ไทยลุ้นผลเจรจาสหรัฐฯ - เล็งหุ้นหลบภัยรับแรงกระแทก ตัวไหนน่าลงทุน เช็กเลย !

ไทยลุ้นผลเจรจาสหรัฐฯ - เล็งหุ้นหลบภัยรับแรงกระแทก ตัวไหนน่าลงทุน เช็กเลย !

อกสั่นขวัญแขวนอีกระลอก ! หลัง “ทรัมป์” ร่อนหนังสืออย่างเป็นทางการถึงผู้นำ 14 ประเทศ เมื่อวันที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับการแจ้งจัดเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) อัตราภาษีใหม่ ดีเดย์ 1 ส.ค. นี้ ได้แก่  เมียนมา 40%  ลาว 40% กัมพูชา 36% ไทย 36%  บังกลาเทศ 35%  เซอร์เบีย 35%  อินโดนีเซีย 32%  บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา 30% แอฟริกาใต้ 30%  ญี่ปุ่น 25% คาซัคสถาน 25% มาเลเซีย 25%  เกาหลีใต้ 25% ตูนิเซีย 25% 

ทันทีที่ข่าวดังกล่าวแพร่สะพัดส่งผลให้หุ้นไทยร่วง  2 วันติด (8-9 ก.ค.68)  12.60 จุด   ร้อนถึง “พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายไทย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า “ทีมเจรจาสู้แล้ว สู้ต่อ สู้ไม่ถอยครับ จากจดหมายฉบับล่าสุด ทางสหรัฐยังไม่ได้พิจารณาข้อเสนอล่าสุดของเรา เราจะไม่หยุด จะสู้ต่อไป เราจะหามาตรการเพิ่ม หาทางออกเพิ่ม เพื่อให้มั่นใจว่าเราทุกคนได้สู้จนถึงที่สุด เพื่อให้ประเทศไทยได้ข้อเสนอที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 

ฝั่ง “อัสสเดช คงสิริ” กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ออกมายอมรับว่า  นโยบายภาษีสินค้านำเข้า (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐ  มีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย เนื่องจากหากอัตราภาษีเทียบกับคู่แข่งของไทยสูงกว่า จะส่งผลให้ธุรกิจบางเซ็กเตอร์อาจจะลำบาก แต่ต้องรอติดตามข่าวจากทางการที่ชัดเจนอีกครั้ง และยืนยันว่ามีมาตรการรับมือตลาดผันผวนแน่นอน

เมื่อสถานการณ์ยังหน้าสิ่วหน้าขวานภาครัฐอยู่ระหว่างหาทางออกคลายผลกระทบหนักให้เป็นเบา แต่ทิศทางตลาดหุ้นไทยจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร หุ้นตัวไหนยังไปต่อและน่าลงทุนท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกจากสงครามทางการค้าที่ร้อนระอุ วันนี้ TNN Online  ได้สัมภาษณ์กูรูตลาดทุนจะมีรายละเอียดอะไรบ้างนั้น ตามไปดูกันเลยค่ะ

 เริ่มจาก “ภราดร  เตียรณปราโมทย์" ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส  เล่าย้อนอดีตหุ้นไทยในช่วง 15 ปีที่ผ่านมาให้ฟังว่า จากหลายวิกฤติทำให้ดัชนีทดสอบลงไปในระดับ 900-1,100 จุด เช่น  วิกฤติน้ำท่วมปี 54 ดัชนีต่ำสุด 919 จุด   ปลายปี 58 เหตการณ์สำคัญของไทย ดัชนีต่ำสุด 1,288 จุด   โควิดในช่วงเดือน มี.ค. 63  ดัชนีต่ำสุด 1,126  จุด     ต.ค.63 ก่อนคิดค้นเจอวัคซีนไฟเซอร์ดัชนีร่วงจุดต่ำสุดอยู่ที่   1,195 จุด 

โดยปัจจุบันปี 68 เจอเหตุการณ์ “ทรัมป์” ขึ้นภาษีนำเข้า- ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา-การเมืองในประเทศลงไปทำจุดต่ำสุด 1,100  จุด  แม้ว่าสถานการณ์แต่ละช่วงเวลาไม่เหมือนกัน แต่เชื่อว่าหากสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ร้อนแรงคลี่คลายลงจะเห็นดัชนีหุ้นไทยรีบาวด์เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในอดีตช่วง 15 ปีที่ผ่านมา

