพยพคนในพื้นที่สีแดงก่อน เพราะฉะนั้นกระบวนการในช่วงต้นค่อนข้างยากลำบากนิดนึง แต่ว่าเราก็ต้องมาคุยกัน แบ่งหน้าที่กัน อพยพไปตามความจำเป็นของคนที่อยู่ในพื้นที่นั้น ๆ 

ตอนนั้นทางชายแดนเราไม่สามารถเข้าไปรับเขาได้ หรือไปแล้วแต่ไม่สามารถรับมาได้หมด ตอนหลังก็ใช้วิธีว่า ถ้าใครสามารถเดินทางออกมาได้ ก็ให้เดินทางมาเลยมาที่ศูนย์ เราก็ดูแลต่อให้ในส่วนนั้น”

พรรณนภาเล่าว่า ปัญหาใหญ่ในช่วงนั้น คือการหาเที่ยวบิน โดยใช้เที่ยวบินพาณิชย์  “สําหรับคนที่ออกมาแรกๆ เราก็คิดว่าต้องให้เขากลับก่อน แต่ว่าพอหาไฟลท์ ก็ต้องรอถึง 5-6 วัน และทยอยไปได้ 5-8 คนเท่านั้น แต่กลายเป็นว่าตอนหลังค่อยๆ หาเที่ยวบินได้ กลายเป็นว่าคนที่มาทีหลังได้ขึ้นไปก่อน มันก็ทําให้คนที่ออกมาก่อนรู้สึกว่า ฉันออกมาก่อน แล้วมาจากพื้นที่สีแดงจริงๆ เราก็ต้องมาอธิบายว่า ณ วันนั้นนี่คือเที่ยวบินแรกที่เราหาได้ ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องของการสื่อสาร” ซึ่งภายหลังเมื่อหาเครื่องบินเช่าเหมาลำได้ ทำให้การอพยพเป็นระบบมากขึ้น 

อดีตทูตประจำอิสราเอลเล่าว่า แม้ว่าทางกระทรวงต่างประเทศ และสถานทูตจะมีการทำแผนอพยพไว้ แต่หน้างานจริง บางครั้งไม่สามารถทำตามแผนได้ โดยแผนแรกของสถานทูตคือ การอพยพทางเรือ เพราะสามารถเดินทางได้เยอะ และเร็วกว่า “แต่ผลปรากฏว่า ทางเรือเกิดมีปัญหา เพราะท่าเรืออยู่ใกล้ทางฝั่งเลบานอน ยิงนิดเดียวก็ถึงแล้ว แล้วเรือเองก็หยุดให้บริการ เพราะฉะนั้นแผนที่ทำไว้อาจจะใช้ไม่ได้ แต่ถามว่ามีแผนไหม มีค่ะ มีทุกทางทั้งทางเรือ ทางอากาศ แต่เราต้องเลือกทางที่คิดว่าสะดวกที่สุดและปลอดภัยที่สุดสำหรับคนไทยที่จะเดินทาง” พรรณนภาเล่า 

แม้ในตอนนั้นจะมีการอพยพคนไทย แต่ล่าสุดมีรายงานว่าปัจจุบันมีแรงงานในอิสราเอลเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งทูตพรรณนภาก็แนะนำแรงงานที่เข้าไปว่า ต้องรับสภาพสถานการณ์ และรู้ว่าแม้จะมีรายได้ดี นายจ้างดูแลดี แต่มีความเสี่ยง “เพราะทุกวันนี้ก็ยังมีสงครามและความรุนแรง ยังมีการยิงจรวดเข้ามา 

เพราะฉะนั้นต้องปฏิบัติตนตามที่ทางการบอก เมื่อได้ยินเสียงไซเรน คุณต้องเข้าห้องหลบภัย หรือบางทีคนไทยชอบถ่ายติ๊กต๊อก ลงโซเชียลว่าจรวดมาแล้ว มีรูปสวยงามเป็นเป็นเหมือนพูดดอกไม้ไฟ เราก็พยายามเตือน เพรามีเหตุมาแล้ว ที่ทำตัวเป็นผู้สื่อข่าวแล้วบาดเจ็บ” ดังนั้นต้องปฏิบัติตามทางการ เพื่อควาปลอดภัย ทูตไทยสรุป 

