
เงินบาทแข็งโป๊ก! ทุบสถิติใหม่ในรอบ 4 ปี แตะระดับ 31.58 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หลังค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ผลพวงจาก ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ (Nonfarm Payrolls) ในเดือนส.ค. เพิ่มขึ้นเพียง 22,000 ตำแหน่ง ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 75,000 ตำแหน่ง
ขณะที่อัตราการว่างงานเดือนส.ค. เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ 4.3% จาก 4.2% ในก.ค. ถือเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี ส่งผลให้ตลาดคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดเตรียมที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมวันที่ 16-17 ก.ย.นี้อีก 0.25% จากปัจจุบันอยู่ที่ 4.25% – 4.5%
ทั้งนี้หากดูการเคลื่อนไหวสกุลเงินในภูมิภาคตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันพบว่าส่วนใหญ่แข็งค่า โดยดอลลาร์-ไต้หวันนำโด่งแข็งค่า 8.2% รองลงมาเป็น บาท-ไทย 7.2 % ดอลลาร์-สิงคโปร์ 6.4% ริงกิต-มาเลเซีย 5.9 % วอน-เกาหลีใต้ 5.8% หยวน-จีน 2.5% เปโซ-ฟิลิปปินส์ 1.1% ยกเว้นรูเปียห์-อินโดนีเซียอ่อนค่า 2.3% รูปี-อินเดีย 3% และดอง-เวียดนาม 3.5%
โดยค่าเงินบาทที่แข็งค่าส่งผลต่อผู้ประกอบการส่งออกและนำเข้ามากน้อยแค่ไหน และหุ้นกลุ่มไหนได้ประโยชน์และเสียประโยชน์จากเงินบาทที่แข็งค่า นักลงทุนต้องปรับพอร์ตการลงทุนอย่างไร ในวันนี้ TNN Online ได้มีโอกาสสัมภาษณ์กูรูตลาดทุนจะมีรายละเอียดอะไรบ้างนั้นตามไปดูกันเลยค่ะ
เริ่มจาก “อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล” ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.ทิสโก้ มองว่า สาเหตุที่เงินบาทแข็งค่าเกิดจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ตลาดคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง แต่ทิสโก้มองว่าจะลดเพียง 2 ครั้งในปลายปีนี้ และปีหน้าจะลด 3 ครั้ง ดังนั้นแนวโน้มค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลง หลังจากข่าวคาดการณ์ลดดอกเบี้ยของเฟดได้สะท้อนในระดับหนึ่งแล้ว
นอกจากนี้ในเดือนต.ค.นี้ "วิทัย รัตนากร" ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จะเริ่มทำงานที่ธปท. คาดว่าจะใช้นโยบายดอกเบี้ยผ่อนคลายในการดูแลเศรษฐกิจจะส่งผลให้เงินบาทอ่อน ประเมินว่าจะแตะที่ระดับ 32-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่การเกินดุลการค้าของไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่าจะลดลง จากตัวเลขส่งออกชะลอตัว เพราะได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีทรัมป์ ส่วนท่องเที่ยวก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก เนื่องจากฐานปีที่แล้วสูง ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลลดลงและทำให้เงินบาทกลับมาอ่อนค่าลงได้
ส่วนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากบาทแข็ง เช่น โรงไฟฟ้า เช่น EGCO,GPSC ,BGRIM หุ้นพลังงาน เช่น กลุ่ม PTT เนื่องจากมีหนี้ต่างประเทศสูง สำหรับหุ้นที่เสียประโยชน์เป็นกลุ่มส่งออก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ และอาหาร
หุ้นส่งออกน่าลงทุนต่อหรือไม่? https://www.tnnthailand.com/tnnexclusive/209741/
