เฟดหั่นดอกเบี้ย ! ตลาดหุ้น "เกิดใหม่-พัฒนาแล้ว" ใครพุ่งแรงกว่ากัน?

เฟดหั่นดอกเบี้ย ! ตลาดหุ้น "เกิดใหม่-พัฒนาแล้ว" ใครพุ่งแรงกว่ากัน?

ดัชนีตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมาแตะจุดสูงสุดในรอบกว่า 7 เดือน ที่ระดับ  1,299.19 จุด  จากความหวังการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่เป็นไปอย่างราบรื่นและการคลอดนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน  รวมถึงแรงซื้อหุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ตามทิศทางหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ และหุ้นกลุ่มพลังงานหลังจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้น ขณะเดียวกันตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในการประชุม 16 -17 ก.ย. นี้เป็นแรงส่งหุ้นไทยสดใสปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง 

ส่วนแนวโน้มทิศทางหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าเป็นอย่างไร ถ้าเฟดลดดอกเบี้ยจะส่งผลต่อตลาดทุนมากน้อยแค่ไหน และเม็ดเงินลงทุนเคลื่อนย้ายจะไหลมาตลาดหุ้นเกิดใหม่และไทยหรือไม่  ในวันนี้ TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูกันค่ะ 

เริ่มจาก “ภราดร  เตียรณปราโมทย์" ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส ฉายภาพว่า  ตั้งแต่สภาฯ โหวตให้ “อนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมาจนถึงวันที่ 11 ก.ย. (1 สัปดาห์) ตลาดหุ้นไทยบวกไปแล้ว 2.8% ถือว่าบวกแรงสุดถ้าเทียบกับประเทศในแถบเอเชียใต้ หลังได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ หนุนโดยนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยลดลง และกองทุนซื้อสุทธิหุ้นไทย 1.7 พันล้านบาท มูลค่าการซื้อขายกลับมาโดดเด่นเฉียดระดับ 50,000 ล้านบาทต่อวัน

ทั้งนี้ถ้าเทียบตลาดหุ้นเพื่อนบ้านอย่าง ตลาดหุ้นแถบเอเชียเหนือบวกแรงรับกระแสธุรกิจชิป และคลาวด์เติบโตเด่น หนุนตลาดหุ้นเกาหลีใต้บวก 4.5% ตลาดหุ้นไต้หวันบวก 4.3% ส่วนตลาดหุ้นแถบเอเชียใต้ส่วนใหญ่ทรงตัว โดยตลาดหุ้นฟิลิปปินส์บวก 0.3% ตลาดหุ้นอินโดนีเซียลบ 1.5% และเวียดนามลบ 2.3% 

ขณะที่การซื้อขายหุ้นในภูมิภาคพบว่า ไต้หวันซื้อสุทธิ 5.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ซื้อสุทธิ 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากนักลงทุนเข้าหุ้นเทคโนโลยีกันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะหุ้นคลาวด์ ขณะที่ ตลาดหุ้นอินโดนีเซียขายสุทธิ 399 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตลาดหุ้นเวียดนามขายสุทธิ 198 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และตลาดหุ้นไทยขายสุทธิ 11 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ขายสุทธิ 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตลาดหุ้นไทยต่างชาติขายน้อยลง หลังจากได้รัฐบาลใหม่

ส่วนทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าติดตามใน 3 ประเด็นหลักคือ "สก็อตต์ เบสเซนต์" รมว.คลังสหรัฐฯ มีกำหนดพบหารือกับเหอ หลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีจีน และคณะเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสในกรุงมาดริด ประเทศสเปน เพื่อหารือประเด็นการเก็บภาษีตอบโต้ เศรษฐกิจ และความมั่นคงของชาติ รวมถึงการเจรจาแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย TikTok ที่บริษัท ByteDance ของจีนเป็นเจ้าของ หากมีความคืบหน้าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้น

สำหรับการประชุมธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดในวันที่ 16-17 ก.ย.นี้ คาดเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% จากปัจจุบันอยู่ที่ 4.25-4.50% แต่ต้องดู dot pot ต่อการคาดการณ์ปรับลดดอกเบี้ยของเฟดว่าจะปรับลด 3 ครั้งในปีนี้หรือไม่

