วิเคราะห์สงครามชิปปะทุ ทรัมป์งัด “พลัง 4 ประสาน” ดึงโรงงานชิปมาสหรัฐฯ

วิเคราะห์สงครามชิปปะทุ ทรัมป์งัด “พลัง 4 ประสาน” ดึงโรงงานชิปมาสหรัฐฯ

นโยบายของทรัมป์ในการขึ้นภาษีนำเข้าชิปเป็น 100% มีเป้าหมายหลักคือการดึงฐานการผลิตชิปและเซมิคอนดักเตอร์กลับมายังสหรัฐอเมริกา เพราะเขาถือว่าอุตสาหกรรมชิปเป็นอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคงของสหรัฐฯ


สรุปข่าว

ประธานาธิบดีทรัมป์เปิด"สงครามชิป"ด้วยนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าชิป 100% เพื่อดึงอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์กลับสู่สหรัฐฯ ใช้กลยุทธ์ "พลัง 4 ประสาน" ประกอบด้วย: 1) เก็บภาษีนำเข้าหนัก 2) กฎหมาย OBBA ลดหย่อนภาษีบริษัท 3) แผน AI Action Plan ส่งเสริม AI อย่างเต็มที่ 4) ข้อตกลงภาษี 0% กับชาติอื่น เป้าหมายคือเปลี่ยนซัพพลายเชนโลกให้สหรัฐฯเป็นศูนย์กลาง โดยเฉพาะต่อต้านจีนที่กำลังแซงหน้าด้าน AI และหุ่นยนต์ ประเทศเอเชียผู้ผลิตชิปอย่างไต้หวัน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น รวมถึงไทยคาดได้รับผลกระทบ

นโยบายของทรัมป์ในการขึ้นภาษีนำเข้าชิปเป็น 100% มีเป้าหมายหลักคือการดึงฐานการผลิตชิปและเซมิคอนดักเตอร์กลับมายังสหรัฐอเมริกา เพราะเขาถือว่าอุตสาหกรรมชิปเป็นอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคงของสหรัฐฯ


อาจารย์สมภพ มานะรังสรรค์ บอกกับรายการคนชนข่าว TNN ช่อง 16 มองว่านโยบายนี้เป็นกลยุทธ์ที่เรียกว่า "พลัง 4 ประสาน" เพื่อดึงดูดอุตสาหกรรมชิป (และอาจรวมถึงอุตสาหกรรมยาด้วย)ให้กลับมายังสหรัฐฯ อย่างรวดเร็ว

1.-การเก็บภาษีนำเข้าอย่างหนัก: การเรียกเก็บภาษีที่สูงมาก เช่น 100% สำหรับการนำเข้าชิป เพื่อทำให้ต้นทุนการนำเข้าเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

2.-กฎหมาย "One Big Beautiful Act" (OBBA): กฎหมายล่าสุดของทรัมป์ที่จะให้ประโยชน์อย่างมากแก่บริษัทที่ลงทุนในสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือภาษีเงินได้นิติบุคคล

3.-แผนปฏิบัติการส่งเสริม AI (AI Action Plan): แผนความยาว 28 หน้าที่ทรัมป์และทีมงานเพิ่งประกาศออกมา เพื่อส่งเสริมและเปิดเสรีการผลิตและการดำเนินงานด้าน AI ในอเมริกาอย่างเต็มที่ โดยจะไม่มีการก้าวก่ายจากรัฐบาลท้องถิ่นหรือรัฐบาลกลาง และจะส่งเสริมการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ AI อย่างจริงจัง นอกจากนี้ แผนดังกล่าวยังรวมถึงการรณรงค์สร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ โดยมีการร่วมลงทุนอย่างมากจากบริษัทต่างๆ เช่น OpenAI ร่วมกับ SoftBank และ Oracle เพื่อตั้ง Data Center กระจายทั่วสหรัฐฯ และ Nvidia ร่วมกับ xAI ของ Elon Musk เพื่อสร้าง Data Center เช่นกัน