สรุปข่าว
เงินบาทแข็งโป๊ก! ทุบสถิติใหม่ในรอบ 4 ปี แตะระดับ 31.58 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หลังค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ผลพวงจาก ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ (Nonfarm Payrolls) ในเดือนส.ค. เพิ่มขึ้นเพียง 22,000 ตำแหน่ง ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 75,000 ตำแหน่ง
ขณะที่อัตราการว่างงานเดือนส.ค. เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ 4.3% จาก 4.2% ในก.ค. ถือเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี ส่งผลให้ตลาดคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดเตรียมที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมวันที่ 16-17 ก.ย.นี้อีก 0.25% จากปัจจุบันอยู่ที่ 4.25% – 4.5%
ทั้งนี้หากดูการเคลื่อนไหวสกุลเงินในภูมิภาคตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันพบว่าส่วนใหญ่แข็งค่า โดยดอลลาร์-ไต้หวันนำโด่งแข็งค่า 8.2% รองลงมาเป็น บาท-ไทย 7.2 % ดอลลาร์-สิงคโปร์ 6.4% ริงกิต-มาเลเซีย 5.9 % วอน-เกาหลีใต้ 5.8% หยวน-จีน 2.5% เปโซ-ฟิลิปปินส์ 1.1% ยกเว้นรูเปียห์-อินโดนีเซียอ่อนค่า 2.3% รูปี-อินเดีย 3% และดอง-เวียดนาม 3.5%
โดยค่าเงินบาทที่แข็งค่าส่งผลต่อผู้ประกอบการส่งออกและนำเข้ามากน้อยแค่ไหน และหุ้นกลุ่มไหนได้ประโยชน์และเสียประโยชน์จากเงินบาทที่แข็งค่า นักลงทุนต้องปรับพอร์ตการลงทุนอย่างไร ในวันนี้ TNN Online ได้มีโอกาสสัมภาษณ์กูรูตลาดทุนจะมีรายละเอียดอะไรบ้างนั้นตามไปดูกันเลยค่ะ
เริ่มจาก “อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล” ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.ทิสโก้ มองว่า สาเหตุที่เงินบาทแข็งค่าเกิดจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ตลาดคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง แต่ทิสโก้มองว่าจะลดเพียง 2 ครั้งในปลายปีนี้ และปีหน้าจะลด 3 ครั้ง ดังนั้นแนวโน้มค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลง หลังจากข่าวคาดการณ์ลดดอกเบี้ยของเฟดได้สะท้อนในระดับหนึ่งแล้ว
นอกจากนี้ในเดือนต.ค.นี้ "วิทัย รัตนากร" ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จะเริ่มทำงานที่ธปท. คาดว่าจะใช้นโยบายดอกเบี้ยผ่อนคลายในการดูแลเศรษฐกิจจะส่งผลให้เงินบาทอ่อน ประเมินว่าจะแตะที่ระดับ 32-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่การเกินดุลการค้าของไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่าจะลดลง จากตัวเลขส่งออกชะลอตัว เพราะได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีทรัมป์ ส่วนท่องเที่ยวก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก เนื่องจากฐานปีที่แล้วสูง ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลลดลงและทำให้เงินบาทกลับมาอ่อนค่าลงได้
ส่วนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากบาทแข็ง เช่น โรงไฟฟ้า เช่น EGCO,GPSC ,BGRIM หุ้นพลังงาน เช่น กลุ่ม PTT เนื่องจากมีหนี้ต่างประเทศสูง สำหรับหุ้นที่เสียประโยชน์เป็นกลุ่มส่งออก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ และอาหาร
หุ้นส่งออกน่าลงทุนต่อหรือไม่? https://www.tnnthailand.com/tnnexclusive/209741/

