เจาะจุดยุทธศาสตร์ชายแดนไทย–กัมพูชา กับไทม์ไลน์สู้รบ 7–9 ธ.ค. 68

Share on Line Share on Facebook Share on X
เจาะจุดยุทธศาสตร์ชายแดนไทย–กัมพูชา กับไทม์ไลน์สู้รบ 7–9 ธ.ค. 68

เสียงปืนและจรวดจากแนวเทือกเขาพนมดงรักตลอด 3 วัน ระหว่าง 7–9 ธันวาคม 2568 ไม่ได้เป็นเพียงเหตุปะทะเฉพาะหน้า แต่ผูกโยงกับภูมิประเทศที่มีความหมายทางยุทธศาสตร์ และข้อพิพาททางกฎหมายที่สั่งสมมานานกว่าศตวรรษ ระหว่างไทยกับกัมพูชา

จากภูผาเหล็กในศรีสะเกษ ช่องบก–ช่องอานม้าในอุบลราชธานี ไปจนถึงซำแต–ช่องตาเฒ่า และกลุ่มปราสาทโบราณในสุรินทร์ พื้นที่เหล่านี้คือ “จิ๊กซอว์” สำคัญในเกมอำนาจชายแดน ที่ทั้งสองประเทศต่างต้องการครอบครอง ทั้งในเชิงความมั่นคง เส้นทางยุทธศาสตร์ และภาพทางการเมืองต่อประชาคมโลก

ภูผาเหล็ก–พลาญหินแปดก้อน จุดเริ่มต้นปะทะรอบใหม่

ภูผาเหล็ก–พลาญหินแปดก้อน ตั้งอยู่ที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ บนแนวเทือกเขาพนมดงรัก ใกล้ปราสาทพระวิหารเพียงไม่กี่กิโลเมตร ลักษณะเป็นที่สูง มองเห็นพื้นที่รอบด้านได้ไกล พลาญหินขนาดใหญ่เรียงตัวคล้ายเลข 8 จึงเหมาะเป็นจุดสังเกตการณ์และฐานเฝ้าระวังสำคัญ

พื้นที่นี้เคยเกิดการสู้รบหนักช่วงปี 2551–2554 ควบคู่กับข้อพิพาทปราสาทพระวิหาร มีการใช้ทั้งปืนใหญ่ จรวดหลายลำกล้อง และระเบิดแยก ส่งผลให้ชาวบ้านนับหมื่นต้องอพยพ และยังเป็นพื้นที่ที่การปักปันเขตแดนไม่ชัดเจนมาจนถึงปัจจุบัน

ในไทม์ไลน์ปัจจุบัน เหตุปะทะรอบใหม่เริ่มต้นเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2568 เวลา 14.15–14.16 น. หน่วยลาดตระเวนไทยเผชิญหน้ากับทหารกัมพูชา ทหารไทยบาดเจ็บ 2 นาย คือ ส.อ.อนุชาติ เรือนคำ ถูกยิงที่ขา และพลฯ พรชัย จำปาจุม ถูกยิงบริเวณเสื้อเกราะหน้าอก การปะทะยุติลงราว 14.50 น. แต่บรรยากาศตึงเครียดและการเตรียมพร้อมรบยังดำเนินต่อไป

ช่องบก–ช่องอานม้า เนินสูงที่ใครคุมได้ก็ได้เปรียบ

ช่องบกและช่องอานม้า ตั้งอยู่บนเทือกเขาพนมดงรักในอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เป็นช่องเขาสูงข่มพื้นที่โดยรอบ เชื่อมต่อเส้นทางการค้าโบราณ และเป็นประตูผ่านแดนสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ ผู้ที่ครอบครองเนินสูงและทางผ่านเหล่านี้ย่อมควบคุมการเคลื่อนไหวของกำลังทหารและยุทโธปกรณ์ได้อย่างมีนัยสำคัญ

