
กรณีศึกษา เด็กวัย 13 ปี และข้อเท็จจริงที่ปรากฏ
ภาพเหตุการณ์ที่จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งมีการถอดชุดลูกเสือเปลี่ยนเป็นชุดไปรเวทก่อนถูกควบคุมตัวเพื่อส่งกลับกัมพูชา ได้สร้างคำถามต่อสังคมเกี่ยวกับความเหมาะสมในการปฏิบัติ ขณะที่ข้อมูลจากครูผู้สอนระบุว่าเด็กอยู่ไทยตั้งแต่เล็ก ไม่พูดภาษากัมพูชา และไม่มีญาติในประเทศนั้น อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบเชิงข้อเท็จจริงของเจ้าหน้าที่กลับพบรายละเอียดที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจน

จากการสอบสวนพบว่า เด็กชายรายนี้เกิดในกัมพูชา แม่เคยมีครอบครัวและญาติพี่น้องอยู่ฝั่งนั้น และเริ่มต้นเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ในโรงเรียนที่กัมพูชา ก่อนจะข้ามเข้ามายังฝั่งไทยโดยใช้เส้นทางธรรมชาติราวปี 2561 หลังจากนั้นได้เข้าศึกษาต่อในโรงเรียนที่จังหวัดสุรินทร์ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จนจบประถมศึกษาปีที่ 6 และล่าสุดกำลังเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1
ข้อมูลฝ่ายปกครองยังระบุว่า แม่ของเด็กเคยใช้เอกสารผ่านแดนที่มีตราประทับเฉพาะฝั่งกัมพูชา ไม่พบการประทับจากฝั่งไทย ซึ่งเป็นเหตุให้เชื่อได้ว่ามีการลักลอบเข้ามา อีกทั้งตลอดช่วงเวลาที่พำนักในไทยยังมีการเดินทางกลับไปกัมพูชาหลายครั้ง ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าเด็กสามารถสื่อสารภาษากัมพูชาได้เป็นอย่างดี และมีการติดต่อกับญาติพี่น้องที่ฝั่งกัมพูชาอยู่บ่อยครั้ง
ในด้านคดี พนักงานสอบสวนได้ทำการสัมภาษณ์เพื่อคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์แล้ว ไม่เข้าข่ายการค้ามนุษย์แต่อย่างใด ก่อนจะส่งตัวแม่และเด็กให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสุรินทร์เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 เพื่อดำเนินการตามระเบียบคนเข้าเมืองต่อไป
ความแตกต่างระหว่างข้อมูลที่ครูผู้สอนเผยแพร่กับข้อเท็จจริงที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้ ทำให้กรณีนี้กลายเป็นตัวอย่างของสถานการณ์ที่มีข้อมูลหลายชุดซึ่งไม่สอดคล้องกัน การจัดการปัญหาจึงไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงทางเอกสารและกฎหมาย แต่ยังตั้งคำถามต่อกระบวนการนโยบายว่า เด็กที่ใช้ชีวิตและศึกษาในไทยต่อเนื่องจะได้รับการคุ้มครองด้านการศึกษาและสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างไร ขณะเดียวกันรัฐจะบังคับใช้กฎหมายคนเข้าเมืองควบคู่กับหลักคุ้มครองเด็กให้สมดุลตามหลักมนุษยธรรมได้หรือไม่?
