ถอดบทเรียน "หมอบี" เงินบริจาคต้องตรวจสอบได้ บทเรียนใหญ่อินฟลูเอนเซอร์สายบุญ

ถอดบทเรียน "หมอบี" เงินบริจาคต้องตรวจสอบได้ บทเรียนใหญ่อินฟลูเอนเซอร์สายบุญ

จากเคส "หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ" อยากลองชวนทุกคนตั้งคำถามกันหน่อยว่า เชื่อแบบไหนถึงเรียกว่า ศรัทธา และแบบไหนถึงเรียกว่างมงาย แม้เงินบริจาคเท่ากับแรงศรัทธา แต่หากใช้ผิดวัตถุประสงค์โดยไม่แจ้ง  อาจเข้าข่าย ‘ฉ้อโกง’ 

สรุปข่าว

เคสหมอบีทูตสื่อวิญญาณถูกกล่าวหาว่ายักยอกเงินบริจาควัดพระบาทน้ำพุกว่า 200 ล้านบาท กินส่วนแบ่ง 30% ไปใช้ส่วนตัว แม้หมอบีจะปฏิเสธแต่เจ้าอาวาสเองก็สงสัย หากมีหลักฐานการใช้เงินบริจาคผิดวัตถุประสงค์โดยไม่แจ้งผู้บริจาค อาจเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชนตามอาญามาตรา 343 การระดมทุนผ่านบุคคลจำเป็นต้องชี้แจงและแจ้งค่าดำเนินการล่วงหน้า แม้มูลนิธิทั่วโลกจะหักค่าใช้จ่าย 15-35% แต่ไทยยังไม่มีกฎหมายรองรับ เคสนี้สะท้อนความจำเป็นที่ต้องมีระบบควบคุมนักระดมทุนมืออาชีพให้ชัดเจน เพื่อแยกความแตกต่างระหว่างศรัทธากับงมงาย

จากเคส "หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ" อยากลองชวนทุกคนตั้งคำถามกันหน่อยว่า เชื่อแบบไหนถึงเรียกว่า ศรัทธา และแบบไหนถึงเรียกว่างมงาย แม้เงินบริจาคเท่ากับแรงศรัทธา แต่หากใช้ผิดวัตถุประสงค์โดยไม่แจ้ง  อาจเข้าข่าย ‘ฉ้อโกง’ 

เกิดอะไรขึ้น 

หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ กำลังถูกกล่าวหาว่า ยักยอกเงินบริจาค วัดพระบาทน้ำพุ  กินส่วนแบ่ง 30 % นำเงินส่วนหนึ่งไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว ผ่านชื่อบัญชี ใจฟ้าฯ โดยนายเสกสรร ที่หมอบี มีสิทธิ์เบิกถอน แค่คนเดียว 

หลวงพ่ออลงกต เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ แถลงข่าวว่า หมอบีมาช่วยงานวัดในลักษณะจิตอาสา อินฟลูฯ ระดมเงินบริจาคมานับ 10 ปีแล้ว มีคนบริจาคร่วม 100 ล้านจริง หมอบีจะนำเงินสดมาให้หลวงพ่อ เดือนละ 2 ครั้ง 

แต่ก่อนหน้า หมอบี เคยบอกว่าจะสร้างสถานปฏิบัติธรรม จนมาเห็นข่าวเรื่อง บ้านหรูห้าสิบล้าน ถ้าจริงก็ต้องตรวจสอบที่มาของเงิน  

ล่าสุด ตัวหมอบีก็ได้เข้าให้ปากกับ กองปราบฯ กว่า 5 ชั่วโมง และเปิดใจกับสื่อ ยืนยันในความบริสุทธ์ตัวเอง  ยืนยันว่าไม่ได้ยักยอกเงินบริจาคใดๆ   ที่มารายได้ เกิดจากสินน้ำใจที่คนให้เวลาไปช่วย บ้านแค่ 30 ล้านบวกลบ  แต่ที่บ้านทำธุรกิจกงสี พอมีเงินอยู่แล้ว ทุกบาทให้หลวงพ่อหมด ไม่มีการแบ่ง 70-30 แน่นอน