นอกจากนี้ติดตามสถานการณ์การเมืองในประเทศ โดยเฉพาะโผครม.ใหม่คาดว่าจะเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น และคาดว่าจะทูลเกล้าครม.ชุดใหม่ได้ในสัปดาห์หน้า  ซึ่งโฉมหน้ารัฐมนตรีที่เป็นนอกส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถและมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเชื่อว่าจะมีนโยบายออมากระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง 4 เดือนนี้ได้ เช่น คนละครึ่ง ช้อปช่วยชาติ หรือเที่ยวคนละครึ่ง จะเป็นผลบวกต่อตลาด โดยมองหุ้นไทยแกว่งไซด์เวย์อัพ ในกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีแนวรับจะอยู่ที่ 1,280 จุด แนวต้านแรกอยู่ที่ 1,300 จุด แนวต้านถัดไปอยู่ที่ 1,320 จุด 

สรุปข่าว

ตลาดหุ้นไทยบวก 2.8% แรงสุดถ้าเทียบเอเชียใต้ หลังได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ โดยแนวโน้มสัปดาห์หน้าหุ้นไทยแกว่งไซด์เวย์อัพ หลังการเมืองชัดเจน ส่วนการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดคาดทำให้เม็ดเงินลงทุนในตลาดหุ้นและตราสารหนี้สหรัฐโยกมาลงทุนในตลาดเกิดใหม่ หนุนดัชนีปรับตัวขึ้นมากกว่าตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว

ดัชนีตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมาแตะจุดสูงสุดในรอบกว่า 7 เดือน ที่ระดับ  1,299.19 จุด  จากความหวังการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่เป็นไปอย่างราบรื่นและการคลอดนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน  รวมถึงแรงซื้อหุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ตามทิศทางหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ และหุ้นกลุ่มพลังงานหลังจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้น ขณะเดียวกันตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในการประชุม 16 -17 ก.ย. นี้เป็นแรงส่งหุ้นไทยสดใสปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง 

ส่วนแนวโน้มทิศทางหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าเป็นอย่างไร ถ้าเฟดลดดอกเบี้ยจะส่งผลต่อตลาดทุนมากน้อยแค่ไหน และเม็ดเงินลงทุนเคลื่อนย้ายจะไหลมาตลาดหุ้นเกิดใหม่และไทยหรือไม่  ในวันนี้ TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูกันค่ะ 

เริ่มจาก “ภราดร  เตียรณปราโมทย์" ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส ฉายภาพว่า  ตั้งแต่สภาฯ โหวตให้ “อนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมาจนถึงวันที่ 11 ก.ย. (1 สัปดาห์) ตลาดหุ้นไทยบวกไปแล้ว 2.8% ถือว่าบวกแรงสุดถ้าเทียบกับประเทศในแถบเอเชียใต้ หลังได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ หนุนโดยนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยลดลง และกองทุนซื้อสุทธิหุ้นไทย 1.7 พันล้านบาท มูลค่าการซื้อขายกลับมาโดดเด่นเฉียดระดับ 50,000 ล้านบาทต่อวัน

ทั้งนี้ถ้าเทียบตลาดหุ้นเพื่อนบ้านอย่าง ตลาดหุ้นแถบเอเชียเหนือบวกแรงรับกระแสธุรกิจชิป และคลาวด์เติบโตเด่น หนุนตลาดหุ้นเกาหลีใต้บวก 4.5% ตลาดหุ้นไต้หวันบวก 4.3% ส่วนตลาดหุ้นแถบเอเชียใต้ส่วนใหญ่ทรงตัว โดยตลาดหุ้นฟิลิปปินส์บวก 0.3% ตลาดหุ้นอินโดนีเซียลบ 1.5% และเวียดนามลบ 2.3% 