ขนาดและมิติของปัญหาเด็กไร้สัญชาติ
ประเทศไทยจัดเป็นประเทศที่มีประชากรไร้รัฐไร้สัญชาติมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ตัวเลขทางการเมื่อเดือนกันยายน 2567 ระบุว่ามีบุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติ 592,340 คน โดยในจำนวนนั้นเป็นเด็กมากถึง 169,241 คน หรือเกือบหนึ่งในสาม ขณะที่บางแหล่งข้อมูลประเมินว่าจำนวนจริงอาจแตะถึง 1.5 ล้านคน
ต้นตอของปัญหาไม่ใช่เพียงการอพยพหนีความยากจนหรือความขัดแย้งจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่ยังรวมถึงการแต่งงานข้ามชาติ การไม่แจ้งเกิด การตกหล่นจากระบบทะเบียน และการย้ายถิ่นที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน เด็กไร้สัญชาติจำนวนมากอาศัยอยู่ตามแนวชายแดนไทย–เมียนมา ไทย–ลาว และไทย–กัมพูชา ซึ่งมีความยาวรวมกันกว่า 5,000 กิโลเมตร
ระบบกฎหมายที่ขัดแย้งในตัวเอง?
กฎหมายไทยวางหลักการคุ้มครองเด็กไว้อย่างชัดเจน พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 กำหนดว่าประโยชน์สูงสุดของเด็กต้องมาก่อนเสมอ และประเทศไทยก็เป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กปี 1989 ที่รับรองสิทธิพื้นฐาน 4 ประการ ได้แก่ สิทธิในการมีชีวิต สิทธิในการได้รับการคุ้มครอง สิทธิในการพัฒนา และสิทธิในการมีส่วนร่วม โดยหลักการเหล่านี้ใช้กับเด็กทุกคน ไม่ว่าจะมีสัญชาติหรือไม่ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม กฎหมายคนเข้าเมืองกลับวางมาตรการเข้มงวดต่อบุคคลที่ไม่มีเอกสาร ทำให้เด็กจำนวนมากตกอยู่ในสถานะที่คลุมเครือและถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม “ผู้ลักลอบเข้าเมือง” มากกว่าผู้ที่สมควรได้รับการคุ้มครอง ตัวอย่างล่าสุดคือกรณีเด็กชายวัย 13 ปีที่แม้จะมีประวัติการเรียนต่อเนื่องในไทย แต่เมื่อขาดเอกสารทางกฎหมายกลับถูกดำเนินการตามกฎหมายคนเข้าเมืองเพื่อส่งกลับประเทศต้นทาง ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายในการประสานระหว่างกฎหมายด้านความมั่นคงกับหลักการคุ้มครองสิทธิเด็กที่ไทยมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม
สรุปข่าว
กรณีศึกษา เด็กวัย 13 ปี และข้อเท็จจริงที่ปรากฏ
ภาพเหตุการณ์ที่จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งมีการถอดชุดลูกเสือเปลี่ยนเป็นชุดไปรเวทก่อนถูกควบคุมตัวเพื่อส่งกลับกัมพูชา ได้สร้างคำถามต่อสังคมเกี่ยวกับความเหมาะสมในการปฏิบัติ ขณะที่ข้อมูลจากครูผู้สอนระบุว่าเด็กอยู่ไทยตั้งแต่เล็ก ไม่พูดภาษากัมพูชา และไม่มีญาติในประเทศนั้น อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบเชิงข้อเท็จจริงของเจ้าหน้าที่กลับพบรายละเอียดที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจน

จากการสอบสวนพบว่า เด็กชายรายนี้เกิดในกัมพูชา แม่เคยมีครอบครัวและญาติพี่น้องอยู่ฝั่งนั้น และเริ่มต้นเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ในโรงเรียนที่กัมพูชา ก่อนจะข้ามเข้ามายังฝั่งไทยโดยใช้เส้นทางธรรมชาติราวปี 2561 หลังจากนั้นได้เข้าศึกษาต่อในโรงเรียนที่จังหวัดสุรินทร์ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จนจบประถมศึกษาปีที่ 6 และล่าสุดกำลังเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1
ข้อมูลฝ่ายปกครองยังระบุว่า แม่ของเด็กเคยใช้เอกสารผ่านแดนที่มีตราประทับเฉพาะฝั่งกัมพูชา ไม่พบการประทับจากฝั่งไทย ซึ่งเป็นเหตุให้เชื่อได้ว่ามีการลักลอบเข้ามา อีกทั้งตลอดช่วงเวลาที่พำนักในไทยยังมีการเดินทางกลับไปกัมพูชาหลายครั้ง ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าเด็กสามารถสื่อสารภาษากัมพูชาได้เป็นอย่างดี และมีการติดต่อกับญาติพี่น้องที่ฝั่งกัมพูชาอยู่บ่อยครั้ง
ในด้านคดี พนักงานสอบสวนได้ทำการสัมภาษณ์เพื่อคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์แล้ว ไม่เข้าข่ายการค้ามนุษย์แต่อย่างใด ก่อนจะส่งตัวแม่และเด็กให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสุรินทร์เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 เพื่อดำเนินการตามระเบียบคนเข้าเมืองต่อไป
ความแตกต่างระหว่างข้อมูลที่ครูผู้สอนเผยแพร่กับข้อเท็จจริงที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้ ทำให้กรณีนี้กลายเป็นตัวอย่างของสถานการณ์ที่มีข้อมูลหลายชุดซึ่งไม่สอดคล้องกัน การจัดการปัญหาจึงไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงทางเอกสารและกฎหมาย แต่ยังตั้งคำถามต่อกระบวนการนโยบายว่า เด็กที่ใช้ชีวิตและศึกษาในไทยต่อเนื่องจะได้รับการคุ้มครองด้านการศึกษาและสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างไร ขณะเดียวกันรัฐจะบังคับใช้กฎหมายคนเข้าเมืองควบคู่กับหลักคุ้มครองเด็กให้สมดุลตามหลักมนุษยธรรมได้หรือไม่?
ขนาดและมิติของปัญหาเด็กไร้สัญชาติ
ประเทศไทยจัดเป็นประเทศที่มีประชากรไร้รัฐไร้สัญชาติมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ตัวเลขทางการเมื่อเดือนกันยายน 2567 ระบุว่ามีบุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติ 592,340 คน โดยในจำนวนนั้นเป็นเด็กมากถึง 169,241 คน หรือเกือบหนึ่งในสาม ขณะที่บางแหล่งข้อมูลประเมินว่าจำนวนจริงอาจแตะถึง 1.5 ล้านคน
ต้นตอของปัญหาไม่ใช่เพียงการอพยพหนีความยากจนหรือความขัดแย้งจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่ยังรวมถึงการแต่งงานข้ามชาติ การไม่แจ้งเกิด การตกหล่นจากระบบทะเบียน และการย้ายถิ่นที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน เด็กไร้สัญชาติจำนวนมากอาศัยอยู่ตามแนวชายแดนไทย–เมียนมา ไทย–ลาว และไทย–กัมพูชา ซึ่งมีความยาวรวมกันกว่า 5,000 กิโลเมตร
ระบบกฎหมายที่ขัดแย้งในตัวเอง?