สำหรับกรณีสหรัฐฯ หากเรียกเก็บภาษีตอบโต้ไทย 36% เหมือนเดิมในวันที่ 1 ส.ค. จะเป็นปัจจัยกดดันภาพรวมเศรษฐกิจไทย และส่งผลให้หน่วยงานเศรษฐกิจไทยทบทวนจีดีพีไทยใหม่   เนื่องจากแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยพึ่งพิงการส่งออกเป็นหลัก พร้อมกับกระทบต่อภาคการลงทุนปรับตัวลดลง

แต่จากการประเมินเบื้องต้นหลังจากที่ “ทรัมป์” ทำหนังสือถึงรัฐบาลไทยตลาดหุ้นไทยไม่ได้รับตัวลงมากนัก โดยวันที่  8 ก.ค.ลงไป 7.35 จุด หรือ 0.65 % เนื่องจากนักลงทุนรับรู้ข่าวไปหลายระลอกแล้ว ไม่เหมือนกับช่วงแรกที่ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 เม.ย.ที่ผ่านมาดัชนีร่วง 50.62 จุด หรือ 4.50% ปิดตลาดที่ 1,074.59 จุด และลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 1,056 จุด

ขณะที่จีนได้ออกมาตอบโต้สหรัฐฯ กรณีที่สหรัฐฯ จะเก็บภาษีนำเข้า  40% กับเวียดนาม  โดยเฉพาะสินค้าที่ถูกจัดว่าเป็น "transshipments" หรือการส่งต่อสินค้าที่อาจมีจุดประสงค์เพื่อเลี่ยงภาษีนำเข้าเดิม ซึ่งกรณีนี้หมายถึง สินค้าจากจีนที่อาจถูกส่งผ่านเวียดนาม ก่อนเข้าสู่สหรัฐฯทำให้หลายประเทศดูท่าทีจีนก่อนทำให้การเจรจาชะลอออกไป

ส่วนของตลาดหุ้น ถ้าประเมินกลุ่มส่งออกที่อิงตลาดส่งออกสหรัฐใน 4 กลุ่มคือ เกษตร อาหาร ปิโตรเคมี และชิ้นส่วนยานยนต์สัดส่วน 3.3%ของ MARKET CAP,3.1% ของรายได้ และ 1.1% ของกำไร (ด้วยสมมุติฐานส่งออกไปสหรัฐประมาณ 18% ของรายได้) ดังนั้น DOWNSIDE ต่อตลาดฯ ในเชิงตัวเลขสำหรับประเด็นนี้กดดัน SET INDEX ให้ลดลงได้ประมาณ  -3% ซึ่งเชื่อว่าการเจรจาของนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลังจะเจรจาต่อรองสหรัฐฯ ได้ทันก่อนประกาศขึ้นภาษีอย่างเป็นทางการ

 ทั้งนี้เห็นว่าโยบายการคลังเดินหน้าเจรจาเต็มที่ คาดนโยบายการเงินจะเข้ามาช่วยแรงหนุนเศรษฐกิจไทยประเมินว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) อาจลดดอกเบี้ยในวันที่ 13 ส.ค.อีก 0.25%   หลังทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีไปแล้ว และลดอีก 1 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลหรือบอนด์ยีลด์อายุ 1-7 ปีต่ำกว่า 1.5% 

ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นได้ประโยชน์ ดอกเบี้ยขาลง เช่น MTC ราคาเป้าหมาย   54 บาท ,KTC   ปันผล 5%   หุ้นปันผลสูง    SPALI ราคาเป้าหมาย 18.8  บาท   , SIRI ราคาเป้าหมาย 1.9  บาท   หุ้นปลอดภัย เช่น BH ราคาเป้าหมาย 230  บาท ,BCH ราคาเป้าหมาย 19  บาท 

ส่วนกรอบการเคลื่อนไหวดัชนีสัปดาห์หน้า แนวต้านแรก  1,130 จุด แนวต้านถัดไป1,145 จุด แนวรับอยู่ที่ 1,100 จุด  ติดตามการเมืองในประเทศ  คืบหน้าเปิดกำแพงภาษี  ศาลรัฐธรรมนูญหมดเวลายื่นเอกสารของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีปมคลิปเสียงหลุด

สรุปข่าว

ตลาดหุ้นไทยเผชิญความผันผวนจากสงครามทางการค้า- การเมืองในประเทศ แต่หากย้อนอดีต 15 ปีที่ผ่านจากวิกฤติหลายวิกฤติทุบดัชนีดิ่งลงไปทดสอบที่ระดับ 900-1,100 จุด แม้สถานการณ์แต่ละช่วงเวลาไม่เหมือนกัน แต่ถ้าสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ร้อนแรงคลี่คลายลง ดัชนีหุ้นไทยรีบาวด์กลับทันที โบรกชูหุ้นปลอดภัย-รับประโยชน์ดอกเบี้ยขาลง

อกสั่นขวัญแขวนอีกระลอก ! หลัง “ทรัมป์” ร่อนหนังสืออย่างเป็นทางการถึงผู้นำ 14 ประเทศ เมื่อวันที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับการแจ้งจัดเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) อัตราภาษีใหม่ ดีเดย์ 1 ส.ค. นี้ ได้แก่  เมียนมา 40%  ลาว 40% กัมพูชา 36% ไทย 36%  บังกลาเทศ 35%  เซอร์เบีย 35%  อินโดนีเซีย 32%  บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา 30% แอฟริกาใต้ 30%  ญี่ปุ่น 25% คาซัคสถาน 25% มาเลเซีย 25%  เกาหลีใต้ 25% ตูนิเซีย 25% 

ทันทีที่ข่าวดังกล่าวแพร่สะพัดส่งผลให้หุ้นไทยร่วง  2 วันติด (8-9 ก.ค.68)  12.60 จุด   ร้อนถึง “พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายไทย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า “ทีมเจรจาสู้แล้ว สู้ต่อ สู้ไม่ถอยครับ จากจดหมายฉบับล่าสุด ทางสหรัฐยังไม่ได้พิจารณาข้อเสนอล่าสุดของเรา เราจะไม่หยุด จะสู้ต่อไป เราจะหามาตรการเพิ่ม หาทางออกเพิ่ม เพื่อให้มั่นใจว่าเราทุกคนได้สู้จนถึงที่สุด เพื่อให้ประเทศไทยได้ข้อเสนอที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 

ฝั่ง “อัสสเดช คงสิริ” กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ออกมายอมรับว่า  นโยบายภาษีสินค้านำเข้า (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐ  มีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย เนื่องจากหากอัตราภาษีเทียบกับคู่แข่งของไทยสูงกว่า จะส่งผลให้ธุรกิจบางเซ็กเตอร์อาจจะลำบาก แต่ต้องรอติดตามข่าวจากทางการที่ชัดเจนอีกครั้ง และยืนยันว่ามีมาตรการรับมือตลาดผันผวนแน่นอน

เมื่อสถานการณ์ยังหน้าสิ่วหน้าขวานภาครัฐอยู่ระหว่างหาทางออกคลายผลกระทบหนักให้เป็นเบา แต่ทิศทางตลาดหุ้นไทยจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร หุ้นตัวไหนยังไปต่อและน่าลงทุนท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกจากสงครามทางการค้าที่ร้อนระอุ วันนี้ TNN Online  ได้สัมภาษณ์กูรูตลาดทุนจะมีรายละเอียดอะไรบ้างนั้น ตามไปดูกันเลยค่ะ

 เริ่มจาก “ภราดร  เตียรณปราโมทย์" ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส  เล่าย้อนอดีตหุ้นไทยในช่วง 15 ปีที่ผ่านมาให้ฟังว่า จากหลายวิกฤติทำให้ดัชนีทดสอบลงไปในระดับ 900-1,100 จุด เช่น  วิกฤติน้ำท่วมปี 54 ดัชนีต่ำสุด 919 จุด   ปลายปี 58 เหตการณ์สำคัญของไทย ดัชนีต่ำสุด 1,288 จุด   โควิดในช่วงเดือน มี.ค. 63  ดัชนีต่ำสุด 1,126  จุด     ต.ค.63 ก่อนคิดค้นเจอวัคซีนไฟเซอร์ดัชนีร่วงจุดต่ำสุดอยู่ที่   1,195 จุด 

โดยปัจจุบันปี 68 เจอเหตุการณ์ “ทรัมป์” ขึ้นภาษีนำเข้า- ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา-การเมืองในประเทศลงไปทำจุดต่ำสุด 1,100  จุด  แม้ว่าสถานการณ์แต่ละช่วงเวลาไม่เหมือนกัน แต่เชื่อว่าหากสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ร้อนแรงคลี่คลายลงจะเห็นดัชนีหุ้นไทยรีบาวด์เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในอดีตช่วง 15 ปีที่ผ่านมา