นอกจากอิสราเอลที่มีแรงงานไทยจำนวนมากแล้ว อีกหนึ่งประเทศที่คุ้นเคยว่ามีแรงงานไทยจำนวนมากคือ ‘เกาหลีใต้’ ที่ได้ธานี แสงรัตน์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล มาเล่าประสบการณ์การดูแลคนไทย ซึ่งรวมถึงแรงงานผิดกฎหมาย หรือที่เราเรียกว่า ‘ผีน้อย’ ที่มีจำนวนมากด้วย


คนไทยไม่ว่าจะผิดกฎหมาย หรือถูกกฎหมาย ก็ต้องดูแล

ธานีเริ่มต้นถึงจำนวนแรงงานไทยในเกาหลีใต้ว่าปัจจุบัน มีแรงงานไทยทั้งหมด 2 แสนกว่าคน ทั้งที่ถูก และผิดกฎหมาย ซึ่งที่ผ่านมาเกาหลีใต้ได้ให้ความสำคัญกับการจัดการแรงงานที่ผิดกฎหมาย ทำให้จำนวน แรงงานผิดกฎหมายดลงมาเหลือประมาณ 1.8 แสนคน แต่ถึงอย่างนั้นสถานทูตไทยเองก็มีหน้าที่ในการดูแลทั้งคนไทยที่เข้ามาอย่างถูก และผิดกฎหมาย

ซึ่งทางสถานทูตก็ได้ให้ความช่วยเหลือด้วยการจัดโครงการกงสุลสัญจร ทำหนังสือเดินทาง ที่ถือเป็นโครงการทำพาสปอร์ตในต่างประเทศที่มากทีสุด กว่า 37,000 เล่ม ใน 90 วันให้คนไทยในเกาหลีใต้ และยังมีความร่วมมือในช่วงที่เกาหลีใต้จับแรงงานผิดกฎหมาย และเปิดโครงการให้เดินทางกลับโดยสมัครใจซึ่งทำงานร่วมกับสถานทูต

“เราประชาสัมพันธ์ให้คนไทยช่วงที่เขาอนุญาตให้กลับโดยสมัครใจ ตัวเลขแรงงานผิดกฎหมายก็ลดลง ในขณะเดียวกันแล้วก็ยุทธศาสตร์ของเรา คือลดแรงงานผิดกฎหมาย เพิ่มแรงงานถูกกฎหมายให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้”

ซึ่งในส่วนนี้ เอกอัครราชทูต สถานทูตไทย ณ กรุงโซล เน้นย้ำว่าผู้ที่ต้องการไปทำงานในเกาหลีใต้ต้องสมัครผ่านกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงานเท่านั้น ไม่สามารถเดินทางไปเองเพื่อหางานได้ เนื่องจากมีความเสี่ยงถูกปฏิเสธเข้าเมืองหรือถูกดำเนินคดี ทั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระดับรัฐบาลไทย–เกาหลีใต้ โดยทางการไทยยังเร่งประสานให้เกาหลีใต้รับแรงงานจากบัญชีรายชื่อที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันปัญหาและอำนวยความสะดวกให้แรงงานไทยถูกกฎหมายมากที่สุด

ขณะที่มีความกังวลว่ากระแสผีน้อย หรือคนผิดกฎหมายนั้น มักกระทบกับการเข้าไปท่องเที่ยวของคนอื่นๆ ที่ทำให้ถูกส่งกลับ ติด ตม. แม้ว่าจะมีหลักฐาน ทูตธานีก็ย้ำว่า “สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ของเกาหลีใต้เองก็มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในบางกรณี แต่พยายามจะรับประกันให้ได้มากที่สุด เพราะว่าแอปพลิเคชัน "K-ETA" ที่ใช้ในการขออนุญาตเข้าเมืองนั้น เขาได้หารือกับเราเมื่อปีที่แล้วว่า จะมีการปรับปรุงระบบให้สามารถคัดกรองได้ละเอียดมากยิ่งขึ้น ระบบจะสามารถดึงเอกสารต่าง ๆ มาตรวจสอบล่วงหน้าได้ รวมถึงสามารถสัมภาษณ์ผู้สมัครได้ก่อนที่จะอนุมัติ หากไม่ผ่านการอนุมัติ ก็จะได้ทราบตั้งแต่ก่อนเดินทาง จะได้ไม่ต้องไปถึงสนามบินปลายทางแล้วถูกปฏิเสธการเข้าเมือง ซึ่งจะเสียหายทั้งทรัพย์สินและจิตใจ” 

