นักข่าวเสียชีวิตมากกว่า 270 คนในฉนวนกาซา มากสุดในทุกสงครามนับแต่ปี 1800

นักข่าวเสียชีวิตมากกว่า 270 คนในฉนวนกาซา มากสุดในทุกสงครามนับแต่ปี 1800

เป็นอีกครั้งที่เราเห็นข่าวการสูญเสีย และเสียชีวิตในกาซา โดยเฉพาะกับอาชีพนักข่าว และสื่อมวลชน ซึ่งล่าสุด ในวันที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวและทีมงานข่าวของสำนักข่าวอัลจาซีรา 5 คนเสียชีวิต จากการโจมตีของอิสราเอล บริเวณเต็นท์ที่พักผู้สื่อข่าวในฉนวนกาซา ด้านนอกของทางเข้าโรงพยาบาล อัลชีฟา ในกาซาซิตี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตรวมทั้งหมด 7 คน 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อิสราเอลมุ่งเป้าไปที่นักข่าว ที่รายงานข่าวสงครามในฉนวนกาซา โดยสำนักข่าว อัลจาซีราเองก็รายงานว่า มีนักข่าวในสำนักข่าวของตนอย่างน้อย 5 รายที่ถูกสังหารก่อนหน้านี้ และจากตัวเลขอ้างอิงของ คณะกรรมการคุ้มครองนักข่าว (CPJ), สหพันธ์นักข่าวนานาชาติ (IFJ) และอัลจาซีรานั้น เชื่อว่าตั้งแต่สงครามรอบใหม่เกิดขึ้นเมื่อ 7 ตุลาคม 2023 มีสื่อที่ถูกสังหารในสงครามนี้อย่างน้อย 270 รายแล้ว

ตัวเลขนี้ทำให้สมรภูมิสงครามในกาซา กลายเป็นสงครามที่นองเลือดของนักข่าวมากที่สุด โดยอ้างอิงจากโครงการ Costs of War ของมหาวิทยาลัยบราวน์ นั้น จะเห็นว่า นักข่าวที่เสียชีวิตในกาซานั้น มากกว่าในสงครามกลางเมืองสหรัฐฯ, สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2, สงครามเกาหลี,  สงครามเวียดนาม, สงครามในอดีตยูโกสลาเวีย และสงครามหลัง 9/11 ในอัฟกานิสถาน มากกว่าจำนวนสื่อที่เสียชีวิตในสงครามใหญ่ นับตั้งแต่ปี 1800 

ตามรายงานของ Reporters Without Borders ปี 2024 ถือว่าเป็นปีที่มีนักข่าวเสียชีวิตมากที่สุด คือ มากกว่า 120 ราย และตั้งแต่เข้าปี 2025 มานั้น ก็มีนักข่าวและเจ้าหน้าที่สื่อมากกว่า 50 ที่เสียชีวิตจากการโจมตีของอิสราเอลในฉนวนกาซา โดยหากนับตั้งแต่สงคราม ซึ่งกินเวลาประมาณ 22 เดือนแล้ว เฉลี่ยเท่ากับว่า มีนักข่าวเสียชีวิตประมาณ 13 คน ในทุกๆ เดือน 

การกำหนดเป้าหมาย สังหารนักข่าว คืออาชญากรรมสงคราม

การกําหนดเป้าหมาย โจมตีนักข่าวนั้น ถือเป็นอาชญากรรมสงครามและละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งในมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ก็เคยประณามการโจมตีนักข่าวและพนักงานสื่อในความขัดแย้งทางอาวุธ ซึ่งผูกพันกับอนุสัญญาเจนีวาปี 1977 ที่ระบุถึงการปกป้องนักข่าวที่มีส่วนร่วมในภารกิจทางวิชาชีพที่อันตรายในพื้นที่ของความขัดแย้งทางอาวุธ

องค์กรระหว่างประเทศ และองค์กรปกป้องนักข่าวเอง ต่างก็มองว่า การโจมตีนักข่าวไม่เพียงแค่เป็นอาชญากรรมสงครามเท่านั้น แต่มีส่วนในกระบวนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยปิดปากพยาน ที่สามารถบันทึกและเปิดเผยความโหดร้ายเหล่านี้ต่อโลกได้ ทําให้การสังหารหมู่ และการทําลายชีวิต ไม่มีการกํากับดูแลหรือพยาน

ปัจจุบัน อิสราเอลได้สั่งห้ามไม่ให้สื่อต่างชาติเข้าไปรายงานบริเวณฉนวนกาซา ทำให้ยากต่อการรายงาน และบันทึกข้อเท็จจริง ซึ่งไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่อิสราเอลจะโจมตีนักข่าว 5 คนนั้น เอกอัครราชทูต ดร.ริยาด มันซูร์ กล่าวในคณะมนตรีความมั่นคงของ UN ว่า หากมั่นใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในกาซา เป็นเรื่องโกหกอย่างที่อิสราเอลว่า ทำไมไม่พานักข่าว 100 คน จากประเทศอื่นๆ เข้าไปตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้น 