สำหรับกรณีสหรัฐฯ หากเรียกเก็บภาษีตอบโต้ไทย 36% เหมือนเดิมในวันที่ 1 ส.ค. จะเป็นปัจจัยกดดันภาพรวมเศรษฐกิจไทย และส่งผลให้หน่วยงานเศรษฐกิจไทยทบทวนจีดีพีไทยใหม่   เนื่องจากแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยพึ่งพิงการส่งออกเป็นหลัก พร้อมกับกระทบต่อภาคการลงทุนปรับตัวลดลง

แต่จากการประเมินเบื้องต้นหลังจากที่ “ทรัมป์” ทำหนังสือถึงรัฐบาลไทยตลาดหุ้นไทยไม่ได้รับตัวลงมากนัก โดยวันที่  8 ก.ค.ลงไป 7.35 จุด หรือ 0.65 % เนื่องจากนักลงทุนรับรู้ข่าวไปหลายระลอกแล้ว ไม่เหมือนกับช่วงแรกที่ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 เม.ย.ที่ผ่านมาดัชนีร่วง 50.62 จุด หรือ 4.50% ปิดตลาดที่ 1,074.59 จุด และลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 1,056 จุด

ขณะที่จีนได้ออกมาตอบโต้สหรัฐฯ กรณีที่สหรัฐฯ จะเก็บภาษีนำเข้า  40% กับเวียดนาม  โดยเฉพาะสินค้าที่ถูกจัดว่าเป็น "transshipments" หรือการส่งต่อสินค้าที่อาจมีจุดประสงค์เพื่อเลี่ยงภาษีนำเข้าเดิม ซึ่งกรณีนี้หมายถึง สินค้าจากจีนที่อาจถูกส่งผ่านเวียดนาม ก่อนเข้าสู่สหรัฐฯทำให้หลายประเทศดูท่าทีจีนก่อนทำให้การเจรจาชะลอออกไป

ส่วนของตลาดหุ้น ถ้าประเมินกลุ่มส่งออกที่อิงตลาดส่งออกสหรัฐใน 4 กลุ่มคือ เกษตร อาหาร ปิโตรเคมี และชิ้นส่วนยานยนต์สัดส่วน 3.3%ของ MARKET CAP,3.1% ของรายได้ และ 1.1% ของกำไร (ด้วยสมมุติฐานส่งออกไปสหรัฐประมาณ 18% ของรายได้) ดังนั้น DOWNSIDE ต่อตลาดฯ ในเชิงตัวเลขสำหรับประเด็นนี้กดดัน SET INDEX ให้ลดลงได้ประมาณ  -3% ซึ่งเชื่อว่าการเจรจาของนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลังจะเจรจาต่อรองสหรัฐฯ ได้ทันก่อนประกาศขึ้นภาษีอย่างเป็นทางการ

 ทั้งนี้เห็นว่าโยบายการคลังเดินหน้าเจรจาเต็มที่ คาดนโยบายการเงินจะเข้ามาช่วยแรงหนุนเศรษฐกิจไทยประเมินว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) อาจลดดอกเบี้ยในวันที่ 13 ส.ค.อีก 0.25%   หลังทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีไปแล้ว และลดอีก 1 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลหรือบอนด์ยีลด์อายุ 1-7 ปีต่ำกว่า 1.5% 

ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นได้ประโยชน์ ดอกเบี้ยขาลง เช่น MTC ราคาเป้าหมาย   54 บาท ,KTC   ปันผล 5%   หุ้นปันผลสูง    SPALI ราคาเป้าหมาย 18.8  บาท   , SIRI ราคาเป้าหมาย 1.9  บาท   หุ้นปลอดภัย เช่น BH ราคาเป้าหมาย 230  บาท ,BCH ราคาเป้าหมาย 19  บาท 

ส่วนกรอบการเคลื่อนไหวดัชนีสัปดาห์หน้า แนวต้านแรก  1,130 จุด แนวต้านถัดไป1,145 จุด แนวรับอยู่ที่ 1,100 จุด  ติดตามการเมืองในประเทศ  คืบหน้าเปิดกำแพงภาษี  ศาลรัฐธรรมนูญหมดเวลายื่นเอกสารของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีปมคลิปเสียงหลุด

ฝั่ง ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์" AISA, CFTe ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย  บล.กรุงศรี  มองว่า ถ้าไทยถูกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐ 36% จะกระทบต่อตลาดหุ้นไทยมาก คาดว่าจะส่งผลให้ Market EPS ตลาด -3% ถึง -4% จะทำให้เม็ดเงินจากต่างชาติไหลออกทำให้เกิดความเสี่ยงสูง และทำให้ตลาดหุ้นเกิดความผันผวน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ดังนั้นรัฐต้องใช้นโยบายการเงินและการคลังเข้ามาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น  

โดยหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง: หุ้นส่งออก ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ นิคมอุตสาหกรรม และธนาคาร

หุ้นพักเงิน: รับอานิสงส์ดอกเบี้ยลดลง 

  • ดอกเบี้ยลด : KTCMTC
  • High Yield   : ADVANCAP
  • หนี้สูง อาทิ TRUE MINTCPALL
  • Energy Defensive: GULFBCPG
  • Healthcare: BDMSBCHCHG
  • ท่องเที่ยว : CENTELERW
  • นำเข้า (กรณีไทยงดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ อาทิ เทคโนโลยี) : ADVANCCOM7ADVICEINSET
  • นำเข้าก๊าซ : PTTGC GPSCBGRIM

สำหรับตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้า คาดดัชนีแกว่งไซด์เวย์-ไซด์เวย์อัพ ประเมินโมเมนตัมการฟื้นตัวคาดหวังได้ต่อ สถานการณ์การค้าสหรัฐฯ – ชาติอื่นที่กลับมาเข้มข้น  แต่ท้ายที่สุดยังสร้างกดดันเงินเฟ้อและเศรษฐกิจสหรัฐฯ เอง  ทำให้เม็ดเงินลงทุนคาดไหลกลับมาที่ตลาดเกิดใหม่ ทั้งพันธบัตรและตลาดหุ้น โดยเฉพาะจีนที่คาดว่าจะโดดเด่น จากความคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่น่าจะมีออกมาจากการประชุม Politburo หนุนหุ้นกลุ่ม  China Plays (ปิโตรเคมี แพ็กเกจจิ้ง, Logistic)   

ส่วนทิศทางดอกเบี้ยขาลงหนุน (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ High Yield หนี้สูง) รวมถึง หุ้น Domestic อิงภาคบริการที่โมเมนตัมนักท่องเที่ยวกำลังฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด ประเมินแนวต้านแรกที่ 1,140 จุด แนวต้านถัดไปที่ 1,155 จุด  แนวรับแรกที่ 1,113 จุด แนวรับถัดไปที่  1,104 จุด

กลยุทธ์การลงทุนแนะนำหุ้น 

 •  AOT (TP Max Con-39):  นักท่องเที่ยวฟื้นจากจุดต่ำสุดเปิด Upside ประมาณการที่ตลาดปรับลดจำนวนผู้ใช้บริการและรายได้เกี่ยวข้องลง

•  GULF (TP-56.5) : ความเสี่ยงการค้าโลกถ่วงต้นทุนโภคภัณฑ์ ผสาน ดอกเบี้ยขาลงหนุน 

•  SCC (TP Max Con-252) กำไรปกติ 2Q25F บ่งชี้ภาพผ่านจุดต่ำสุด ผสานความต่อเนื่องโอกาสกระตุ้นเศรษฐกิจจีน

  

