หุ้นไทยไปต่อหรือพักฐาน! ฟันด์โฟลว์ไหลเข้าดันดัชนีดีดขึ้นกว่า 200 จุด ตัวไหนปลอดภัย เช็กเลย?

หุ้นไทยไปต่อหรือพักฐาน!   ฟันด์โฟลว์ไหลเข้าดันดัชนีดีดขึ้นกว่า 200 จุด ตัวไหนปลอดภัย เช็กเลย?

ภาพรวมตลาดหุ้นไทยและเพื่อนบ้านในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.ค.) ส่วนใหญ่เผชิญแรงขาย นำโดยอินเดีย 9,200 ล้านเหรียญสหรัฐ รองลงมาคือเกาหลีใต้ 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ อินโดนีเซีย  3,600 ล้านเหรียญสหรัฐ ไทย 2,000  ล้านเหรียญสหรัฐ เวียดนาม 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ ฟิลิปปินส์ 600 ล้านเหรียญสหรัฐ ยกเว้นไต้หวันซื้อสุทธิ 1,900 ล้านเหรียญสหรัฐ

ถ้าหันมาดูเฉพาะเดือนก.ค.หลายประเทศเริ่มมีฟันด์โฟลว์ไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้น เช่น ไต้หวันซื้อสุทธิ 7,800 ล้านเหรียญสหรัฐ เกาหลีใต้  3,400   ล้านเหรียญสหรัฐ ไทยซื้อสุทธิ   400  ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 16,000 ล้านบาท  และเวียดนามซื้อสุทธิ 400  ล้านเหรียญสหรัฐ ยกเว้นอินเดียขายสุทธิ 1,000   ล้านเหรียญสหรัฐ อินโดนีเซีย 400  ล้านเหรียญสหรัฐ และฟิลิปปินส์ 24 ล้านเหรียญสหรัฐ 

“การเข้าซื้อหุ้นไทยของนักลงทุนเดือนก.ค. 16,000 ล้านบาท ถือว่าสูงสุดเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 20 เดือน จากครั้งแรกเกิดขึ้นในเดือน ก.ย. 67 จากการเก็งกำไรกองทุนวายุภักษ์มีเม็ดเงินไหลเข้า 29,000 ล้านบาท” 

โดยตลาดหุ้นไทยในเดือนส.ค.จะฟื้นต่อเนื่องหรือไม่ จากเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่เริ่มไหลกลับเข้าตลาดหุ้นเอเชีย ท่ามกลางทรัมป์ขึ้นภาษีกับนานาประเทศ และทิศทางดอกเบี้ยขาลง วันนี้ TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูตลาดทุนกันค่ะ

 เริ่มจาก “ภราดร  เตียรณปราโมทย์" ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส ฉายภาพว่า การเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยและเพื่อนบ้านในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.ค.)นั้น เกาหลีใต้   +35%  เวียดนาม +19% ไต้หวัน +12% อินโดนีเซีย +6% อินเดีย +4 % สวนทางไทย -11% ฟิลิปปินส์ -4% ซึ่งตลาดหุ้นไทยถือว่า แย่สุด จาก 7 ข่าวลบ ทั้งปมคลิปเสียงหลุด, ข้อพิพาทไทย-กัมพูชา, สงครามตะวันออกกลาง, แรงขาย LTF  หลังครบกำหนดไถ่ถอนแล้ว 1 แสนล้านบาท, แผ่นดินไหว และโรบอทเทรด ดังนั้นมองว่าหุ้นไทยยังมีรูม หลังผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และ Valuation ไม่แพงทยอยสะสมหุ้นได้ในบางส่วน PBV  1.2 เท่า  Dividend Yield 3.9% ต่อปี