กฎหมายไทยวางหลักการคุ้มครองเด็กไว้อย่างชัดเจน พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 กำหนดว่าประโยชน์สูงสุดของเด็กต้องมาก่อนเสมอ และประเทศไทยก็เป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กปี 1989 ที่รับรองสิทธิพื้นฐาน 4 ประการ ได้แก่ สิทธิในการมีชีวิต สิทธิในการได้รับการคุ้มครอง สิทธิในการพัฒนา และสิทธิในการมีส่วนร่วม โดยหลักการเหล่านี้ใช้กับเด็กทุกคน ไม่ว่าจะมีสัญชาติหรือไม่ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม กฎหมายคนเข้าเมืองกลับวางมาตรการเข้มงวดต่อบุคคลที่ไม่มีเอกสาร ทำให้เด็กจำนวนมากตกอยู่ในสถานะที่คลุมเครือและถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม “ผู้ลักลอบเข้าเมือง” มากกว่าผู้ที่สมควรได้รับการคุ้มครอง ตัวอย่างล่าสุดคือกรณีเด็กชายวัย 13 ปีที่แม้จะมีประวัติการเรียนต่อเนื่องในไทย แต่เมื่อขาดเอกสารทางกฎหมายกลับถูกดำเนินการตามกฎหมายคนเข้าเมืองเพื่อส่งกลับประเทศต้นทาง ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายในการประสานระหว่างกฎหมายด้านความมั่นคงกับหลักการคุ้มครองสิทธิเด็กที่ไทยมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม
กรณีศึกษา เด็ก 13 ปีและแผลใจของระบบ
ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่า การจับกุมเด็กนักเรียนวัย 13 ปีในจังหวัดสุรินทร์ไม่ใช่เพียงกรณีการบังคับใช้กฎหมายคนเข้าเมืองเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวพันกับพันธกรณีระดับสากลและกฎหมายภายในประเทศหลายฉบับ ประการแรก ประเทศไทยเป็นภาคี อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child: CRC) ซึ่งมีสาระสำคัญคือ เด็กทุกคนต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิ 4 ด้าน ได้แก่ สิทธิในการมีชีวิต สิทธิในการได้รับการคุ้มครอง สิทธิในการพัฒนา และสิทธิในการมีส่วนร่วม ไม่ว่าพวกเขาจะมีสัญชาติหรือไม่ก็ตาม ดังนั้นการควบคุมตัวและผลักดันเด็กออกนอกประเทศโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก อาจเข้าข่ายละเมิดพันธกรณีนี้ และย่อมส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตานานาชาติ

นอกจากข้อผูกพันระดับสากลแล้ว กระบวนการจับกุมที่เกิดขึ้นก็ถูกตั้งข้อสังเกตว่าไม่สอดคล้องกับกฎหมายในประเทศ การควบคุมตัวไม่มีหมายจับ ไม่ใช่การกระทำผิดซึ่งหน้า อีกทั้งยังเกิดขึ้นในโรงเรียนซึ่งถือเป็นรโหฐาน ขัดต่อ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และยังไม่เป็นไปตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ที่กำหนดให้ “ประโยชน์สูงสุดของเด็ก” ต้องมาก่อนเสมอ ขณะเดียวกันยังมีบันทึกความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กับ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ที่ระบุชัดว่าจะไม่จับกุมและผลักดันเด็กไร้สัญชาติออกนอกประเทศ แต่จะจัดหาทางออกที่เหมาะสมแทน