ฝั่ง “ชาญชัย พันทาธนากิจ” ผู้อำนวยการอาวุโส บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) มองว่า เงินบาทแข็ง เพราะดอลลาร์สหรัฐอ่อน หลังจากตลาดคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 16-17 ก.ย.นี้ 0.25% และช่วงปลายปีอีก 2 ครั้ง ซึ่งปีหน้าคาดว่าจะลด 3 ครั้ง ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่แย่กว่าคาด ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้น และผู้ประการบางรายได้ส่งออกทองคำเพิ่มขึ้นหนุนเงินบาทแข็งค่า
ส่วนการปรับลดดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) คาดว่าจะปรับลดอีก 1 ครั้งในปลายปีนี้ ซึ่งหากปรับลดลงจะทำให้เงินบาทกลับมาอ่อนได้ อย่างไรก็ตาม เงินบาทที่แข็งค่าส่งผลดีต่อผู้นำเข้ามีต้นทุนลดลง แต่ผู้ส่งออกจะได้รับผลกระทบเพราะขายสินค้าเป็นดอลลาร์เมื่อแลกกลับมาเป็นเงินบาทได้รับน้อยลง
โดยหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่าคือหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า เช่น GPSC, CKP เนื่องจากมีหนี้เป็นสกุลดอลลาร์สูง และ กลุ่มสายการบิน เช่น AAV ,BA ต้นทุนนำเข้าน้ำมันลดลง
ส่วนหุ้นที่เสียประโยชน์ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ส่งออก และอาหาร เพราะรายได้ที่ได้รับเป็นดอลลาร์เมื่อแปลงเป็นเงินบาทจะได้น้อย
ลุ้นหุ้นไทยไปต่อ !https://www.tnnthailand.com/tnnexclusive/210464/

ฟาก “กรรณ หทัยศรัทธา” หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) ประเมินว่า เตรียมทบทวนเป้าหมายค่าเงินบาทใหม่จากเดิมที่คาดว่าจะแตะที่ระดับ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่ปลายปีประเมินว่าจะอยู่ที่ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐบวกลบเล็กน้อย สาเหตุที่บาทแข็งค่าเพราะดอลลาร์สหรัฐอ่อนตลาดคาดเฟดลดดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 16-17 ก.ย.นี้ลง 0.25% ส่วนการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ คาดว่าจะตรึงดอกเบี้ยไว้ที่ 4% ธนาคารกลางญี่ปุ่นประเมินว่าคงดอกเบี้ยไว้ที่ 0.5% ด้านทิศทางดอกเบี้ยของไทยมองว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) จะลดดอกเบี้ยลง 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปลายปีนี้
นอกจากนี้การเมืองที่เริ่มมีความชัดเจนเรื่องโผครม.ของรัฐบาลใหม่ทำให้เกิดเสถียรภาพทางการเมืองเป็นตัวหนุนฟันด์โฟลว์ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่า ซึ่งหากแข็งค่ามากเกินไปธปท.อาจจะเข้ามาดูแล เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้น
โดยหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่าเป็นกลุ่มโรงไฟฟ้า และหุ้นกลุ่มปตท. เนื่องจากมีภาระหนี้ที่เป็นสกุลดอลลาร์มาก ขณะที่หุ้นที่เสียประโยชน์คือ หุ้นอิเล็กทรอนิกส์ เช่น HANA ,DELTA , KCE และหุ้น TU , GFPT , KSL เป็นต้น
ปิดท้ายที่ บล. ดาโอ (ประเทศไทย) ประเมินอุตสาหกรรมและหุ้นที่จะได้รับผลบวกจาก “ค่าเงินบาทแข็งค่า” ดังนี้
1.กลุ่มสายการบิน THAI , AAV, BA ซึ่งมีสัดส่วนค่าใช้จ่าย เช่น ค่าน้ำมัน, ค่าเช่าเครื่องบิน และ ค่าซ่อมแซม เป็นดอลลาร์สหรัฐฯ จะสูงกว่ารายได้การขายตั๋วเครื่องบินในต่างประเทศเล็กน้อย