ทั้งจากกระแสแอนตี้เกาหลีใต้ หรือคนเกาหลีที่มองภาพลักษณ์ไทยว่าเป็นประเทศมีแต่คนผิดกฎหมายนั้น สถานทูตไทยในเกาหลีใต้ก็ได้ส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยผ่านการจัดตั้งสมาคมนวดไทยจิตอาสาแห่งแรกที่เมืองคายอง ซึ่งสะท้อนความนิยมในนวดไทยที่เป็นมรดกโลก นอกจากนี้ยังสนับสนุนกิจกรรมของสมาคมนักเรียนนักศึกษาไทย และอยู่ระหว่างการผลักดันจัดตั้ง “สถาวัฒนธรรมไทย” โดยชุมชนไทยในเกาหลีใต้ คล้ายกับที่มีในแอลเอ ประเทศสหรัฐฯ เพื่อเป็นศูนย์กลางเผยแพร่วัฒนธรรมไทย เช่น นาฏศิลป์ การจัดดอกไม้แบบไทย และกิจกรรมในงานเทศกาลต่าง ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเชิงรุกในการสร้างความเข้าใจอันดีและส่งเสริมเศรษฐกิจวัฒนธรรมไทยในต่างแดน

สรุปข่าว

ในการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลก ของกระทรวงการต่างประเทศ ในเวทีการพูดคุยกับสื่อมวลชน ทูตจากสามประเทศ ในแต่ละภูมิภาคของโลก ได้มาเล่าประสบการณ์การดูแลคนไทยในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งเน้นย้ำว่าเป็นภารกิจของสถานทูต ที่จะดูแลทั้งคนไทยที่พำนัก และไปท่องเที่ยว

ถ้าเราเดินทางไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะท่องเที่ยว ไปอาศัย ไปเรียน หรือไปทำงาน หากเกิดเหตุด่วน เหตุร้าย หรือต้องการได้รับความช่วยเหลืออะไร สถานทูต และสถานกงสุลของไทย ที่ประจำอยู่ในประเทศต่างๆ ต่างก็ต้องเป็นผู้ดูและ และคุ้มครอง 

ในการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลก ของกระทรวงการต่างประเทศ ในเวทีการพูดคุยกับสื่อมวลชน ทูตจากสามประเทศ ในแต่ละภูมิภาคของโลก ได้มาเล่าประสบการณ์การดูแลคนไทยในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการอพยพคนไทยในอิสราเอล เมื่อฮามาสบุก, การดูแล และปัญหาผีน้อยไทยในเกาหลีใต้ ไปถึงการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติในลอสแองเจลลิส สหรัฐฯ ซึ่งต่างพื้นที่ การดูแล และสถานการณ์ก็แตกต่างกันไป


ประสบการณ์อพยพคนไทยในอิสราเอล

พรรณนภา จันทรารมย์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงเบิร์น ซึ่งในช่วงปี 2566 นั้นประจำการอยู่ที่อิสราเอล ได้เล่าประสบการณ์ และภารกิจการพาคนไทย 7,900 คนออกจากพื้นที่อันตราย โดยท่านทูตเล่าว่า ในตอนนั้นเป็นทั้งการร่วมมือระหว่างกระทรวงต่างประเทศ และกระทรวงแรงงาน

“สิ่งที่เรากังวลมากที่สุดในการปฏิบัติการ คือความปลอดภัยของพี่น้องชาวไทยว่า เราจะทำยังไงที่จะให้ได้กลับมาที่ไทยได้เร็วที่สุด โชคดีที่ทางรัฐบาลได้ช่วยสนับสนุนในเรื่องของการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในเรื่องของระเบียบราชการ ทำให้เราทำงานได้เร็วขึ้น

