
แผนที่ในความทรงจำทางการเมือง
แผนที่ 1:200,000 กลายเป็นประเด็นร้อนทางภูมิรัฐศาสตร์อีกครั้ง เมื่อกัมพูชาหยิบยกเอกสารชุดนี้ขึ้นมาประกอบการเคลื่อนไหวบนเวทีระหว่างประเทศ โดยอ้างว่าแผนที่ดังกล่าวจัดทำตามกรอบอนุสัญญาฝรั่งเศส-สยามเมื่อกว่าร้อยปีก่อน และควรเป็นหลักฐานในการกำหนดเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาในปัจจุบัน
ฝั่งไทยปฏิเสธมาตลอดว่าแผนที่ชุดนี้ไม่เคยได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ และไม่ถือเป็นข้อตกลงผูกพันในทางกฎหมาย จุดยืนที่แตกต่างกันนี้กลายเป็นรากของความขัดแย้งที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน และเคยปะทุขึ้นเป็นความรุนแรงชายแดนหลายครั้ง
สรุปข่าว
แผนที่ในความทรงจำทางการเมือง
แผนที่ 1:200,000 กลายเป็นประเด็นร้อนทางภูมิรัฐศาสตร์อีกครั้ง เมื่อกัมพูชาหยิบยกเอกสารชุดนี้ขึ้นมาประกอบการเคลื่อนไหวบนเวทีระหว่างประเทศ โดยอ้างว่าแผนที่ดังกล่าวจัดทำตามกรอบอนุสัญญาฝรั่งเศส-สยามเมื่อกว่าร้อยปีก่อน และควรเป็นหลักฐานในการกำหนดเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาในปัจจุบัน
ฝั่งไทยปฏิเสธมาตลอดว่าแผนที่ชุดนี้ไม่เคยได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ และไม่ถือเป็นข้อตกลงผูกพันในทางกฎหมาย จุดยืนที่แตกต่างกันนี้กลายเป็นรากของความขัดแย้งที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน และเคยปะทุขึ้นเป็นความรุนแรงชายแดนหลายครั้ง
แผนที่ 1:200,000 เกิดขึ้นได้อย่างไร
แผนที่ 1:200,000 คือแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่จัดทำโดยคณะกรรมการปักปันสยาม-อินโดจีน ซึ่งเป็นคณะกรรมการร่วมระหว่างฝรั่งเศสในฐานะมหาอำนาจอาณานิคม และราชอาณาจักรสยามในช่วงต้นศตวรรษที่ 20
จุดกำเนิดของแผนที่นี้อยู่ในบริบทของการลงนามอนุสัญญาระหว่างสยามและฝรั่งเศสในปี 1904 และ 1907 หลังจากที่สยามต้องยกดินแดนบางส่วนให้ฝรั่งเศสเพื่อแลกกับการคงไว้ซึ่งเอกราชบางด้าน คณะกรรมการผสมดังกล่าวจึงถูกตั้งขึ้นเพื่อกำหนดเส้นเขตแดนใหม่ โดยมีการสำรวจและจัดทำแผนที่ตลอดแนวชายแดน รวมทั้งหมด 11 ระวาง ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่สามเหลี่ยมทองคำจนถึงพนมดงรัก
ข้อพิพาทที่ไม่มีข้อยุติ
กัมพูชาถือว่าแผนที่ 1:200,000 เป็นหลักฐานสำคัญในการอ้างสิทธิ์ดินแดน โดยเฉพาะในกรณีคดีปราสาทพระวิหารที่ยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ในปี 1959 และมีคำพิพากษาในปี 1962 ซึ่งระบุให้ไทยต้องถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่รอบปราสาท ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าศาลได้ใช้แผนที่ 1:200,000 เป็นหลักฐานสำคัญในการตัดสินคดี