สำหรับการเคลื่อนไหวของหุ้นเอเชียเริ่มฟื้นตัว สะท้อนจากสถิติตั้งแต่ 1-7 ส.ค.โดดเด่นบวกกันได้ดี เช่น เวียดนามบวก 4.4%  ไทย 1.3% ฟิลิปปินส์บวก 1.5% อินโดนีเซียบวก 0.9% หลังจากที่ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีกับหลายประเทศทำให้เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามาในตลาดหุ้นเอเชียเพิ่มขึ้น โดยต่างชาติซื้อหุ้นไทยมากสุด 196 ล้านเหรียญสหรัฐเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย   รองลงมาเป็นอินโดนีเซียซื้อสุทธิ   39 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ฟิลิปปินส์ขายสุทธิ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ   เวียดนามขายสุทธิ 446  ล้านเหรียญสหรัฐ 

ส่วนหุ้นไทยในสัปดาห์หน้า คาดว่าเผชิญความเสี่ยง 3 ด้าน ประกอบด้วย 1. ในช่วง 7 สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดไทยปรับขึ้นแบบไม่พัก 206 จุด ดัชนีแตะที่ระดับ 1,259 จุด หรือเพิ่มขึ้น 19.5%  2. เห็นสัญญาณทางเทคนิคเข้าสู่ภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) ทำให้หุ้นไทยจะย่อพักฐาน  และ 3.การพิจารณาคดีทางการเมืองของนายทักษิณ ชินวัตร มาตรา 112 และชั้น 14   รวมถึงคดีน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเรื่องปมคลิปเสียงหารือนายฮุน เซนหลุด

นอกจากนี้ตลาดจับตาผลประชุมกนง.คาดว่าจะปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25%  จะหนุนให้  P/E ขึ้น 0.67 เท่า และ ดัน SET INDEX  ขึ้น 57 จุด  แตะที่ระดับ 1,433 จุด หลังทิศทางดอกเบี้ยโลกขาลง ล่าสุด ธนาคารกลางอังกฤษปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% 

ส่วนธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดคาดว่าจะปรับลดดอกเบี้ยลง 3 ครั้งในปีนี้  รวมถึงติดตามการประชุมสภาฯ เพื่อพิจารณาร่างงบประมาณ 69 วาระ 2 และวาระ 3 คาดว่าจะโหวตผ่านไปได้ด้วยดี ซึ่งหากผ่านฉลุยจะส่งผลดีต่อหุ้นรับเหมาและวัสดุก่อสร้าง เช่น CK,TASCO,SCC, STECON รวมถึงเกาะติดเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เดือนก.ค.  คาดการณ์ว่าโต 2.8% จากเดิมมิ.ย.อยู่ที่ 2.7% และจีดีพีของไทยที่สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะประกาศในวันที่ 18 ส.ค.นี้

กลยุทธ์ลงทุนแนะนำหุ้นได้ประโยชน์นดอกเบี้ยขาลง MTC ราคาเป้าหมาย 45 บาท KTC เก็งกำไรดอกเบี้ยขาลง เข้าดัชนี MSCI SMALL CAP หุ้นปันผลสูง  ICHI คาดปันผลสูง 9.6% ราคาเป้าหมาย 12 บาท หุ้นอิงการเมือง CK ราคาเป้าหมาย 21 บาท กรอบการเคลื่อนไหวดัชนีแนวรับ 1,240 จุด แนวต้าน 1,280-1,300 จุด 

 https://www.tnnthailand.com/tnnexclusive/207799/

สรุปข่าว

ตลาดหุ้นไทยช่วง 7 สัปดาห์ที่ผ่านมาปรับขึ้นมา 206 จุด ดัชนีแตะที่ระดับ 1,259 จุด หรือเพิ่มขึ้น 19.5% หลังจากในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาต่างชาติเทขายหุ้นไทยไปกว่า 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โบรกประเมินสัปดาห์หน้าดัชนีเสี่ยงพักฐาน ชูหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะ รับประโยชน์ดอกเบี้ยขาลง

ภาพรวมตลาดหุ้นไทยและเพื่อนบ้านในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.ค.) ส่วนใหญ่เผชิญแรงขาย นำโดยอินเดีย 9,200 ล้านเหรียญสหรัฐ รองลงมาคือเกาหลีใต้ 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ อินโดนีเซีย  3,600 ล้านเหรียญสหรัฐ ไทย 2,000  ล้านเหรียญสหรัฐ เวียดนาม 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ ฟิลิปปินส์ 600 ล้านเหรียญสหรัฐ ยกเว้นไต้หวันซื้อสุทธิ 1,900 ล้านเหรียญสหรัฐ