ส่วนด้านคดีความ รองผู้บังคับการปราบปรามเผย ตอนนี้ยังไม่เป็นคดีความ เพราะทางวัดยังไม่ดำเนินการแจ้งความ โดยเรื่องนี้มีผู้มาแจ้งให้ตำรวจตรวจสอบช่วง มี.ค. ว่าพบพิรุธการเบิกถอน หมอบี จากบัญชีรับบริจาคผ่านเฟซบุค ถอนกว่า 100 ครั้ง ยอดรวมกว่า 200 ล้าน ในลักษณะ การถอนเเล้วเอาให้เจ้าอาวาสไม่ครบตามเบิก 

เบื้องต้นก็พบว่ามีมูลกระทำความผิด  ส่วนเจ้าอาวาสหรือคณะกรรมการวัด จะมีความผิดด้วยหรือไม่ จะต้องหาข้อพิสูจน์ให้ได้ก่อนว่า หมอบีทำผิดจริงหรือไม่ และต้องดูเจตนา 

ถามว่าหมอบี มีความผิดไหม?

จะผิด ถ้ามีหลักฐานที่ยืนยันว่า มีการนำเงินบริจาค ไปใช้จ่าย เรื่องส่วนตัว และ ไม่แจ้งให้ผู้บริจาครับทราบแต่แรกก่อน ว่าจะมีการ หักค่าใช้จ่าย อาจเข้าข่าย ฉ้อโกงประชาชนได้เพราะใช้จ่ายผิดวัตถุประสงค์ที่แจ้ง ตามอาญามาตรา 343 

“ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงประชาชนด้วยข้อความเท็จ หรือปกปิดความจริง…เพื่อให้บุคคลนั้น ส่งมอบทรัพย์ให้ตน หรือผู้อื่น”

คดีฉ้อโกงเป็นคดีอาญาแผ่นดิน ที่แม้ว่าทางวัด หรือ เจ้าอาวาส ที่เป็นผู้เสียหายจะไม่แจ้งความ แต่กรณีที่ตำรวจพบหลักฐานชัดเจน ก็สามารถดำเนินคดี ได้ทันที 

ส่วนเงินบริจาค ถือเป็น ทรัพย์สินวัด ที่เจ้าอาวาสต้องดูแล หากรู้ว่ามีความผิด แต่กลับนิ่งเฉย ไม่แจ้งความอาจเข้าข่าย ละเว้นหน้าที่ได้เช่นกัน

กรณีรับบริจาคผ่าน “บุคคล” (เช่น Influencer, หมอดู, Youtuber)

  • ต้องได้รับอนุญาต จากองค์กรที่เกี่ยวข้อง
  • ต้องชี้แจงว่า “บัญชีนี้เป็นบัญชีส่วนตัวเพื่อระดมทุนให้…”
  • ต้องแจ้งล่วงหน้าอย่างชัดเจน ว่าจะหักค่าดำเนินการเท่าไหร่ (ถ้ามี)
  • ห้ามใช้ถ้อยคำคลุมเครือหรือชักจูงให้เข้าใจผิด (อาจเข้าข่าย ฉ้อโกงประชาชน)

จริง ๆ มูลนิธิการกุศลต่าง ๆ ทั่วโลก ก็มักมีการ หักค่าใช้จ่ายอยู่แล้วตั้งแต่ 15 - 35% เพียงแต่ ประเทศไทย  ไม่มีกฎหมายมารองรับ และเมื่อเกี่ยวกับ วัด ศาสนา เราจะรู้สึกว่า ธุรกิจ กับ ศรัทธา ไม่ควรมาอยู่ด้วยกัน แต่อันที่จริงจะวงการไหน ก็จำเป็นต้องใช้เงิน 

Professional Fundraiser นักระดมทุนมืออาชีพ คือมีทั้งความเก่งในการโน้มน้าวใจคน มีจิตวิทยา บุคลิกดี รู้การตลาด ซึ่งจะช่วยองค์กรต่างๆ ระดมทุนได้เป็นร้อยล้าน และต้องมีการขอใบประกอบอาชีพ รัฐบาลจะเป็นผู้ออกให้ อยู่ภายใต้การควบคุมตามกฎหมาย 

ที่มาข้อมูล : TNN Online รวบรวม

ที่มารูปภาพ : งมงาย สไตล์หมอบี