ในมิติการแก้ปัญหา ขณะนี้ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และ กรมกิจการเด็กและเยาวชน ได้เข้ามาประสานกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเพื่อชะลอการส่งตัว ขณะที่ กระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีอำนาจโดยตรงตาม พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ก็สามารถพิจารณาอนุญาตให้เด็กพำนักอยู่ในไทยได้ ส่วนในเวทีระหว่างประเทศ UNICEF ได้เข้ามาติดตามใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่ากระบวนการแก้ไขปัญหานี้จะสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนและพันธกรณีที่ไทยมีต่อประชาคมโลก
สิทธิที่ยังไม่ถึงมือเด็กไร้สัญชาติ
- การศึกษา
แม้กระทรวงศึกษาธิการจะมีนโยบาย Education for All และเปิดทางให้เด็กไร้เอกสารเข้าเรียนได้ แต่ในความจริงยังมีเด็กไร้สัญชาติจำนวนมากที่หยุดอยู่เพียงระดับประถม เนื่องจากไม่สามารถเรียนต่อ ม.ปลาย หรือมหาวิทยาลัยได้ บางกรณีถูกปฏิเสธทุนหรือเงินกู้เรียนเพราะขาดเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก
การปิดศูนย์การเรียนบางแห่ง เช่น ศูนย์มิตตาเย๊ะ จ.สุราษฎร์ธานี ส่งผลกระทบต่อเด็กข้ามชาติกว่า 2,000 คน และเชื่อมโยงไปถึงเด็กอีกหลายหมื่นที่อยู่ในศูนย์การเรียนรู้ชั่วคราวทั่วประเทศ
- การรักษาพยาบาล
เด็กไร้สัญชาติไม่สามารถใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทำให้การเข้าถึงวัคซีนและบริการพื้นฐานยังมีช่องว่างกว้าง การเจ็บป่วยธรรมดากลายเป็นภาระหนักที่ครอบครัวรับไม่ไหว และอาจบังคับให้เด็กหลุดออกจากโรงเรียน
- การเดินทาง
ข้อจำกัดในการเดินทางออกนอกพื้นที่ทำให้เด็กไร้สัญชาติไม่สามารถไปเรียนต่อหรือทำงานในต่างจังหวัดได้ ต้องอยู่ในพื้นที่จำกัด และเสี่ยงถูกจับหากไม่มีบัตรผ่านแดนหรือเอกสารที่ถูกต้อง
สถิติที่บอกเล่าเรื่องราว ช่องว่างระหว่างกฎหมายกับชีวิตจริง
ตัวเลขที่เกี่ยวข้องกับเด็กไร้สัญชาติในประเทศไทยเผยให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำที่ยังแก้ไม่ตก แม้จะมีนโยบายรองรับด้านสิทธิเด็กและสิทธิมนุษยชน แต่การเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานกลับยังติดขัดในทางปฏิบัติ
ข้อมูลจาก สำนักงานสถิติและหน่วยงานภาครัฐ ระบุว่า ปัจจุบันมีเด็กไร้สัญชาติที่เข้าอยู่ในระบบการศึกษาไทยราว 150,000 คน แต่ในจำนวนนี้มีเพียง 50,000 คน ที่ผ่านกระบวนการตรวจสอบสถานะ และเพียง 29,000 คน ที่ได้รับเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ซึ่งหมายความว่า เด็กอีกกว่าหนึ่งแสนคนยังคงอยู่ในสภาพไร้เอกสาร แม้จะนั่งเรียนอยู่ในห้องเรียนเดียวกับเพื่อนที่มีสัญชาติก็ตาม