ถ้าหันมาดูเฉพาะเดือนก.ค.หลายประเทศเริ่มมีฟันด์โฟลว์ไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้น เช่น ไต้หวันซื้อสุทธิ 7,800 ล้านเหรียญสหรัฐ เกาหลีใต้  3,400   ล้านเหรียญสหรัฐ ไทยซื้อสุทธิ   400  ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 16,000 ล้านบาท  และเวียดนามซื้อสุทธิ 400  ล้านเหรียญสหรัฐ ยกเว้นอินเดียขายสุทธิ 1,000   ล้านเหรียญสหรัฐ อินโดนีเซีย 400  ล้านเหรียญสหรัฐ และฟิลิปปินส์ 24 ล้านเหรียญสหรัฐ 

“การเข้าซื้อหุ้นไทยของนักลงทุนเดือนก.ค. 16,000 ล้านบาท ถือว่าสูงสุดเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 20 เดือน จากครั้งแรกเกิดขึ้นในเดือน ก.ย. 67 จากการเก็งกำไรกองทุนวายุภักษ์มีเม็ดเงินไหลเข้า 29,000 ล้านบาท” 

โดยตลาดหุ้นไทยในเดือนส.ค.จะฟื้นต่อเนื่องหรือไม่ จากเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่เริ่มไหลกลับเข้าตลาดหุ้นเอเชีย ท่ามกลางทรัมป์ขึ้นภาษีกับนานาประเทศ และทิศทางดอกเบี้ยขาลง วันนี้ TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูตลาดทุนกันค่ะ

 เริ่มจาก “ภราดร  เตียรณปราโมทย์" ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส ฉายภาพว่า การเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยและเพื่อนบ้านในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.ค.)นั้น เกาหลีใต้   +35%  เวียดนาม +19% ไต้หวัน +12% อินโดนีเซีย +6% อินเดีย +4 % สวนทางไทย -11% ฟิลิปปินส์ -4% ซึ่งตลาดหุ้นไทยถือว่า แย่สุด จาก 7 ข่าวลบ ทั้งปมคลิปเสียงหลุด, ข้อพิพาทไทย-กัมพูชา, สงครามตะวันออกกลาง, แรงขาย LTF  หลังครบกำหนดไถ่ถอนแล้ว 1 แสนล้านบาท, แผ่นดินไหว และโรบอทเทรด ดังนั้นมองว่าหุ้นไทยยังมีรูม หลังผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และ Valuation ไม่แพงทยอยสะสมหุ้นได้ในบางส่วน PBV  1.2 เท่า  Dividend Yield 3.9% ต่อปี

สำหรับการเคลื่อนไหวของหุ้นเอเชียเริ่มฟื้นตัว สะท้อนจากสถิติตั้งแต่ 1-7 ส.ค.โดดเด่นบวกกันได้ดี เช่น เวียดนามบวก 4.4%  ไทย 1.3% ฟิลิปปินส์บวก 1.5% อินโดนีเซียบวก 0.9% หลังจากที่ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีกับหลายประเทศทำให้เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามาในตลาดหุ้นเอเชียเพิ่มขึ้น โดยต่างชาติซื้อหุ้นไทยมากสุด 196 ล้านเหรียญสหรัฐเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย   รองลงมาเป็นอินโดนีเซียซื้อสุทธิ   39 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ฟิลิปปินส์ขายสุทธิ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ   เวียดนามขายสุทธิ 446  ล้านเหรียญสหรัฐ 