พื้นที่นี้ถูกอ้างสิทธิ์ทับซ้อน ไทยและกัมพูชายังไม่สามารถปักปันเขตแดนอย่างสมบูรณ์ นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2568 กัมพูชานำกำลังประมาณ 800 นาย ขึ้นตั้งฐานบริเวณเนิน 745 หรือที่ฝ่ายไทยบางส่วนเรียกเนิน 350 พร้อมวางทุ่นระเบิดจำนวนมาก ทำให้กลายเป็นฐานยึดหัวสะพานสำคัญ

ในเช้ามืดวันที่ 8 ธันวาคม 2568 เวลา 05.00 น. มีรายงานว่ากัมพูชาเปิดฉากยิงด้วยปืนเล็กและอาวุธวิถีโค้งจากฝั่งช่องอานม้า ก่อนระดมยิงซ้ำระหว่าง 06.00–06.50 น. จนต้องอพยพประชาชนหลายพื้นที่ใน 4 จังหวัดชายแดน

จุดที่รุนแรงที่สุดเกิดขึ้นเวลา 07.00 น. ที่ช่องบก มีการปะทะหนัก ทำให้ทหารไทยเสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 4 นาย ฝ่ายไทยตัดสินใจใช้เครื่องบินขับไล่ F–16 เข้าปฏิบัติการโจมตีเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของกัมพูชา ซึ่งสื่อต่างประเทศหยิบขึ้นไปนำเสนออย่างกว้างขวาง

สรุปข่าว

เหตุปะทะชายแดนไทย–กัมพูชา 7–9 ธ.ค. 2568 ผูกโยงกับจุดยุทธศาสตร์บนแนวพนมดงรัก ตั้งแต่ภูผาเหล็ก ช่องบก–ช่องอานม้า ซำแต–ช่องตาเฒ่า ไปจนถึงกลุ่มปราสาทตาควาย–คนา ซึ่งล้วนเป็นพื้นที่สูง ทับซ้อน และยังไม่ปักปันเขตแดนชัดเจน ทำให้กลายเป็นทั้งสนามรบภาคพื้นดิน สนามข้อมูล และสนามกฎหมายระหว่างประเทศในเวลาเดียวกัน

เสียงปืนและจรวดจากแนวเทือกเขาพนมดงรักตลอด 3 วัน ระหว่าง 7–9 ธันวาคม 2568 ไม่ได้เป็นเพียงเหตุปะทะเฉพาะหน้า แต่ผูกโยงกับภูมิประเทศที่มีความหมายทางยุทธศาสตร์ และข้อพิพาททางกฎหมายที่สั่งสมมานานกว่าศตวรรษ ระหว่างไทยกับกัมพูชา

จากภูผาเหล็กในศรีสะเกษ ช่องบก–ช่องอานม้าในอุบลราชธานี ไปจนถึงซำแต–ช่องตาเฒ่า และกลุ่มปราสาทโบราณในสุรินทร์ พื้นที่เหล่านี้คือ “จิ๊กซอว์” สำคัญในเกมอำนาจชายแดน ที่ทั้งสองประเทศต่างต้องการครอบครอง ทั้งในเชิงความมั่นคง เส้นทางยุทธศาสตร์ และภาพทางการเมืองต่อประชาคมโลก

ภูผาเหล็ก–พลาญหินแปดก้อน จุดเริ่มต้นปะทะรอบใหม่

ภูผาเหล็ก–พลาญหินแปดก้อน ตั้งอยู่ที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ บนแนวเทือกเขาพนมดงรัก ใกล้ปราสาทพระวิหารเพียงไม่กี่กิโลเมตร ลักษณะเป็นที่สูง มองเห็นพื้นที่รอบด้านได้ไกล พลาญหินขนาดใหญ่เรียงตัวคล้ายเลข 8 จึงเหมาะเป็นจุดสังเกตการณ์และฐานเฝ้าระวังสำคัญ