งานวิจัยด้านการศึกษาข้ามชาติ ยังพบว่า เด็กอายุ 7–14 ปีในกลุ่มแรงงานและครอบครัวข้ามชาติสามารถเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐานเพียง 80.2% โดยร้อยละ 32.6 ได้เรียนในโรงเรียนไทย ร้อยละ 37.1 เรียนในศูนย์การเรียนรู้ที่องค์กรพัฒนาเอกชนจัดตั้ง แต่ยังมีถึง 30.3% ที่ไม่ได้เรียนหนังสือเลย ซึ่งสะท้อนถึงความเปราะบางของเด็กจำนวนไม่น้อยที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ขณะเดียวกัน ตัวเลขจาก สำนักทะเบียนกลาง กระทรวงมหาดไทย ช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2566 ระบุว่า มีผู้ได้รับสัญชาติไทยเพียง 7,016 คน จากจำนวนผู้ยื่นคำขอกว่า 483,383 คน หรือคิดเป็นเพียง 1.45% เท่านั้น การได้สัญชาติไทยจึงยังเป็นเส้นทางที่ยาวไกล เต็มไปด้วยขั้นตอนซับซ้อน และใช้เวลานานกว่าที่เด็กและครอบครัวจะได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียม

สถานะทางกฎหมายและระบบบัตร ชีวิตที่ถูกกำหนดด้วยเอกสาร
เมื่อมองลึกไปในโครงสร้างการบริหารจัดการคนไร้สัญชาติในไทย จะพบว่า “บัตรประจำตัว” กลายเป็นทั้งเกราะป้องกันและกำแพงกีดกันในเวลาเดียวกัน เอกสารแต่ละประเภทไม่เพียงทำหน้าที่ระบุตัวตน แต่ยังเป็นตัวกำหนดว่าใครจะได้รับสิทธิอะไรบ้าง ตั้งแต่การศึกษา การรักษาพยาบาล ไปจนถึงการเดินทางและการทำงาน
- บัตรสีชมพู หลักฐานที่ก้ำกึ่งระหว่างการยอมรับกับการกีดกัน
บัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย หรือ “บัตรสีชมพู” ถูกออกให้กับผู้ที่อาศัยในไทยมายาวนานแต่ไม่ได้รับสัญชาติ เช่น ลูกหลานแรงงานข้ามชาติหรือเด็กที่เกิดในไทยแต่พ่อแม่ไม่ใช่คนไทย บัตรนี้ให้เลข 13 หลักและใช้แสดงตนในราชการได้ แต่ยังไม่สามารถใช้แทนบัตรประชาชนหรือเดินทางออกนอกพื้นที่ได้อย่างเสรี เด็กที่ถือบัตรนี้จึงยังติดอยู่ในพื้นที่สีเทา
- บัตรคนต่างด้าว (AIC) เอกสารสำหรับผู้ได้รับอนุญาตอยู่ระยะยาว
Alien Identity Card หรือ AIC ถูกออกให้กับชาวต่างชาติที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ระยะยาวในไทย เช่น ผู้ที่มีใบอนุญาตทำงาน หรือผู้ที่ถือบัตรถิ่นที่อยู่ถาวร เอกสารนี้เปิดประตูสู่สิทธิหลายด้าน แต่ขั้นตอนการขอมีความซับซ้อนและใช้เวลานาน
- บัตรผ่านแดน เอกสารที่จำกัดการเคลื่อนไหว
สำหรับแรงงานและชุมชนชายแดนจากกัมพูชา ลาว และเมียนมา “บัตรผ่านแดน” ทำให้สามารถเข้าออกประเทศไทยได้เฉพาะจุดผ่านแดนที่กำหนดและในระยะเวลาจำกัด เอกสารนี้ทำให้ชีวิตประจำวันของแรงงานพอเดินต่อได้ แต่ไม่สร้างเส้นทางสู่การมีสิทธิถาวร
- เอกสารอื่นๆ ที่เป็นเหมือนใบอนุญาตชั่วคราว
ผู้ที่เข้ามาด้วยวีซ่าประเภท Non-Immigrant Visa สามารถอยู่ในราชอาณาจักรได้ตามระยะเวลาที่กำหนด หากได้รับการต่ออายุหรืออนุญาตให้อยู่ต่อ ส่วน “ใบอนุญาตทำงาน” แม้ไม่ใช่บัตรประจำตัวโดยตรง แต่ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่แรงงานต่างด้าวต้องมีเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุม
- บัตรถิ่นที่อยู่ถาวร จุดหมายที่เข้าถึงยาก
สำหรับผู้ที่อาศัยและทำงานในไทยมาเป็นเวลานาน การได้บัตรถิ่นที่อยู่ถาวรคือจุดสูงสุดของความมั่นคงทางกฎหมาย แต่เงื่อนไขเข้มงวดและมีจำนวนจำกัด ทำให้คนส่วนใหญ่ยังไปไม่ถึงขั้นนั้น