ส่วนหุ้นไทยในสัปดาห์หน้า คาดว่าเผชิญความเสี่ยง 3 ด้าน ประกอบด้วย 1. ในช่วง 7 สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดไทยปรับขึ้นแบบไม่พัก 206 จุด ดัชนีแตะที่ระดับ 1,259 จุด หรือเพิ่มขึ้น 19.5%  2. เห็นสัญญาณทางเทคนิคเข้าสู่ภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) ทำให้หุ้นไทยจะย่อพักฐาน  และ 3.การพิจารณาคดีทางการเมืองของนายทักษิณ ชินวัตร มาตรา 112 และชั้น 14   รวมถึงคดีน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเรื่องปมคลิปเสียงหารือนายฮุน เซนหลุด

นอกจากนี้ตลาดจับตาผลประชุมกนง.คาดว่าจะปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25%  จะหนุนให้  P/E ขึ้น 0.67 เท่า และ ดัน SET INDEX  ขึ้น 57 จุด  แตะที่ระดับ 1,433 จุด หลังทิศทางดอกเบี้ยโลกขาลง ล่าสุด ธนาคารกลางอังกฤษปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% 

ส่วนธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดคาดว่าจะปรับลดดอกเบี้ยลง 3 ครั้งในปีนี้  รวมถึงติดตามการประชุมสภาฯ เพื่อพิจารณาร่างงบประมาณ 69 วาระ 2 และวาระ 3 คาดว่าจะโหวตผ่านไปได้ด้วยดี ซึ่งหากผ่านฉลุยจะส่งผลดีต่อหุ้นรับเหมาและวัสดุก่อสร้าง เช่น CK,TASCO,SCC, STECON รวมถึงเกาะติดเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เดือนก.ค.  คาดการณ์ว่าโต 2.8% จากเดิมมิ.ย.อยู่ที่ 2.7% และจีดีพีของไทยที่สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะประกาศในวันที่ 18 ส.ค.นี้

กลยุทธ์ลงทุนแนะนำหุ้นได้ประโยชน์นดอกเบี้ยขาลง MTC ราคาเป้าหมาย 45 บาท KTC เก็งกำไรดอกเบี้ยขาลง เข้าดัชนี MSCI SMALL CAP หุ้นปันผลสูง  ICHI คาดปันผลสูง 9.6% ราคาเป้าหมาย 12 บาท หุ้นอิงการเมือง CK ราคาเป้าหมาย 21 บาท กรอบการเคลื่อนไหวดัชนีแนวรับ 1,240 จุด แนวต้าน 1,280-1,300 จุด 

 https://www.tnnthailand.com/tnnexclusive/207799/


ด้าน“ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์" AISA, CFTe ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย  บล.กรุงศรี ประเมินว่า  ตลาดหุ้นไทย เดือน ส.ค.   คาดแกว่ง “Sideways Up”  โดยคงมุมมองการฟื้นตัว SET ที่มีแรงขับเคลื่อนจากการกลับสถานะหุ้น (Re-rating) ต่อเนื่อง ภาพหลักยังอยู่ที่สหรัฐฯอยู่ในช่วงรอยต่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ แม้ปัจจุบันเศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นภาพประคองได้ 

อย่างไรก็ตาม เริ่มมีสัญญาณอ่อนลงในหลายจุด อาทิ การจ้างงาน การบริโภค ฯลฯ ประเมินเศรษฐกิจที่จะเริ่มอ่อนลงจากจุดพีค กอปรกับ ตลาดหุ้นสหรัฐฯที่มี Premium Valuation  เราประเมินเม็ดเงินบางส่วนจะยังเดินหน้าสลับกระจายความเสี่ยงสู่ EM Assets โดยแรงหนุนจะมาไทย

ทั้งนี้เป็นผลมาจากความชัดเจนระดับภาษีเท่าเทียมที่ไทยได้  คือ อัตรา 19%  เท่ากับประเทศในภูมิภาค มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย  และดีกว่า บราซิล 50% ลาว 40%   อินเดีย 25 % เวียดนาม 20%  หนุนทั้ง Fund Flows และภาพบวกเชิงเปรียบเทียบเศรษฐกิจ 

ส่วนทิศทางตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้า เปิดทำการ 3 วัน โดยตลาดให้ความสำคัญการประชุม กนง. วันที่ 13 ส.ค. คาดลดอัตราดอกเบี้ย 0.25%   จาก 1.75% มาอยู่ที่ 1.5% หลังเงินเฟ้อเดือนก.ค.ติดลบ 0.7% 