พื้นที่นี้เคยเกิดการสู้รบหนักช่วงปี 2551–2554 ควบคู่กับข้อพิพาทปราสาทพระวิหาร มีการใช้ทั้งปืนใหญ่ จรวดหลายลำกล้อง และระเบิดแยก ส่งผลให้ชาวบ้านนับหมื่นต้องอพยพ และยังเป็นพื้นที่ที่การปักปันเขตแดนไม่ชัดเจนมาจนถึงปัจจุบัน

ในไทม์ไลน์ปัจจุบัน เหตุปะทะรอบใหม่เริ่มต้นเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2568 เวลา 14.15–14.16 น. หน่วยลาดตระเวนไทยเผชิญหน้ากับทหารกัมพูชา ทหารไทยบาดเจ็บ 2 นาย คือ ส.อ.อนุชาติ เรือนคำ ถูกยิงที่ขา และพลฯ พรชัย จำปาจุม ถูกยิงบริเวณเสื้อเกราะหน้าอก การปะทะยุติลงราว 14.50 น. แต่บรรยากาศตึงเครียดและการเตรียมพร้อมรบยังดำเนินต่อไป

ช่องบก–ช่องอานม้า เนินสูงที่ใครคุมได้ก็ได้เปรียบ

ช่องบกและช่องอานม้า ตั้งอยู่บนเทือกเขาพนมดงรักในอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เป็นช่องเขาสูงข่มพื้นที่โดยรอบ เชื่อมต่อเส้นทางการค้าโบราณ และเป็นประตูผ่านแดนสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ ผู้ที่ครอบครองเนินสูงและทางผ่านเหล่านี้ย่อมควบคุมการเคลื่อนไหวของกำลังทหารและยุทโธปกรณ์ได้อย่างมีนัยสำคัญ

พื้นที่นี้ถูกอ้างสิทธิ์ทับซ้อน ไทยและกัมพูชายังไม่สามารถปักปันเขตแดนอย่างสมบูรณ์ นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2568 กัมพูชานำกำลังประมาณ 800 นาย ขึ้นตั้งฐานบริเวณเนิน 745 หรือที่ฝ่ายไทยบางส่วนเรียกเนิน 350 พร้อมวางทุ่นระเบิดจำนวนมาก ทำให้กลายเป็นฐานยึดหัวสะพานสำคัญ

ในเช้ามืดวันที่ 8 ธันวาคม 2568 เวลา 05.00 น. มีรายงานว่ากัมพูชาเปิดฉากยิงด้วยปืนเล็กและอาวุธวิถีโค้งจากฝั่งช่องอานม้า ก่อนระดมยิงซ้ำระหว่าง 06.00–06.50 น. จนต้องอพยพประชาชนหลายพื้นที่ใน 4 จังหวัดชายแดน

จุดที่รุนแรงที่สุดเกิดขึ้นเวลา 07.00 น. ที่ช่องบก มีการปะทะหนัก ทำให้ทหารไทยเสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 4 นาย ฝ่ายไทยตัดสินใจใช้เครื่องบินขับไล่ F–16 เข้าปฏิบัติการโจมตีเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของกัมพูชา ซึ่งสื่อต่างประเทศหยิบขึ้นไปนำเสนออย่างกว้างขวาง

ซำแต–ภูผี–ช่องตาเฒ่า และการโจมตีแบบหลายเป้าหมาย

อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ คืออีกแนวรบสำคัญ พื้นที่ซำแต ภูผี และช่องตาเฒ่า เป็นพื้นที่สูงและช่องเขาบนแนวพนมดงรัก ที่เคยเป็นเส้นทางการค้าโบราณเชื่อมไทย–กัมพูชา พื้นที่เหล่านี้อยู่ใกล้ชายแดน และเป็นส่วนหนึ่งของข้อเสนอที่กัมพูชานำขึ้นต่อศาลโลกในข้อพิพาทพื้นที่รอบปราสาทโบราณ