ย้อน 10 ปีคดีเด็กไร้สัญชาติ แผลเรื้อรังที่กฎหมายไทยยังแก้ไม่ขาด
ตลอดหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ปัญหาเด็กไร้สัญชาติในประเทศไทยยังคงวนเวียนเป็นวัฏจักรที่สะท้อนให้เห็นถึงความไม่ลงรอยของกฎหมายและนโยบาย แม้รัฐไทยจะเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และมีกฎหมายคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐาน แต่ในทางปฏิบัติกลับมีหลายกรณีที่บ่งชี้ว่ากฎหมายไทยยัง “ขัดแย้งกันเอง” และทำให้เด็กจำนวนมากตกอยู่ในสภาพไร้ที่ยืนทางกฎหมาย
คดีครูปุ๊ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 6 (ปี 2566)
กรณีของ นางสาวกัลยา ทาสม ผู้อำนวยการโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 6 จังหวัดอ่างทอง ที่ถูกดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง ฐานพาบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง หลังเปิดรับเด็กไร้เอกสารจำนวน 126 คน เข้าเรียน ทั้งที่กระทรวงศึกษาธิการมีมติ ครม. ปี 2548 รับรองสิทธิให้เด็กทุกคนเข้าถึงการศึกษาได้ไม่ว่ามีเอกสารหรือไม่ก็ตาม คดีนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความขัดแย้งระหว่าง “สิทธิในการศึกษา” กับ “กฎหมายคนเข้าเมือง” และสร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วสังคมการศึกษา
กรณีเด็กไร้สัญชาติ 19 คน วัดสว่างอารมณ์ ลพบุรี (ปี 2567)
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบและนำเด็กไร้สัญชาติที่บวชเรียนอยู่ในวัดจำนวน 19 คน กลับไปผลักดันยังประเทศต้นทาง แม้เด็กกลุ่มนี้กำลังอยู่ในกระบวนการศึกษาและใช้ชีวิตในชุมชนท้องถิ่นแล้วก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิเด็ก และไม่สอดคล้องกับหลักการ “ประโยชน์สูงสุดของเด็ก” ที่กฎหมายไทยกำหนด
สองเหตุการณ์นี้สะท้อนชัดว่า ระบบกฎหมายและการปฏิบัติของไทยยังคงมี “ช่องว่าง” ระหว่างการรับรองสิทธิเด็กกับการบังคับใช้ในชีวิตจริง และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้โรงเรียนและศูนย์การเรียนรู้หลายแห่งในพื้นที่ชายแดนต้องปิดตัวลง เพราะเกรงว่าจะถูกดำเนินคดีหากเปิดรับเด็กไร้เอกสาร ผลลัพธ์คือ เด็กจำนวนมากถูกผลักออกจากระบบการศึกษา และปัญหาไร้สัญชาติจึงยังคงดำรงอยู่อย่างเรื้อรัง
เด็กไร้สัญชาติ ศักยภาพที่รอการปลดปล่อยบนเวทีโลก
แม้เด็กไร้สัญชาติในประเทศไทยจะต้องเผชิญข้อจำกัดทั้งเรื่องสิทธิและสถานะทางกฎหมาย ไม่สามารถเดินทางออกนอกพื้นที่ เข้าถึงทุนการศึกษา หรือใช้สิทธิด้านสวัสดิการขั้นพื้นฐานได้เหมือนเด็กไทยทั่วไป แต่ก็มีหลายกรณีที่เด็กกลุ่มนี้ก้าวข้ามข้อจำกัดและสร้างชื่อเสียงให้ประเทศบนเวทีโลกอย่างน่าภาคภูมิใจ ตัวอย่างเช่น หม่อง ทองดี เด็กชายไร้สัญชาติจากเชียงใหม่ที่คว้าแชมป์เครื่องบินกระดาษพับระดับโลกที่ญี่ปุ่นเมื่อปี 2552 ก่อนจะได้รับสัญชาติไทยในปี 2561 หลังจากรอคอยนานเกือบสิบปี และ “น้องพี” เด็กชายเชื้อสายมอญ ที่โชว์ฝีเท้าฟุตบอลในรายการโทรทัศน์จนได้รับการจับตามองจากสโมสรใหญ่และการช่วยเหลือด้านสัญชาติ เหล่านี้เป็นหลักฐานว่าความไร้สัญชาติไม่ได้หมายความว่าไร้ศักยภาพ หากแต่เป็นเรื่องของ “โอกาส” ที่ยังเข้าไม่ถึง