ตอนเกิดสถานการณ์นี้คือ ช่วงต้นกำลังคนของสถานทูตมีจำกัดแค่ข้าราชการ 5 คน และมีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นอีกประมาณ 16 คน
แต่เท่านั้นไม่พอ เพราะว่าเรามีคนไทย 25,000 คน เราต้องรู้ว่าใครอยู่ในพื้นที่สีแดง สีเหลือง และสีเขียว และเราต้องอพยพคนในพื้นที่สีแดงก่อน เพราะฉะนั้นกระบวนการในช่วงต้นค่อนข้างยากลำบากนิดนึง แต่ว่าเราก็ต้องมาคุยกัน แบ่งหน้าที่กัน อพยพไปตามความจำเป็นของคนที่อยู่ในพื้นที่นั้น ๆ 

ตอนนั้นทางชายแดนเราไม่สามารถเข้าไปรับเขาได้ หรือไปแล้วแต่ไม่สามารถรับมาได้หมด ตอนหลังก็ใช้วิธีว่า ถ้าใครสามารถเดินทางออกมาได้ ก็ให้เดินทางมาเลยมาที่ศูนย์ เราก็ดูแลต่อให้ในส่วนนั้น”

พรรณนภาเล่าว่า ปัญหาใหญ่ในช่วงนั้น คือการหาเที่ยวบิน โดยใช้เที่ยวบินพาณิชย์  “สําหรับคนที่ออกมาแรกๆ เราก็คิดว่าต้องให้เขากลับก่อน แต่ว่าพอหาไฟลท์ ก็ต้องรอถึง 5-6 วัน และทยอยไปได้ 5-8 คนเท่านั้น แต่กลายเป็นว่าตอนหลังค่อยๆ หาเที่ยวบินได้ กลายเป็นว่าคนที่มาทีหลังได้ขึ้นไปก่อน มันก็ทําให้คนที่ออกมาก่อนรู้สึกว่า ฉันออกมาก่อน แล้วมาจากพื้นที่สีแดงจริงๆ เราก็ต้องมาอธิบายว่า ณ วันนั้นนี่คือเที่ยวบินแรกที่เราหาได้ ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องของการสื่อสาร” ซึ่งภายหลังเมื่อหาเครื่องบินเช่าเหมาลำได้ ทำให้การอพยพเป็นระบบมากขึ้น 

อดีตทูตประจำอิสราเอลเล่าว่า แม้ว่าทางกระทรวงต่างประเทศ และสถานทูตจะมีการทำแผนอพยพไว้ แต่หน้างานจริง บางครั้งไม่สามารถทำตามแผนได้ โดยแผนแรกของสถานทูตคือ การอพยพทางเรือ เพราะสามารถเดินทางได้เยอะ และเร็วกว่า “แต่ผลปรากฏว่า ทางเรือเกิดมีปัญหา เพราะท่าเรืออยู่ใกล้ทางฝั่งเลบานอน ยิงนิดเดียวก็ถึงแล้ว แล้วเรือเองก็หยุดให้บริการ เพราะฉะนั้นแผนที่ทำไว้อาจจะใช้ไม่ได้ แต่ถามว่ามีแผนไหม มีค่ะ มีทุกทางทั้งทางเรือ ทางอากาศ แต่เราต้องเลือกทางที่คิดว่าสะดวกที่สุดและปลอดภัยที่สุดสำหรับคนไทยที่จะเดินทาง” พรรณนภาเล่า 

แม้ในตอนนั้นจะมีการอพยพคนไทย แต่ล่าสุดมีรายงานว่าปัจจุบันมีแรงงานในอิสราเอลเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งทูตพรรณนภาก็แนะนำแรงงานที่เข้าไปว่า ต้องรับสภาพสถานการณ์ และรู้ว่าแม้จะมีรายได้ดี นายจ้างดูแลดี แต่มีความเสี่ยง “เพราะทุกวันนี้ก็ยังมีสงครามและความรุนแรง ยังมีการยิงจรวดเข้ามา 