ขณะเดียวกันศูนย์วิจัยกรุงศรีประเมินว่า  ช่วงที่เหลือของปีนี้จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง รวมเป็นการปรับลด 0.5%   โดยสัญญาณชี้นำดอกเบี้ยลง คือ  Thai Bond yields 1 ปี ล่าสุดลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ 1.382% ต่ำสุดตั้งแต่ปลาย ม.ค.66   และต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.75%   หากลดดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาด ประเมิน   ทุก ๆ ดอกเบี้ยที่ลดลง 0.25%   จะบวกต่อ SET ประมาณ 50-55 จุด

 แต่ในทางตรงข้ามหาก กนง.ยังไม่ลดดอกเบี้ยอาจจะเกิดการ Sell on fact หรือขายหุ้นระยะสั้น หลังจาก SET Index ขึ้นมาจาก low ประมาณ 19% หรือ 200 จุด  ซึ่งหาก กนง. มีมติไม่เป็นเอกฉันท์มองว่า ตลาดจะค่อย ๆ ฟื้นตัวและปรับขึ้น  โดยยังคงมุมมองแนวต้านสำคัญ แรก 1,295 จุด แนวต้านถัดไป 1,330 จุด แนวรับแรกที่ 1,250 จุด   แนวรับถัดไปที่  1,231 จุด 

 นอกจากนี้ติดตามรายงานตัวเลขอัตราเงินเฟ้อสหรัฐ   และรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในช่วงโค้งสุดท้าย ระยะสั้นเลือกเก็งกำไร หุ้นที่คาดจะประกาศ กำไร 2Q25F จะออกมาดี CBG  (KSS คาดโต 10%y-y ,ทรงตัว q-q ) GULF ( เติบโต 50%y-y, 32%q-q)  BBIK (เติบโต74.5%y-y, ทรงตัวq-q) CPF  (เติบโต 49%y-y, 21%q-q)

PLANB (เติบโต 2%y-y, 40%q-q) BCH (เติบโต 20%y-y, 3%q-q) KLINIQ (เติบโต20%y-y, 5%q-q) LH (เติบโต41%y-y, 71%q-q) ITEL (เติบโต31%y-y, 1%q-q) TTW (เติบโต 26%y-y, 17%q-q) ICHI (เติบโต 16%y-y, 80%q-q) MAGURO (เติบโต156%y-y, 2%q-q) CHG (เติบโต 20%y-y, 3%q-q) TASCO (เติบโต332%y-y, -4%q-q) TFG (Consensus คาด 197%y-y, 25%q-q)

หุ้นโดยเด่นสัปดาห์แนะนำ

  •  KTC  ราคาเป้าหมาย 40  บาท  ปัจจัยหนุนคือ เข้า MSCI Small cap ราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปี  -41% ยังขึ้นไม่มากเมื่อเทียบกับ SET Index -11% และทิศทางผลประกอบการยังดี ผสานปันผล 5%   
  •  GULF  ราคาเป้าหมาย 56.50 บาท  ราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปี  ยังขึ้นไม่มาก -15.8%ytd    เงินบาทแข็งค่า 32.3 +/- บาท หนุนต่อบริษัท และเป็น 1 ในบริษัทที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง

  


ฝั่ง วิลาสินี บุญมาสูงทรง” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก  มองว่า   หุ้นไทยสัปดาห์หน้ามีโอกาส Sideway ออกข้าง หลังเปิดตลาดจากหยุดยาว ประกอบกับนักลงทุนยังติดตามการประกาศงบของบริษัทจดทะเบียนที่จะสิ้นสุดในสัปดาห์นี้ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงต่อเนื่องกดดันหุ้นกลุ่มพลังงาน มองกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนี 1,240-1,280 จุด