“ผมขอเชิญท่าน ให้เขาอนุญาตให้ท่านไปที่ฉนวนกาซาและดูว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น พานักข่าวไปด้วย เพื่อที่ท่านจะได้ตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซาให้แน่ชัด”

สรุปข่าว

ตั้งแต่สงครามในกาซาเริ่มเมื่อ 7 ต.ค. 2023 มีนักข่าวเสียชีวิตแล้วมากกว่า 270 คน ทำให้เป็นสมรภูมิที่คร่าชีวิตนักข่าวมากที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ นักข่าวในพื้นที่เผชิญทั้งการโจมตีโดยตรง ภาวะขาดอาหาร น้ำ และความช่วยเหลือ ขณะที่อิสราเอลห้ามสื่อต่างชาติเข้าไปรายงาน องค์กรสิทธิมนุษยชนชี้ว่าการสังหารนักข่าวเป็นอาชญากรรมสงคราม และเป็นการปิดปากพยานที่สามารถเปิดเผยความโหดร้ายต่อโลก

เป็นอีกครั้งที่เราเห็นข่าวการสูญเสีย และเสียชีวิตในกาซา โดยเฉพาะกับอาชีพนักข่าว และสื่อมวลชน ซึ่งล่าสุด ในวันที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวและทีมงานข่าวของสำนักข่าวอัลจาซีรา 5 คนเสียชีวิต จากการโจมตีของอิสราเอล บริเวณเต็นท์ที่พักผู้สื่อข่าวในฉนวนกาซา ด้านนอกของทางเข้าโรงพยาบาล อัลชีฟา ในกาซาซิตี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตรวมทั้งหมด 7 คน 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อิสราเอลมุ่งเป้าไปที่นักข่าว ที่รายงานข่าวสงครามในฉนวนกาซา โดยสำนักข่าว อัลจาซีราเองก็รายงานว่า มีนักข่าวในสำนักข่าวของตนอย่างน้อย 5 รายที่ถูกสังหารก่อนหน้านี้ และจากตัวเลขอ้างอิงของ คณะกรรมการคุ้มครองนักข่าว (CPJ), สหพันธ์นักข่าวนานาชาติ (IFJ) และอัลจาซีรานั้น เชื่อว่าตั้งแต่สงครามรอบใหม่เกิดขึ้นเมื่อ 7 ตุลาคม 2023 มีสื่อที่ถูกสังหารในสงครามนี้อย่างน้อย 270 รายแล้ว

ตัวเลขนี้ทำให้สมรภูมิสงครามในกาซา กลายเป็นสงครามที่นองเลือดของนักข่าวมากที่สุด โดยอ้างอิงจากโครงการ Costs of War ของมหาวิทยาลัยบราวน์ นั้น จะเห็นว่า นักข่าวที่เสียชีวิตในกาซานั้น มากกว่าในสงครามกลางเมืองสหรัฐฯ, สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2, สงครามเกาหลี,  สงครามเวียดนาม, สงครามในอดีตยูโกสลาเวีย และสงครามหลัง 9/11 ในอัฟกานิสถาน มากกว่าจำนวนสื่อที่เสียชีวิตในสงครามใหญ่ นับตั้งแต่ปี 1800 

ตามรายงานของ Reporters Without Borders ปี 2024 ถือว่าเป็นปีที่มีนักข่าวเสียชีวิตมากที่สุด คือ มากกว่า 120 ราย และตั้งแต่เข้าปี 2025 มานั้น ก็มีนักข่าวและเจ้าหน้าที่สื่อมากกว่า 50 ที่เสียชีวิตจากการโจมตีของอิสราเอลในฉนวนกาซา โดยหากนับตั้งแต่สงคราม ซึ่งกินเวลาประมาณ 22 เดือนแล้ว เฉลี่ยเท่ากับว่า มีนักข่าวเสียชีวิตประมาณ 13 คน ในทุกๆ เดือน 

การกำหนดเป้าหมาย สังหารนักข่าว คืออาชญากรรมสงคราม

การกําหนดเป้าหมาย โจมตีนักข่าวนั้น ถือเป็นอาชญากรรมสงครามและละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งในมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ก็เคยประณามการโจมตีนักข่าวและพนักงานสื่อในความขัดแย้งทางอาวุธ ซึ่งผูกพันกับอนุสัญญาเจนีวาปี 1977 ที่ระบุถึงการปกป้องนักข่าวที่มีส่วนร่วมในภารกิจทางวิชาชีพที่อันตรายในพื้นที่ของความขัดแย้งทางอาวุธ

องค์กรระหว่างประเทศ และองค์กรปกป้องนักข่าวเอง ต่างก็มองว่า การโจมตีนักข่าวไม่เพียงแค่เป็นอาชญากรรมสงครามเท่านั้น แต่มีส่วนในกระบวนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยปิดปากพยาน ที่สามารถบันทึกและเปิดเผยความโหดร้ายเหล่านี้ต่อโลกได้ ทําให้การสังหารหมู่ และการทําลายชีวิต ไม่มีการกํากับดูแลหรือพยาน