ขณะที่การซื้อขายหุ้นในภูมิภาคพบว่า ไต้หวันซื้อสุทธิ 5.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ซื้อสุทธิ 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากนักลงทุนเข้าหุ้นเทคโนโลยีกันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะหุ้นคลาวด์ ขณะที่ ตลาดหุ้นอินโดนีเซียขายสุทธิ 399 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตลาดหุ้นเวียดนามขายสุทธิ 198 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และตลาดหุ้นไทยขายสุทธิ 11 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ขายสุทธิ 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตลาดหุ้นไทยต่างชาติขายน้อยลง หลังจากได้รัฐบาลใหม่

ส่วนทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าติดตามใน 3 ประเด็นหลักคือ "สก็อตต์ เบสเซนต์" รมว.คลังสหรัฐฯ มีกำหนดพบหารือกับเหอ หลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีจีน และคณะเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสในกรุงมาดริด ประเทศสเปน เพื่อหารือประเด็นการเก็บภาษีตอบโต้ เศรษฐกิจ และความมั่นคงของชาติ รวมถึงการเจรจาแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย TikTok ที่บริษัท ByteDance ของจีนเป็นเจ้าของ หากมีความคืบหน้าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้น

สำหรับการประชุมธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดในวันที่ 16-17 ก.ย.นี้ คาดเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% จากปัจจุบันอยู่ที่ 4.25-4.50% แต่ต้องดู dot pot ต่อการคาดการณ์ปรับลดดอกเบี้ยของเฟดว่าจะปรับลด 3 ครั้งในปีนี้หรือไม่

นอกจากนี้ติดตามสถานการณ์การเมืองในประเทศ โดยเฉพาะโผครม.ใหม่คาดว่าจะเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น และคาดว่าจะทูลเกล้าครม.ชุดใหม่ได้ในสัปดาห์หน้า  ซึ่งโฉมหน้ารัฐมนตรีที่เป็นนอกส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถและมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเชื่อว่าจะมีนโยบายออมากระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง 4 เดือนนี้ได้ เช่น คนละครึ่ง ช้อปช่วยชาติ หรือเที่ยวคนละครึ่ง จะเป็นผลบวกต่อตลาด โดยมองหุ้นไทยแกว่งไซด์เวย์อัพ ในกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีแนวรับจะอยู่ที่ 1,280 จุด แนวต้านแรกอยู่ที่ 1,300 จุด แนวต้านถัดไปอยู่ที่ 1,320 จุด 


หันมาดูเหตุการณ์ในอดีตหากเฟดส่งสัญญาณดอกเบี้ยขาลงและปรับลดดอกเบี้ยแบบยาว ๆ พบว่า หุ้นในตลาดเกิดใหม่ และเอเชียเขียวสดใส 

ปี 2008 เกิดวิกฤติซัพไพร์ม พอเฟดเริ่มลดดอกเบี้ย หลังจากนั้น 3 เดือนหุ้นตลาดเกิดใหม่ปรับขึ้น 25% ขณะที่ตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วปรับขึ้นเพียง 6.5%

ปี 2020 ช่วงเกิดวิกฤติโควิด พอเฟดลดดอกเบี้ย หลังจากนั้น 3 เดือน หุ้นตลาดเกิดใหม่ปรับขึ้น 7.6% ขณะที่ตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วปรับขึ้นเพียง 7.2%

ปี 2024 เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวเหมือนจะเข้าสู่ภาวะ “Soft Landing” พอเฟดเริ่มทยอยลดดอกเบี้ยลงจาก 5.5%  หลังจากนั้น 3 เดือน หุ้นตลาดเกิดใหม่ปรับขึ้น 1.8% ขณะที่ตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วติดลบ 4.7%

ซึ่งการเข้าวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงของสหรัฐอีกครั้งเหมือนอดีต และจะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขเศรษฐกิจสหรัฐฯไม่ได้เข้าสู่ภาวะถดถอย จะมีสภาพคล่องเข้ามา หุ้นจะปรับตัวขึ้นได้ดี แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าเม็ดเงินลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ที่ 65 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ใหญ่กว่าตลาดตราสารหนี้อยู่ที่ 58 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ  