เพราะฉะนั้นต้องปฏิบัติตนตามที่ทางการบอก เมื่อได้ยินเสียงไซเรน คุณต้องเข้าห้องหลบภัย หรือบางทีคนไทยชอบถ่ายติ๊กต๊อก ลงโซเชียลว่าจรวดมาแล้ว มีรูปสวยงามเป็นเป็นเหมือนพูดดอกไม้ไฟ เราก็พยายามเตือน เพรามีเหตุมาแล้ว ที่ทำตัวเป็นผู้สื่อข่าวแล้วบาดเจ็บ” ดังนั้นต้องปฏิบัติตามทางการ เพื่อควาปลอดภัย ทูตไทยสรุป 

นอกจากอิสราเอลที่มีแรงงานไทยจำนวนมากแล้ว อีกหนึ่งประเทศที่คุ้นเคยว่ามีแรงงานไทยจำนวนมากคือ ‘เกาหลีใต้’ ที่ได้ธานี แสงรัตน์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล มาเล่าประสบการณ์การดูแลคนไทย ซึ่งรวมถึงแรงงานผิดกฎหมาย หรือที่เราเรียกว่า ‘ผีน้อย’ ที่มีจำนวนมากด้วย


คนไทยไม่ว่าจะผิดกฎหมาย หรือถูกกฎหมาย ก็ต้องดูแล

ธานีเริ่มต้นถึงจำนวนแรงงานไทยในเกาหลีใต้ว่าปัจจุบัน มีแรงงานไทยทั้งหมด 2 แสนกว่าคน ทั้งที่ถูก และผิดกฎหมาย ซึ่งที่ผ่านมาเกาหลีใต้ได้ให้ความสำคัญกับการจัดการแรงงานที่ผิดกฎหมาย ทำให้จำนวน แรงงานผิดกฎหมายดลงมาเหลือประมาณ 1.8 แสนคน แต่ถึงอย่างนั้นสถานทูตไทยเองก็มีหน้าที่ในการดูแลทั้งคนไทยที่เข้ามาอย่างถูก และผิดกฎหมาย

ซึ่งทางสถานทูตก็ได้ให้ความช่วยเหลือด้วยการจัดโครงการกงสุลสัญจร ทำหนังสือเดินทาง ที่ถือเป็นโครงการทำพาสปอร์ตในต่างประเทศที่มากทีสุด กว่า 37,000 เล่ม ใน 90 วันให้คนไทยในเกาหลีใต้ และยังมีความร่วมมือในช่วงที่เกาหลีใต้จับแรงงานผิดกฎหมาย และเปิดโครงการให้เดินทางกลับโดยสมัครใจซึ่งทำงานร่วมกับสถานทูต

“เราประชาสัมพันธ์ให้คนไทยช่วงที่เขาอนุญาตให้กลับโดยสมัครใจ ตัวเลขแรงงานผิดกฎหมายก็ลดลง ในขณะเดียวกันแล้วก็ยุทธศาสตร์ของเรา คือลดแรงงานผิดกฎหมาย เพิ่มแรงงานถูกกฎหมายให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้”

ซึ่งในส่วนนี้ เอกอัครราชทูต สถานทูตไทย ณ กรุงโซล เน้นย้ำว่าผู้ที่ต้องการไปทำงานในเกาหลีใต้ต้องสมัครผ่านกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงานเท่านั้น ไม่สามารถเดินทางไปเองเพื่อหางานได้ เนื่องจากมีความเสี่ยงถูกปฏิเสธเข้าเมืองหรือถูกดำเนินคดี ทั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระดับรัฐบาลไทย–เกาหลีใต้ โดยทางการไทยยังเร่งประสานให้เกาหลีใต้รับแรงงานจากบัญชีรายชื่อที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันปัญหาและอำนวยความสะดวกให้แรงงานไทยถูกกฎหมายมากที่สุด