4.-ข้อตกลงภาษี 0% จากชาติอื่น: การที่ชาติอื่น ๆ ให้คำมั่นสัญญากับทรัมป์ว่าจะเปิดตลาดลดภาษีเหลือ 0% ให้กับการส่งออกของอเมริกา จะสร้างโอกาสในการโยกย้ายซัพพลายเชน

กลยุทธ์นี้มีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนซัพพลายเชนทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเซมิคอนดักเตอร์ จากรูปแบบเดิมที่เป็นซัพพลายเชนระดับโลกซึ่งมีหลายสิบประเทศร่วมมือกัน ให้กลายเป็น ซัพพลายเชนที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นศูนย์กลาง (US-Centered Supply Chain)

ในอดีตสหรัฐฯ เคยเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกชิปรายใหญ่ที่สุดในโลก แต่ปัจจุบันส่วนแบ่งตลาดของสหรัฐฯ เหลือไม่ถึง 10% โดยการผลิตส่วนใหญ่ย้ายไปยังประเทศในเอเชียตะวันออก เช่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน

ทรัมป์กำลังผลักดันให้การผลิตเหล่านี้กลับคืนมา แม้ว่าก่อนหน้านี้หลายคนจะมองว่าค่าแรงที่แพงและทักษะแรงงานในสหรัฐฯอาจเป็นปัญหา แต่การเปลี่ยนแปลงไปสู่ ระบบอัตโนมัติและ "เทคโนโลยีที่ไม่ต้องใช้คน" (unmanned technology) เช่น หุ่นยนต์และเครื่องจักรอัตโนมัติ ตามที่ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ได้กล่าวถึง "Physical AI" คาดว่าจะช่วยลดความเสียเปรียบด้านค่าแรงงานที่สูงในสหรัฐฯได้ ด้วยการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมที่เน้นเทคโนโลยีเข้มข้น (Technology intensive industry)

เป้าหมายหลักและผู้ได้รับผลกระทบหนักที่สุด จากนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าชิปเซมิคอนดักเตอร์ 100% ของทรัมป์คือ จีน แผน AI Action Plan ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าสหรัฐฯ จะต้องไม่แพ้จีนในการแข่งขัน เนื่องจากกังวลว่าจีนจะแซงหน้าอเมริกาในด้าน IT และ AI โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจีนมีการจดทะเบียนสิทธิบัตรด้านหุ่นยนต์และ AI นำหน้าสหรัฐฯ ไปมาก

นโยบายนี้คาดว่าจะนำไปสู่การ "แยกขั้ว" หรือ "ลดความเสี่ยง" จากจีนอย่างจริงจัง ทางจีนเองก็ตระหนักถึงความจำเป็นในการแยกขั้วและพึ่งพาตนเองในด้าน IT เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากแสดงความกังวลเกี่ยวกับ "ความเสี่ยงจากช่องโหว่ (Blackdoor risks)" (การติดตามข้อมูล การแทรกแซง) จากชิปของบริษัทอย่าง Nvidia (เช่น ชิปรุ่น H20 ที่ผลิตตามความต้องการเฉพาะของบริษัทจีน)

ชาติอื่น ๆ ที่เคยผลิตและส่งออกชิปไปทั่วโลก รวมถึงส่งออกไปยังสหรัฐฯ เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนามก็คาดว่าจะประสบปัญหาอย่างมากจากนโยบายนี้ ประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ก็อาจได้รับผลกระทบเช่นกัน

ด้าน APPLE ไหวตัวทันประกาศลงทุนในสหรัฐฯเพิ่ม 100,000 ล้านเหรียญ จากเดิม 500,000 ล้านเหรียญ กลายเป็น 600,000 ล้านเหรียญ ในช่วง 4 ปี หุ้นแอปเปิ้ลช่วยประคองดัชนีหุ้นทั้ง 3 กระดานของสหรัฐฯให้ขึ้นต่อ

ที่มาข้อมูล : รายการคนชนข่าว ทาง TNN ช่อง 16

ที่มารูปภาพ : Reuters and Freepik