หากไทยไม่ร่วม ‘ศาลโลก’ จะตัดสิน คดีชายแดน ได้หรือไม่?

หากไทยไม่ร่วม ‘ศาลโลก’ จะตัดสิน คดีชายแดน ได้หรือไม่?

ในขณะที่ประเทศไทยและกัมพูชากำลังประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission – JBC) ที่กรุงพนมเปญในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 ประเด็นข้อพิพาทบริเวณชายแดนที่ยังค้างคากลับยิ่งร้อนแรงขึ้น เมื่อรัฐบาลกัมพูชาประกาศว่าจะยื่นฟ้องประเทศไทยต่อ “ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ” หรือ “ศาลโลก” (International Court of Justice – ICJ) ในวันที่ 15 มิถุนายนนี้ เกี่ยวกับพื้นที่พิพาท 4 จุด ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาเมือนโต๊ด, ปราสาทตาควาย และพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต

สรุปข่าว

แม้ศาลโลกจะเป็นสถาบันตุลาการสูงสุดของประชาคมโลก แต่ก็ไม่สามารถพิจารณาคดีระหว่างรัฐได้ หากอีกฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอม การยื่นฟ้องฝ่ายเดียวจึงไม่ใช่คำตอบทางกฎหมายที่มีผลผูกพันโดยอัตโนมัติในเวทีระหว่างประเทศ ความยินยอมของรัฐจึงเป็น “กุญแจหลัก” ของกระบวนการยุติธรรมโลก — และในกรณีนี้ ไทยยังคงยึดกลไกทวิภาคีเป็นแนวทางหลักในการแก้ไขปัญหา

ในขณะที่ประเทศไทยและกัมพูชากำลังประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission – JBC) ที่กรุงพนมเปญในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 ประเด็นข้อพิพาทบริเวณชายแดนที่ยังค้างคากลับยิ่งร้อนแรงขึ้น เมื่อรัฐบาลกัมพูชาประกาศว่าจะยื่นฟ้องประเทศไทยต่อ “ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ” หรือ “ศาลโลก” (International Court of Justice – ICJ) ในวันที่ 15 มิถุนายนนี้ เกี่ยวกับพื้นที่พิพาท 4 จุด ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาเมือนโต๊ด, ปราสาทตาควาย และพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต

ฟ้องฝ่ายเดียว…ศาลโลกไม่มีอำนาจ?

แม้การฟ้องคดีต่อศาลโลกจะเป็นสิทธิตามกฎหมายระหว่างประเทศ แต่การจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีนั้น ไม่ใช่แค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเสนอเรื่องเท่านั้น เพราะ “ศาลโลกมีอำนาจพิจารณาคดีได้ก็ต่อเมื่อคู่กรณีทั้งสองฝ่ายยินยอม” เท่านั้น

กล่าวคือ หากกัมพูชายื่นฟ้องโดยฝ่ายเดียว แต่ประเทศไทย “ไม่ยินยอมเข้าสู่กระบวนการ” หรือไม่เคยแสดงเจตนาตกลงเข้าสู่เขตอำนาจของศาลโลกในกรณีดังกล่าว ศาลโลกก็จะไม่มีอำนาจรับเรื่องไว้พิจารณา ไม่สามารถเปิดการไต่สวน และไม่สามารถออกคำพิพากษาที่มีผลผูกพันต่อไทยได้

นี่คือหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่เรียกว่า “ความยินยอมของรัฐ” (State Consent) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในระบบความยุติธรรมระหว่างประเทศ การเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ แม้จะครอบคลุมถึงการยอมรับศาลโลกในบางกรณี แต่ไม่ใช่การให้สิทธิแต่ฝ่ายเดียวสามารถฟ้องและบังคับให้รัฐอื่นขึ้นศาลได้โดยอัตโนมัติ

ทำไมไทยถึงไม่ยอมรับศาลโลกในกรณีนี้?

ฝ่ายไทยยืนยันเสมอว่า การจัดการกับข้อพิพาทเขตแดนกับกัมพูชาควรใช้ “กลไกทวิภาคี” ได้แก่ JBC (คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม), GBC (คณะกรรมการชายแดนทั่วไป), และ RBC (คณะกรรมการชายแดนภูมิภาค) ซึ่งเป็นช่องทางที่ได้รับการตกลงร่วมกันระหว่างทั้งสองประเทศ

การหันไปใช้กลไกระหว่างประเทศโดยฝ่ายเดียว ถูกมองว่าอาจเป็นการเดินเกมกดดัน และอาจขัดต่อหลักเจรจาอย่างสันติที่ทั้งสองประเทศยึดถือมาโดยตลอด

นอกจากนี้ ประเด็นเรื่องเขตแดน โดยเฉพาะ 4 พื้นที่ที่ยังไม่มีข้อยุติ เป็นประเด็นละเอียดอ่อนที่เกี่ยวข้องกับอธิปไตยของประเทศ หากประเทศไทยยอมรับศาลโลกในกรณีนี้ อาจเปิดช่องให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายที่กระทบต่อหลักการปกป้องดินแดนของรัฐ

ศึก JBC รอบ 12 ปี ศาลโลกไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

การประชุม JBC ที่จัดขึ้นในปีนี้ เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 12 ปี หลังจากการหารือชะงักงันมาอย่างยาวนาน โดยเน้นหารือการกำหนดแนวเขตแดนที่ยังไม่ชัดเจน แต่หลีกเลี่ยงการพูดถึงพื้นที่พิพาทหลัก 4 จุด

แม้กัมพูชาจะผลักดันการนำเรื่องเข้าสู่ศาลโลก แต่หากฝ่ายไทยไม่ยินยอม ศาลโลกก็ไม่สามารถพิจารณาคดีได้ การเจรจาทวิภาคีจึงยังเป็นกลไกสำคัญที่เปิดช่องให้ทั้งสองฝ่ายร่วมกันหาทางออกร่วม โดยไม่กระทบความสัมพันธ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และความมั่นคงชายแดน

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : TNN / Freepik

บรรณาธิการออนไลน์

แท็กบทความ

ศาลโลก
กัมพูชาฟ้องไทย
JBCในรอบ12ปี
ข้อพิพาทชายแดน
กฎหมายระหว่างประเทศ