ขณะที่ไทยยืนกรานว่าแผนที่ดังกล่าวไม่มีผลผูกพัน เนื่องจากไม่เคยมีการลงนามรับรองร่วมกันอย่างเป็นทางการ แผนที่ถูกจัดทำขึ้นภายหลังโดยฝ่ายฝรั่งเศสเพียงฝ่ายเดียว อีกทั้งคณะกรรมการผสมก็สลายตัวก่อนแผนที่นี้จะถูกพิมพ์และส่งมอบ ไทยจึงยึดแนวเส้นแบ่งเขตแดนที่อ้างอิงจากแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ซึ่งจัดทำโดยกรมแผนที่ทหารในยุคต่อมา ซึ่งมีความละเอียดและทันสมัยมากกว่า
ความคลาดเคลื่อนที่มากกว่าหลายร้อยเมตร
หนึ่งในข้อโต้แย้งสำคัญของไทยคือ แผนที่ 1:200,000 มีความคลาดเคลื่อนสูง เนื่องจากมาตราส่วนที่หยาบและเทคโนโลยีการสำรวจในสมัยนั้นยังไม่มีความแม่นยำ จึงอาจเกิดการเบี่ยงเบนของเส้นเขตแดนจริงจากภูมิประเทศหลายร้อยเมตรถึงหลายกิโลเมตร ความคลาดเคลื่อนนี้เองที่นำไปสู่การตีความเขตแดนที่แตกต่าง และเป็นชนวนให้เกิดการเผชิญหน้าทางทหารเป็นระยะ
ความเข้าใจคนละกรอบในประวัติศาสตร์
ปัญหาหลักไม่ได้อยู่ที่เพียงแค่แผนที่ใบเดียว แต่ยังรวมถึงความเข้าใจทางประวัติศาสตร์ที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง กัมพูชามองว่าการที่แผนที่ 1:200,000 ปรากฏในคำพิพากษาศาลโลกคือการให้คุณค่าทางกฎหมายอย่างชัดเจน ขณะที่ไทยมองว่าคำพิพากษาเน้นเฉพาะพื้นที่ตัวปราสาทเท่านั้น ไม่รวมถึงพื้นที่รอบข้างที่ยังเป็นข้อพิพาท
การหยิบแผนที่นี้มาใช้อ้างอิงอีกครั้งในปี 2568 จึงไม่ใช่เพียงการขีดเส้นบนกระดาษ แต่เป็นการเรียกร้องที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์แห่งอำนาจ ศักดิ์ศรี และการนิยามดินแดนในสายตาระหว่างประเทศ
เมื่อเส้นแบ่งกลายเป็นข้อขัดแย้งรุ่นต่อรุ่น
ปัจจุบัน ไทยและกัมพูชายังคงมีคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) เพื่อหาข้อยุติของเขตแดนที่ยังค้างอยู่ แต่กระบวนการดำเนินไปอย่างเชื่องช้า และติดขัดทุกครั้งที่แผนที่ 1:200,000 กลับมาเป็นจุดขัดแย้งกลางโต๊ะเจรจา
ในสถานการณ์ที่ความสัมพันธ์ทางการทูตเริ่มเปราะบางจากปัจจัยอื่น เช่น การหยุดซื้อไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต และการเคลื่อนไหวทางการเมืองภายในของทั้งสองประเทศ การกลับมาอ้างอิงแผนที่ยุคล่าอาณานิคมอาจเพิ่มแรงกดดันให้การเจรจาเดินไปได้ยากยิ่งขึ้น
----
แผนที่ 1:200,000 ไม่ใช่แค่เอกสารเก่าในหอจดหมายเหตุ แต่เป็นสัญลักษณ์ของประวัติศาสตร์ที่ยังมีชีวิต จุดต่างในการตีความแผนที่เพียงไม่กี่เส้นกลายเป็นรอยร้าวที่ลากยาวมานานกว่าร้อยปี และยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงในเร็ววัน
ที่มาข้อมูล : TNN
ที่มารูปภาพ : Freepik / gettyimage
บรรณาธิการออนไลน์