ปัจจัยที่ติดตาม 

  • 14 ก.ค. ส่งออก - นำเข้าของจีนตลาดคาด 5% y-y และ -0.5% q-q จากเดิมอยู่ที่ 4.8% y-y, -3.4% q-q
  •  15 ก.ค. เงินเฟ้อ CPI มิ.ย. ของสหรัฐฯ  คาด +2.6%y-y, +0.3% q-q  เงินเฟ้อพื้นฐาน คาด +2.9%y-y, +0.2% q-q
  •  17 ก.ค. ยอดค้าปลีกสหรัฐ
  • 18 ก.ค. ดัชนีความเชื่อมั่น มหาวิทยาลัยมิชิแกน เดือนมิ.ย. คาดอยู่ที่ 61.3 จุด จากเดิมอยู่ที่  60.7 จุด
  • การประชุม Politburo ว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ตามที่ตลาดเก็งล่วงหน้า อาทิ ในส่วนภาคอสังหาฯ หรือไม่
  • ตัวเลขเศรษฐกิจจีน เช่น  ผลผลิตภาคอุตฯ คาด +5.6%y-y จากเดิมอยู่ที่  +5.8%y-y  ดัชนีค้าปลีก คาด +6.1%y-y จากเดิมอยู่ที่  +6.4%y-y,  การลงทุนสินทรัพย์คงทน คาด +4.5% ytd y-y จากเดิมอยู่ที่  3.7% ytd y-y  และจีดีพีไตรมาส 2/68  ตลาดคาด 5.1 %y-y, 0.9%q-q
  • การเจรจาการค้าของสหรัฐฯ และคู่ค้าหลังเลื่อนวันบังคับเป็น 1 ส.ค. 
  • การประกาศงบแบงก์  15 ก.ค. หุ้นธนาคารเริ่มรายงานกำไร 2Q25 นำโดย TISCO ตามด้วย TTB และ BBL (18 ก.ค.) จับตาคุณภาพสินทรัพย์ และมุมมองเศรษฐกิจระยะถัดไป

ปิดท้ายที่  วิลาสินี บุญมาสูงทรง”  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก  มองว่า ถ้าสหรัฐฯเก็บภาษี 36% จะกระทบต่อการส่งออกสินค้าไทย โดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์ อาหารทะเล ผลไม้แปรรูป อัญมณี ชิ้นส่วนยานยนต์ สิ่งทอ และทำให้ไทยเสียเปรียบเวียดนามที่ถูกเก็บภาษีเพียง 20% เพราะสินค้าไทยราคาสูงกว่า  โดยเปรียบเทียบและทำให้ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาลดลง นอกจากนี้ยังทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ทำธุรกิจส่งออกได้รับผลกระทบหนัก อาจทำให้บริษัทต้องปลดพนักงานออกหากออร์เดอร์สินค้าลดลงจนส่งผลกระทบต่อรายได้ 

ดังนั้นมองว่าหุ้นไทยสัปดาห์หน้ายังผันผวน จากการเมืองในประเทศ ปัจจัยภาษีทรัมป์ที่อยู่ระหว่างการเจรจาต่อรองกับหลายประเทศรวมถึงไทย ประเมินกรอบการเคลื่อนไหว 1,114-1,128 จุด กลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นได้ประโยชน์จากเที่ยวไทยคนละครึ่ง  AWC , MINT , ERWCENTELSHR   และหุ้น   defensive แนะนำ ADVANCPR9 ,TISCO,BGRIM

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดหุ้นไทยยังต้องเจอปัจจัยลบรุมเร้า แต่หุ้นไทยยังน่าลงทุนในระยะยาว เห็นได้จาก Valuation ถูกมาก และหากดู Market P/E Ratio ย้อนหลัง 10 ปีพบว่า 

  • ปี 2558 อยู่ที่  22.57  เท่า
  • ปี 2559 อยู่ที่  18.55  เท่า
  • ปี 2560 อยู่ที่  19.06  เท่า 
  • ปี 2561 อยู่ที่  14.75  เท่า 
  • ปี 2562 อยู่ที่  19.40  เท่า 
  • ปี 2563 อยู่ที่  28.84  เท่า
  • ปี 2564 อยู่ที่  20.78  เท่า  
  • ปี 2565 อยู่ที่  18.16  เท่า 
  • ปี 2566 อยู่ที่  18.42  เท่า 
  • ปี 2567 อยู่ที่  19.33  เท่า
  • ปี 2568 ปัจจุบัน อยู่ที่  15.05 เท่า ซึ่งต่ำสุดในรอบ 10 ปี 

ภาวะเศรษฐกิจไทยเผชิญความเสี่ยงสูงจากส่งออกที่อาจจะหดตัวลง หลัง “ทรัมป์” ยังยืนตัวเลขภาษีนำเข้าจากไทยสูงถึง 36% ขณะทึ่ตลาดหุ้นไทยคงหลีกเลี่ยงความผันผวนที่จะเข้าปะทะไม่ได้เช่นกัน นักลงทุนจึงต้องกระจายความเสี่ยงในการลงทุน เน้นลงทุนหุ้นพื้นฐานดีมีปันผล พร้อมติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที....

ที่มาข้อมูล : สัมภาษณ์

ที่มารูปภาพ : Getty Images

นักข่าวอาวุโส ประสบการณ์มากกว่า 25ปี ด้านข่าวการเงิน การคลัง การลงทุน