ขณะที่มีความกังวลว่ากระแสผีน้อย หรือคนผิดกฎหมายนั้น มักกระทบกับการเข้าไปท่องเที่ยวของคนอื่นๆ ที่ทำให้ถูกส่งกลับ ติด ตม. แม้ว่าจะมีหลักฐาน ทูตธานีก็ย้ำว่า “สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ของเกาหลีใต้เองก็มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในบางกรณี แต่พยายามจะรับประกันให้ได้มากที่สุด เพราะว่าแอปพลิเคชัน "K-ETA" ที่ใช้ในการขออนุญาตเข้าเมืองนั้น เขาได้หารือกับเราเมื่อปีที่แล้วว่า จะมีการปรับปรุงระบบให้สามารถคัดกรองได้ละเอียดมากยิ่งขึ้น ระบบจะสามารถดึงเอกสารต่าง ๆ มาตรวจสอบล่วงหน้าได้ รวมถึงสามารถสัมภาษณ์ผู้สมัครได้ก่อนที่จะอนุมัติ หากไม่ผ่านการอนุมัติ ก็จะได้ทราบตั้งแต่ก่อนเดินทาง จะได้ไม่ต้องไปถึงสนามบินปลายทางแล้วถูกปฏิเสธการเข้าเมือง ซึ่งจะเสียหายทั้งทรัพย์สินและจิตใจ” 

ทั้งจากกระแสแอนตี้เกาหลีใต้ หรือคนเกาหลีที่มองภาพลักษณ์ไทยว่าเป็นประเทศมีแต่คนผิดกฎหมายนั้น สถานทูตไทยในเกาหลีใต้ก็ได้ส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยผ่านการจัดตั้งสมาคมนวดไทยจิตอาสาแห่งแรกที่เมืองคายอง ซึ่งสะท้อนความนิยมในนวดไทยที่เป็นมรดกโลก นอกจากนี้ยังสนับสนุนกิจกรรมของสมาคมนักเรียนนักศึกษาไทย และอยู่ระหว่างการผลักดันจัดตั้ง “สถาวัฒนธรรมไทย” โดยชุมชนไทยในเกาหลีใต้ คล้ายกับที่มีในแอลเอ ประเทศสหรัฐฯ เพื่อเป็นศูนย์กลางเผยแพร่วัฒนธรรมไทย เช่น นาฏศิลป์ การจัดดอกไม้แบบไทย และกิจกรรมในงานเทศกาลต่าง ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเชิงรุกในการสร้างความเข้าใจอันดีและส่งเสริมเศรษฐกิจวัฒนธรรมไทยในต่างแดน

รับมือให้คนไทย ปลอดภัยจากภัยพิบัติ

อีกมุมนึงของโลกอย่างลอสแองเจลลิส ก็มีประเด็นที่แตกต่างกันไปในการดูแลคนไทย โดยเฉพาะการจัดการ และรับมือกับภัยพิบัติ ซึ่งได้ต่อ ศรลัมพ์ กงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส มาเล่ารายละเอียดให้เราฟัง “วิธีการจัดการกับภัยพิบัติที่ดีที่สุดคือ จัดการก่อนที่ภัยพิบัติจะเกิด ไม่ใช่รอให้มันเกิดแล้วค่อยรับมือ มีหลายสิ่งที่เราเตรียมไว้ล่วงหน้าได้ เช่น  "แผนอพยพ" สถานทูต สถานกงสุลทุกแห่งทั่วโลก จัดทำแผนอพยพฉุกเฉินเอาไว้ในทุกสถานการณ์ต่า แต่พอแผนที่มันอยู่ในกระดาษ เราก็ต้องเอามาเตรียมพร้อมร่วมกับชุมชนด้วย ว่าทำมากแค่ไหน

ผมคิดว่าที่ลอสแอนเจลิส เราเป็นโมเดลที่จริง ๆ หลาย ๆ ที่อาจจะลองมาดู แล้วเอาไปใช้ต่อได้ ก็คือ แผนของเราไม่ได้อยู่แค่ในกระดาษ เพราะว่าแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส ที่เราตั้งอยู่ เป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงเยอะมากในหลายรูปแบบ

ขั้นแรกของแผนคือต้องวิเคราะห์ความเสี่ยงก่อนว่าในพื้นที่ที่เราอยู่มีความเสี่ยงอะไรบ้าง เช่น แผ่นดินไหว – เพราะเราอยู่บนรอยเลื่อน, ไฟป่า, อุทกภัยฉับพลัน, ภัยสงคราม เป็นต้น ถึงแม้ภัยบางอย่างอาจมีแนวโน้มลดลง แต่ไม่ได้แปลว่าเราไม่จำเป็นต้องประเมินเลย และเมื่อประเมินว่าต้องเตรียมตัวอย่างไร เราก็สื่อสารแผนไปให้ชุมชนทราบล่วงหน้า”