โดยปัจจัยที่ติดตามคือประชุมกนง. คาดว่าจะตรึงดอกเบี้ยไว้ที่ 1.75%  เนื่องจากภาระหนี้ครัวเรือนสูง แม้ลดดอกเบี้ยลงแบงก์ก็ยังไม่ปล่อยสินเชื่อเพิ่ม เพราะกังวลปัญหาหนี้เสียที่อาจจะเพิ่มขึ้น ดังนั้นมองว่ากนง.น่าจะปรับลดดอกเบี้ยในเดือนต.ค. เพื่อรอดูสถานการณ์เศรษฐกิจและเป็นช่วงที่ผู้ว่าธปท.คนใหม่รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ

นอกจากนี้เกาะติดการประกาศงบไตรมาส 2 /68 กลุ่มเรียลเซกเตอร์  วันที่ 18 ส.ค. สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แถลง GDP ไตรมาส 2/68 สภาฯ พิจารณางบประมาณปี 69 วาระ 2 และวาระ 3  รวมถึงศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในคดีนายทักษิณ ชินวัตร จำเลยในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112  กลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นที่เข้าคำนวณ MSCI Global Small Cap คือ KTCHMPRO

ปิดท้าย “อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานวิเคราะห์กลยุทธ์   บล.ทิสโก้ มองว่า ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าคาดว่าพักฐาน  เนื่องจากตลาดรอดูความชัดเจนของการประชุมกนง. ประเมินว่าจะตรึงดอกเบี้ยไว้ที่ 1.75%  เพื่อเก็บกระสุนไว้ก่อน  เพราะยังไม่เห็นผลกระทบการปรับขึ้นภาษีของทรัมป์ 19% อย่างชัดเจน แต่เชื่อว่าประชุมรอบนี้มติไม่เป็นเอกฉันท์  และประเมินว่าจะปรับลดลงในรอบประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 8 ต.ค. และ 17 ธ.ค. นี้  หลังนายวิทัย   รัตนากร เป็นผู้ว่าธปท.คนใหม่  ส่วนจีดีพีปีนี้ประเมินไว้ที่ 1.6% มีโอกาสทบทวนใหม่ แต่ต้องรอดูจีดีพีไตรมาส 2 ที่จะประกาศในวันที่ 18 ส.ค.นี้ก่อน 

 นอกจากนี้ตลาดกังวลกรณีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์   ประธานาธิบดีสหรัฐมีแผนเก็บภาษีชิป   เซมิคอนดักเตอร์  ภาษียา และจากสินค้าอื่น ๆ  เพิ่มเติม ซึ่งไม่รู้ว่าจะเริ่มวันไหน ดังนั้นกรอบดัชนีแนวรับที่ 1,240 จุด แนวต้านแรกที่  1,280 จุด และแนวต้านถัดไปที่ 1,300 จุด 

“ช่วง 7 สัปดาห์ที่ผ่านมาหุ้นไทยขึ้น 200 จุดโอกาสจะขึ้น 8 สัปดาห์ติดต่อกันมีเพียง 2.3% น้อยมาก ขณะที่ Fund Flow  ต่างชาติไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยแล้วประมาณ 4,000 ล้านบาท” 

สำหรับปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวังการเมือง กรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดีน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ปมคลิปเสียงหลุดว่าจะตัดสินเมื่อไหร่ทำให้สร้างความกังวลต่อตลาด   กลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นที่งบออกมาเด่นและปันผลดี EGCO   ราคาเป้าหมาย 123 บาท  หุ้น TASCO ราคาเป้าหมาย  16.30 บาท

แม้ตลาดหุ้นไทยจะเริ่มมีความหวังกลับมาในช่วงนี้ แต่ในห้วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเปราะบาง และมีความไม่แน่นอนทางการเมือง ประกอบกับปัจจัยลบจากต่างประเทศ ยังรุมเร้าอยู่ ดังนั้นการลงทุนต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น และกระจายพอร์ตลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต....

ที่มาข้อมูล : สัมภาษณ์

ที่มารูปภาพ : Getty Images

นักข่าวอาวุโส ประสบการณ์มากกว่า 25ปี ด้านข่าวการเงิน การคลัง การลงทุน