2.กลุ่มโรงไฟฟ้า เนื่องจากมีเงินกู้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้มีการบันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง (Unrealized FX Gain) เข้ามา อย่างไรก็ตาม รายการดังกล่าวเป็นเพียงรายการทางบัญชีและไม่ได้มีผลกระทบต่อกระแสเงินสด โดยหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากประเด็นดังกล่าวประกอบด้วย GULF, BGRIM, GPSC
3.กลุ่มพลังงาน เนื่องจากมีฐานะการลงทุนสุทธิเป็นบวก (Positive net exposure) ต่อการเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อสกุลเงินบาท จากการมีเงินกู้เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้อาจจะมีการบันทึก Unrealized FX Gain สำหรับ TOP และ PTTGC ขณะที่ผลกระทบต่อ PTTEP และ SPRC น่าจะมีจำกัดเพราะมีการใช้ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นสกุลเงินที่ใช้ในการดำเนินงาน (Functional Currency)
ส่วนอุตสาหกรรมและหุ้นอื่นที่จะเสียประโยชน์จาก “ค่าเงินบาทแข็งค่า” คือ
1. กลุ่มอาหาร เนื่องจากมีรายได้ส่วนใหญ่จากต่างประเทศ โดยเรียงลำดับการแข็งค่าทุก 1 บาท จะส่งผลกระทบต่อกำไรลดลง SUN -8%, ITC -8%, TU -7%, AAI -6% และ SAPPE -5%
2. กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่มาจากการส่งออกต่างประเทศ โดยเรียงลำดับการแข็งค่าทุก 1 บาท จะส่งผลกระทบต่อกำไรลดลง KCE -6% และ HANA -5%
3. อุตสาหกรรมอื่นที่ได้ผลกระทบเชิงลบจากค่าเงินบาทแข็งค่า เนื่องจากมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากการส่งออก ได้แก่ SAV มีรายได้และค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นเงินสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ โดยประเมินทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่า จะทำให้กำไรลดลง 3% และ PRM มีรายได้และค่าใช้จ่ายเป็นเงินสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ใกล้เคียงกัน ประเมินทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่า จะทำให้กำไร ลดลง 2%-3%
เงินบาทที่แข็งค่าผู้ที่ได้รับประโยชน์คือใคร
- ผู้นำเข้า-จ่ายเงินเท่าเดิม ได้ของเพิ่มขึ้นหรือนำเข้าสินค้าเท่าเดิมในราคาที่ถูกลง
- นักลงทุน-ลงทุนนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ในราคาถูกลง
- ผู้ที่เป็นหนี้กับต่างประเทศ-ใช้เงินบาท น้อยลง ชำระหนี้เท่าเดิม
- คนไทยไปเที่ยว นักศึกษาที่จะไปเรียนต่างประเทศ-ค่าใช้จ่ายถูกลงเมื่อเทียบเป็นเงินบาท
- คนทั่วไป -ซื้อสินค้านำเข้าในราคาถูกลง
เงินบาทที่แข็งค่าผู้ที่เสียประโยชน์คือใคร
- ผู้ส่งออก-ส่งออกของเท่าเดิม ได้รับชำระเป็นเงินดอลลาร์เท่าเดิม แต่แลกเป็นเงินบาทได้น้อยลง
- คนไทยทำงานในต่างประเทศศ-เอาค่าจ้างกลับมาแลกเป็นเงินบาทได้น้อยลง
- ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวที่รับเงินต่างประเทศ-นำมาแลกเงินบาทได้น้อยลง
เงินบาทเปรียบเสมือนเหรียญ 2 ด้าน มีทั้งอ่อนค่าและแข็งค่า ผู้ส่งออกและนำเข้าควรป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบหากเงินบาทผันผวนและขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนมากเกินไป....
ที่มาข้อมูล : สัมภาษณ์,ธปท.,บล.ดาโอ
ที่มารูปภาพ : Getty Images
นักข่าวอาวุโส ประสบการณ์มากกว่า 25ปี ด้านข่าวการเงิน การคลัง การลงทุน