ซึ่งตลาดตราสารหนี้สหรัฐคิดเป็นสัดส่วน 40.1% ของตราสารหนี้ทั่วโลก และตามปกติ เงินลงทุนในตลาดตราสารหนี้จะต้องมากกว่าเงินลงทุนในตลาดหุ้น โดยเฉพาะหากเฟดลดดอกเบี้ยคาดว่าจะเม็ดเงินจากตราสารหนี้สหรัฐฯจะโยกลงทุนไปยังตลาดหุ้นเอเชียเพื่อหาผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น โดยตลาดหุ้นเอเชียมี Earning Yield หรือเปอร์เซ็นต์กำไรต่อขนาดตลาด สูงเกิน 5% เช่น ตลาดหุ้นไทยมี Earning Yield Gapอยู่ที่ 6.7%  ตลาดหุ้นจีน Earning Yield Gapอยู่ที่ 8% ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐ มี Earning Yield Gap เพียง 3.1% 

ขณะที่ตลาดหุ้นไทยในอดีตตลอดกาลตลาดหุ้นจะใหญ่กว่าตลาดตราสารหนี้เสมอ แต่ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยกลับมีมาร์เก็ตแคป หรือมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด 16.2 ล้านล้านบาท เล็กกว่าตลาดตราสารหนี้มีมาร์เก็ตแคป 17.6 ล้านล้านบาท โดยหุ้นมีสัดส่วนอยู่ที่ 47.9% ตราสารหนี้สัดส่วน 52.1% ของตลาดการเงิน 

ซึ่งหากดอกเบี้ยขาลงตลาดหุ้นไทยมีโอกาสกลับไปใหญ่เทียบเท่า หรือใหญ่กว่าตลาดตราสารหนี้ที่ 17.6 ล้านล้านบาทอีกครั้ง ในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า เทียบเคียงได้กับดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสขยับขึ้นไปแตะที่ระดับ 1,376- 1,390 จุด กรณีที่เฟดเข้าสู่วัฏจักรการปรับลดดอกเบี้ยรอบใหญ่ตั้งแต่วันที่ 18 ก.ย.เป็นต้นไป โดยตลาดคาดว่าเฟดลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ และ 3 ครั้งในปีหน้า จาก dot pot เดิม คาดการณ์เฟดจะลดดอกเบี้ยลง 2 ครั้ง ดังนั้นต้องดู dot pot ล่าสุดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่

ด้านกลยุทธ์การลงทุนถ้าผลการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนมีแนวโน้มผ่อนคลาย เน้นหุ้นแลกการ์ด  WHA ราคาเป้าหมาย 4.36  บาท หุ้น China Play เลือก SCGP ราคาเป้าหมาย 25 บาท วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง MTC ราคาเป้าหมาย 45  บาท และเป็นหุ้นฟรีโฟลตต่ำ (Low Free Float) คือหุ้นที่มีสัดส่วนของผู้ถือหุ้นรายย่อยน้อย คาดว่าราคามีโอกาสขยับขึ้นได้มากกว่ากลุ่ม โดย Free Floatอยู่ที่ 32% AP เป็นหุ้นปันผลสูง ราคาเป้าหมาย 10.30 บาท

ส่วนหุ้นรับผลบวกจากมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่แนะนำ CPALL ราคาเป้าหมาย 66.50 บาท CPAXT ราคาเป้าหมาย 21.70  บาท รวมถึงหุ้นโรงพยาบาลเข้าสู่ช่วงฤดูฝนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเลือก BDMS ราคาเป้าหมาย 29  บาท


ฝั่งฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์" AISA, CFTe ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.กรุงศรี มองว่า ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์แกว่งไซด์เวย์-ไซด์เวย์อัพ แนวรับแรกที่ 1,279 จุด แนวรับถัดไปที่ 1,268จุด แนวต้านแรกที่  1,308 จุด แนวต้านถัดไปที่ 1,320จุด   แรงขับเคลื่อนตลาดมาทั้งภายนอกและภายใน โดยตลาดคาดหวังธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย.นี้ 