กงสุลต่อเล่าว่า ในลอสแองเจิลลิส มีการเตรียมความพร้อมบ่อยมาก คือจัดสัมมนา ชวนผู้นำชุมชนมาฟัง ทำไลฟ์ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับภัยพิบัติ “สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า การเตรียมความพร้อมล่วงหน้า ทำให้เมื่อเกิดเหตุการณ์จริง เราสามารถรับมือได้อย่างถูกต้อง” 

อีกสิ่งหนึ่งทีที่กงสุลดำเนินการ และส่งเสริมให้ชุมชนเตรียมคือ ‘ถุงฉุกเฉิน’ โดยเน้นว่า ทุกคนควรมีถุงฉุกเฉินติดบ้าน เพื่อเอาตัวรอดได้อย่างน้อย 72 ชั่วโมงในกรณีเกิดภัยพิบัติ ภายในควรบรรจุน้ำดื่ม อาหารแห้ง ไฟฉาย ไม้ขีดไฟ ผ้าห่มแบบฟอยล์สำหรับให้ความอบอุ่นในกรณีอากาศหนาว และวิทยุทรานซิสเตอร์แบบใช้ถ่าน ซึ่งสำคัญมากเมื่อเครือข่ายมือถือและอินเทอร์เน็ตล่มลง การจัดเวิร์กชอปกับชุมชนเพื่อให้ความรู้เรื่องนี้จึงเป็นอีกหนึ่งรูปธรรมของการสร้างความพร้อมก่อนเกิดภัยพิบัติ ซึ่งควรได้รับการส่งเสริมในประเทศไทยเช่นกัน


การคุ้มครองคนไทยในต่างประเทศเป็น นโยบายสำคัญของรัฐบาลไทยทุกสมัย

แต่สำหรับภาพรวมการดูแลคนไทยทั้งหมด ที่อยู่ทั่วโลกในหลากหลายประเทศที่แตกต่างกันนั้น มังกร ประทุมแก้ว อธิบดีกรมการกงสุล ได้ให้รายละเอียดว่า ปัจจุบันมีคนไทยที่พำนักอยู่ในต่างประเทศประมาณ 1.6 ล้านคน และมีคนไทยอีก กว่า 1 ล้านคน ที่เดินทางไปต่างประเทศเพื่อการท่องเที่ยวในแต่ละช่วงเวลา ทำให้สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ของไทยทั่วโลกกว่า 94 แห่ง มีภารกิจหลักในการคุ้มครองและดูแลคนไทย รวมถึง เสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนไทยในแต่ละประเทศ

 “การคุ้มครองคนไทยในต่างประเทศเป็น นโยบายสำคัญของรัฐบาลไทยทุกสมัย โดยมุ่งดูแลคนไทยอย่างทั่วถึง ไม่เลือกปฏิบัติตามสถานะทางกฎหมายของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่พำนักอย่างถูกต้องหรือไม่ก็ตาม ซึ่งแนวทางนี้ได้รับการรับรองในระดับรัฐธรรมนูญและต่อเนื่องลงมาจนถึงระเบียบปฏิบัติของกระทรวงการต่างประเทศ

ในทางปฏิบัติ การทำงานของสถานทูตส่วนใหญ่มักเป็นไปในลักษณะ "เชิงรับ" เพราะไม่สามารถคาดการณ์เหตุการณ์ต่างๆ ได้ล่วงหน้า เช่น สถานการณ์ ‘ผีน้อย’ ในเกาหลีใต้ที่เป็นที่รู้กันว่ามีแนวโน้มต้องดูแลเป็นพิเศษ หรือกรณีฉุกเฉินเฉียบพลันอย่าง สงครามในอิสราเอล หรือภัยธรรมชาติในลอสแอนเจลิส อย่างแผ่นดินไหวและไฟป่า” 

อธิบดีย้ำว่า การเตรียมความพร้อม จึงเป็นเรื่องสำคัญ สถานทูตมีการปรับแผนรองรับภัยพิบัติอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริม ความเข้มแข็งของชุมชนไทยในต่างประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีคนไทยอาศัยอยู่อย่างถาวรและเป็นระบบ เช่น ประเทศในแถบยุโรป อเมริกาเหนือ หรือญี่ปุ่น ที่มีการวางรากฐานของชุมชนอย่างชัดเจน ทั้งการจัดกิจกรรม สร้างเครือข่าย และประสานงานกับท้องถิ่น เพื่อให้ชุมชนไทยสามารถพึ่งพาตนเองและประสานความร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่นได้ในยามเกิดวิกฤต