ปัจจุบัน อิสราเอลได้สั่งห้ามไม่ให้สื่อต่างชาติเข้าไปรายงานบริเวณฉนวนกาซา ทำให้ยากต่อการรายงาน และบันทึกข้อเท็จจริง ซึ่งไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่อิสราเอลจะโจมตีนักข่าว 5 คนนั้น เอกอัครราชทูต ดร.ริยาด มันซูร์ กล่าวในคณะมนตรีความมั่นคงของ UN ว่า หากมั่นใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในกาซา เป็นเรื่องโกหกอย่างที่อิสราเอลว่า ทำไมไม่พานักข่าว 100 คน จากประเทศอื่นๆ เข้าไปตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้น 

“ผมขอเชิญท่าน ให้เขาอนุญาตให้ท่านไปที่ฉนวนกาซาและดูว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น พานักข่าวไปด้วย เพื่อที่ท่านจะได้ตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซาให้แน่ชัด”

ไม่เพียงแค่เสียชีวิต แต่อดอยากถึงอันตรายแก่ชีวิตด้วย

ไม่เพียงนักข่าวในกาซา ที่เสี่ยงอันตรายจากการโจมตี แต่ภาวะขาดอาหาร และอดอยาก ก็เป็นสิ่งที่นักข่าวกำลังเผชิญ

ในเดือนกรกฎาคม สำนักข่าว AFP ได้ออกแถลงการณ์ถึงสถานการณ์ที่สำนักข่าวไม่สามารถสนับสนุนนักข่าวในพื้นที่ได้ และสภาพความเป็นอยู่ของผู้สื่อข่าวหลายคนย่ำแย่ลงมาก จากความหิวโหย

ช่างภาพคนหนึ่งของ AFP ได้โพสต์ข้อความบนโซเชียลมีเดียว่า “ฉันไม่มีแรงที่จะทํางานให้กับสื่ออีกต่อไป ร่างกายของฉันผอมและฉันไม่สามารถทํางานได้อีกต่อไป” ขณะที่สื่อของ AFP อีกรายก็ได้กล่าวว่าทุกครั้งที่เธอออกจากที่พักเพื่อรายงานเหตุการณ์ หรือสัมภาษณ์ “ฉันไม่รู้ว่าฉันจะกลับมามีชีวิตอีกครั้งหรือไม่” เพราะปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของเธอคือการขาดอาหารและน้ํา เธอกล่าว

TNN Online ได้พูดคุยกับนักข่าวในปาเลสไตน์ ซึ่งแม้เขาจะไม่ได้อาศัยในกาซา แต่ก็ได้เล่าสิ่งที่สอดคล้องกันว่า “ผมมีเพื่อนทำงานที่กาซา เขาเป็นนักข่าว เขาสูญเสียครอบครัวไปทั้งหมด และตอนนี้เขาเหลืออยู่ตัวคนเดียว เขาเดินทางบ่อยมากเพื่อหาพื้นที่ที่ปลอดภัย แต่สถานการณ์แย่มาก ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร ไม่มีใครอยากนอน ดังนั้น มันยากลำบากมากในกาซา 

บางครั้งผมก็โทรหาเขา เพราะเขายังมีมีอินเทอร์เน็ตที่ใช้ได้จาก esim เพราะไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตอื่นๆ ในกาซา เขาบอกผมว่าในหนึ่งสัปดาห์เขาไม่ได้กินอะไรเลย ดื่มแค่น้ำเปล่าเท่านั้น ชีวิตเขาลำบาก แม้เขามีเงินจากเงินเดือนจากองค์กรต่างๆ แต่ในกาซา เขาซื้ออะไรไม่ได้เลย ดังนั้นต่อคุณมีเงิน คุณก็ซื้ออะไรไม่ได้ ทุกอย่างราคราแพงกว่าข้างนอกในราคาปกติมาก เช่น ถ้าคุณต้องการซื้อน้ำสะอาดสำหรับดื่ม หากข้างนอกราคา 1 ดอลลาร์ ที่นั่นก็จะราคา 100 ดอลลาร์ ดังนั้นจึงไม่มีใครซื้อของเหล่านี้ได้” 

ซึ่ง AFP เองก็บอกเช่นกันว่า นักข่าวของพวกเขาได้รับเงินเดือนจากสำนักข่าว แต่ของต่างๆ ก็ราคาแพงมาก ทำให้พวกเขาไม่สามารถซื้ออาหารได้มากนัก และจากการเปิดสำนักข่าวยาวนาน ตั้งแต่ปี 1944 เห็นนักข่าวถูกสังหาร จับคุมขัง แต่นี่เป็นครั้งที่เห็นเพื่อนร่วมงานจะเสียชีวิตเพราะความหิวโหยด้วย 

ความยากลำบากทั้งอันตรายของการโจมตี และการอดอยากนั้น อาจทำให้ฉนวนกาซายิ่งกลายเป็นสมรภูมิที่นองเลือดของนักข่าว และนับวันขาดแคลนคนรายงานความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในนั้นเรื่อยๆ 

ที่มาข้อมูล : AFP, aljazeera, Reporters Without Borders

ที่มารูปภาพ : reuters