สถานการณ์นี้ชี้ให้เห็นความย้อนแย้งในระบบของไทยอย่างชัดเจน ด้านหนึ่งรัฐมีนโยบาย Education for All และจัดทำระบบ G Code Student เพื่อเปิดทางให้เด็กไร้เอกสารเข้าเรียนได้ แต่ในความจริง เด็กจำนวนมากยังติดอยู่กับกับดักสถานะไร้สัญชาติ ไม่สามารถเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น ไม่เข้าถึงทุน กยศ. และถูกจำกัดการเดินทาง สิ่งเหล่านี้ทำให้ความสำเร็จของเด็กไร้ชาติที่ก้าวไกลในเวทีโลกไม่ใช่เพียงเรื่องราวส่วนตัว แต่เป็น “สัญญาณเตือน” ว่าหากรัฐไทยสามารถปลดล็อกข้อจำกัดและจัดการอย่างเป็นระบบ เด็กเหล่านี้จะกลายเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่สร้างคุณูปการมหาศาลต่อประเทศ
ดังนั้น การมองเด็กไร้ชาติในฐานะ “ศักยภาพที่รอการปลดปล่อย” ไม่ใช่เพียงการตอบสนองต่อหลักมนุษยธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็น การลงทุนในอนาคตของประเทศ เพราะพวกเขาพร้อมจะเป็นพลังขับเคลื่อนสังคม เศรษฐกิจ และชื่อเสียงของไทยในเวทีโลก หากได้รับโอกาสและการสนับสนุนที่เท่าเทียม
--------------------
ท้ายที่สุด เหตุการณ์เด็กวัย 13 ปีในจังหวัดชายแดนเป็นเครื่องเตือนใจให้สังคมไทยต้องตั้งคำถามสำคัญ ว่าเราจะจัดการปัญหาเด็กไร้สัญชาติด้วยกรอบกฎหมายที่แข็งทื่อเพียงอย่างเดียว หรือจะเลือกแนวทางที่ผสานความมั่นคงของรัฐเข้ากับหลักมนุษยธรรม หากยังปล่อยให้เด็กหลายแสนคนเติบโตโดยไร้สิทธิและไร้ตัวตน ประเทศก็อาจสูญเสียทรัพยากรมนุษย์รุ่นใหม่ที่ควรจะเป็นพลังสำคัญในอนาคต การมองเด็กเหล่านี้ในฐานะ “คนของสังคมไทย” จึงไม่ใช่เพียงประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน แต่คือการลงทุนเพื่อสร้างความยุติธรรม เสถียรภาพ และความภาคภูมิใจของชาติในเวทีโลก
อย่างไรก็ตาม กฎหมาย ก็คือ กฎหมาย ทุกฝ่ายย่อมต้องปฏิบัติตาม เพียงแต่โจทย์ใหญ่ที่ยังคงอยู่คือ เราจะเลือกบังคับใช้กฎหมายด้วยท่าทีที่แข็งกระด้าง หรือจะทำให้กฎหมายเดินคู่ไปกับหัวใจแห่งความเป็นมนุษย์ได้จริง.
อ้างอิง
การจัดการผู้ต้องกักเพื่อรอการส่งกลับของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
สำนักทะเบียนกลาง กระทรวงมหาดไทย
- ทหารเหยียบกับระเบิดล่าสุด มทภ.2 ประณาม กัมพูชาละเมิดหยุดยิง
- ชายแดนไทย–กัมพูชาล่าสุด พบความเคลื่อนไหวทหาร–โดรน กองทัพไทยเร่งคุมพื้นที่
- กต. ประณามกัมพูชาใช้สตรีและเด็กเป็น “โล่มนุษย์” ที่ชายแดนบ้านหนองจาน
- สรุปสถานการณ์ชายแดนล่าสุด ไทย - กัมพูชา 26 ส.ค. พบโดรน 9 ลำ
- ทำความรู้จัก “เจ๊เอ๋” เจ้าหนี้สายโหด ประกาศรวมพลไปชายแดนบ้านหนองจาน
ที่มาข้อมูล : TNN
ที่มารูปภาพ : Sopon Jongboriboon / Getty Images
บรรณาธิการออนไลน์