แม้ประเทศไทยจะมีสถานทูตและสถานกงสุลใหญ่กระจายอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราไม่สามารถมีสถานทูตหรือกงสุลในทุกประเทศได้ อธิบดีมังกรเองก็เล่าว่า เคยมีเหตุการณ์ที่เกิดเหตุความขัดแย้งในประเทศที่เราไม่มีสถานทูตอยู่ คือในซูดาน และซูดานใต้ 

“กรณีเหตุความขัดแย้งในซูดานและซูดานใต้ ซึ่งไม่มีสถานทูตไทยประจำอยู่โดยตรง แต่เรามีนักเรียนที่อยู่ที่นั่น หน้าที่ดูแลจึงตกอยู่กับสถานทูตไทย ณ กรุงไนโรบี ประเทศเคนยา ขณะเดียวกัน ซูดานอยู่ในความดูแลของสถานทูตไทย ณ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ตอนนั้นสถานทูตอียิปต์ก็ได้มีการจัดเตรียม

อพยพนักศึกษาเหล่านั้นออกมาโดยใช้รถรถโดยสารขนาดใหญ่ แล้วก็มีการหากองกําลังคุ้มครองเด็กนักศึกษาเหล่านั้น เพราะว่าตอนที่อพยพออกมา มันต้องผ่านในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งมีความเสี่ยงที่โดนโจมตี เพราะว่าแต่ละฝ่ายจะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ก็ผมก็เชื่อว่า ณ ตอนนั้นเนี่ย ทางทางสถานทูตก็ก็มี มีมีความลําบาก หรือมีความขัดข้องในการดําเนินการอยู่ พอควรเหมือนกัน เพราะว่าเพราะว่าก็ต้องพึ่งทางการท้องถิ่นและกงสุลกิตติมศักดิ์ที่ไทยแต่งตั้งขึ้น ซึ่งแม้จะไม่ใช่ข้าราชการไทยโดยตรงแต่ก็มีบทบาทสำคัญในการประสานงานและให้ความช่วยเหลือคนไทยในพื้นที่ห่างไกลอย่างมีประสิทธิภาพ”

สุดท้ายแล้ว อธิบดีกรมการกงสุล ที่ดูแลคนไทยทั่วโลก เน้นว่าการช่วยเหลือคนไทยในต่างประเทศนั้น เริ่มตั้งแต่ปัญหาเกี่ยวกับเอกสารการเดินทาง เช่น กรณีหนังสือเดินทางสูญหายจากการถูกขโมยหรือเหตุสุดวิสัยอื่น ๆ เจ้าหน้าที่จะมีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนในการออกเอกสารทดแทน เช่น หนังสือเดินทางชั่วคราว เพื่อให้คนไทยสามารถเดินทางกลับประเทศหรือเดินทางต่อไปยังจุดหมายได้อย่างปลอดภัย 

นอกจากนี้ สถานทูตยังมีบทบาทในการช่วยเหลือคนไทยที่ตกทุกข์ได้ยาก เช่น แรงงานที่มีปัญหากับนายจ้างหรือต้องการเดินทางกลับบ้านแต่ไม่มีค่าใช้จ่ายเพียงพอ ไปถึงปัญหาอย่างการค้ามนุษย์ เพื่อดูแลและปกป้องคนไทยจากความเสี่ยงในการตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ รวมถึงการเตรียมแผนรองรับกรณีเกิดภัยพิบัติหรือสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่เสี่ยงล่วงหน้า ทั้งในระดับส่วนกลางและสถานเอกอัครราชทูต โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของคนไทยสำคัญที่สุด

ที่มาข้อมูล : TNNOnline

ที่มารูปภาพ : Freepik

แท็กบทความ

กระทรวงการต่างประเทศสถานทูตผีน้อย
คนไทยในอิสราเอล
คนไทยใน LA
คนไทยในต่างแดน