นอกจากนี้ ติดตามคาดการณ์ Dot Plot และเศรษฐกิจสหรัฐฯที่มีโอกาสปรับลง ทำให้เม็ดเงินยังน่าจะสลับออกจากสหรัฐฯ สู่ตลาดหุ้นที่ยัง Laggard ภายใน คาดว่า ครม.ชุดใหม่น่าจะได้รับการโปรดเกล้า ขณะที่ตลาดเก็งภาพกลุ่มที่ได้ผลบวกรัฐฯเร่งใช้เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ หุ้นเด่นรายสัปดาห์จึงเน้นไปที่ หุ้นอิงดอกเบี้ยขาลง (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ High Yield  (อสังหาฯ REITs) หนี้สูง) หุ้นอิงภายใน Domestic ที่ยัง Deep Value (ค้าปลีก ท่องเที่ยว ร.พ.) และหุ้นในธีม Anti-involution จากความคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจประชุม Politburo ต้น ต.ค.

 ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทย

  •  15 ก.ย. กิจกรรมเศรษฐกิจในเดือน ส.ค. ของจีน  1.ผลผลิตอุตสาหกรรม คาด +5.6%y-y จากเดิมอยู่ที่  +5.7%y-y, 2. ยอดค้าปลีก คาด +3.8%y-y จากเดิมอยู่ที่  +3.7%y-y, 3.การลงทุนสินทรัพย์คงทน คาด +1.4%ytd y-y จากเดิมอยู่ที่  +1.6%ytd y-y, 4. ดัชนีราคาบ้านใหม่ คาด -0.3%m-m เท่าเดือนก่อน
  • 15-19 ก.ย. ติดตามสถานการณ์การเมืองไทย โดยเฉพาะการแต่งตั้ง ครม. ชุดใหม่ และนโยบายเศรษฐกิจ คาดเน้นที่การเร่งเบิกจ่ายงบไปที่ภายใน อาทิ การบริโภค ท่องเที่ยว
  • 17 ก.ย. ยอดค้าปลีก ส.ค. ของสหรัฐฯ คาด +0.3%m-m จากเดิมอยู่ที่  +0.5%m-m, ผลผลิตอุตสาหกรรรม ส.ค. คาด +0.0% m-m จากเดิมอยู่ที่ -0.1%m-m
  • 18 ก.ย. ผลประชุม FOMC คาดปรับอัตราอกเบี้ยนโยบายลง 0.25%  ลงสู่กรอบ 4.0% - 4.25%  ซึ่งต้องติดตาม Dot Plot  และคาดการณ์เศรษฐกิจของสหรัฐฯ
  • 18 ก.ย. ติดตามการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือ BoJ คาดคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายระดับ 0.5%
  • 19 ก.ย. ดัชนี FTSE การ Rebalance รอบใหม่ จะมีผลราคาปิด Standard Index (Large+Mid) หุ้นเข้า : ไม่มี หุ้นออก BGRIM, SAWAD

 

หุ้นเด่นสัปดาห์นี้ : แนะนำ 

 •  CPALL (TP25F-80): ดอกเบี้ยขาลง ผสาน Upside มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาลใหม่

 •  MTC (TP25F-58): ดอกเบี้ยขาลง ผสาน Upside มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาลใหม่

 •  KTC (TP25F-40): หุ้น Deep Value ที่จะมีภาพวงจรดอกเบี้ยขาลงเป็นแรงหนุน

แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะมีแรงส่งจากการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะโผครม.ชุดใหม่เริ่มลงตัวและมีความชัดเจน ขณะที่ทิศทางดอกเบี้ยขาลงของธนาคารกลางสหรัฐฯ จะหนุนให้เม็ดเงินต่างชาติไหลกลับเข้ามาในตลาดเกิดใหม่รวมถึงตลาดหุ้นไทยมากขึ้นได้  แต่จากความไม่แน่นอนของปัจจัยต่างๆ ที่ยังมีอยู่สูงเช่นกัน ทำให้นักลงทุนยังต้องระมัดระวังการลงทุน และกระจายพอร์ตการลงทุนให้พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น..... 

ที่มาข้อมูล : สัมภาษณ์พิเศษ

ที่มารูปภาพ : Getty Images

นักข่าวอาวุโส ประสบการณ์มากกว่า 25ปี ด้านข่าวการเงิน การคลัง การลงทุน