วันที่ 9 ธันวาคม 2568 เวลา 04.50 น. กัมพูชาถูกระบุว่าใช้จรวดหลายลำกล้อง BM–21 ยิงโจมตีพร้อมกัน 4 พื้นที่ คือซำแต ภูผี ช่องตาเฒ่า และปราสาทตาควาย ถือเป็นการโจมตีแบบรวมเป้าหมายเพื่อกดดันแนวไทยในหลายจุด ขณะเดียวกันมีการใช้โดรนทิ้งระเบิดประกอบ ไทยตอบโต้ตามกฎการใช้กำลัง สถานการณ์ยังตึงเครียดตลอดทั้งวัน

ปราสาทตาควาย–ปราสาทคนา แหล่งมรดกที่กลายเป็นสมรภูมิ

ปราสาทตาควายและปราสาทคนา ตั้งอยู่ในอำเภอพนมดงรักและอำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เดิมคือโบราณสถานเขมรที่สร้างขึ้นราวคริสต์ศตวรรษที่ 11 ในวัฒนธรรมขอมโบราณ นับเป็นสถานที่มีทั้งคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ศาสนา และภูมิรัฐศาสตร์

ปราสาทตาควายถูกกัมพูชาใช้เป็นบังเกอร์ทหาร มีการสร้างกระเช้าลำเลียงกำลัง บันได และเสาเรดาร์บนเนิน 350 เพื่อสังเกตการณ์และเสริมความได้เปรียบในการควบคุมพื้นที่ ทำให้โบราณสถานกลายเป็นฐานยุทธศาสตร์โดยตรง และเป็นหนึ่งใน 3 ปราสาทที่กัมพูชาเคยเสนออ้างสิทธิ์ต่อศาลโลก

วันที่ 8 ธันวาคม 2568 เวลา 09.20 น. ฝ่ายไทยปฏิบัติการโจมตีทำลายกระเช้าลำเลียงบนเนิน 350 สำเร็จ ตัดโครงสร้างสนับสนุนกำลังทหารกัมพูชาบริเวณปราสาทตาควาย ขณะที่ตลอดทั้งวันมีรายงานว่ากัมพูชาโจมตีปราสาทตาเมือนธมซึ่งอยู่ใกล้เคียง จนโบราณสถานเสียหายราว 50–60 เปอร์เซ็นต์

ในเวลาเดียวกัน ไทยเข้าควบคุมพื้นที่ปราสาทคนาและปักธงชาติไทยบนปราสาท ถือเป็นสัญลักษณ์การประกาศการควบคุมพื้นที่ในฝั่งไทยอย่างชัดเจน ก่อนที่วันที่ 9 ธันวาคม การปะทะรุนแรงจะยังดำเนินต่อในหลายจุดรอบกลุ่มปราสาท

BM–21 ลงบ้านสายโท 10 เมื่อพลเรือนกลายเป็นแนวหน้า

อีกเหตุการณ์สำคัญในวันที่ 8 ธันวาคม 2568 คือเวลา 08.30 น. กระสุน BM–21 จากฝั่งกัมพูชาถูกยิงเข้าพื้นที่บ้านสายโท 10 ใต้ ตำบลสายตะกู อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นชุมชนพลเรือน ไม่ใช่ฐานทหารโดยตรง แม้เบื้องต้นยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต แต่เหตุการณ์นี้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อความรู้สึกของสังคม เพราะหมายถึงการโจมตีที่กระทบต่อประชาชนชายแดนโดยตรง

พื้นที่บ้านสายโท 10 ยังเป็นจุดที่หน่วยงานไทยอยู่ระหว่างการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม จึงยิ่งตอกย้ำว่าความขัดแย้งชายแดนไม่ได้มีผลเฉพาะการทหาร แต่กระทบต่อการพัฒนาพื้นที่ปลอดภัยในระยะยาว

รากของข้อพิพาท จากสนธิสัญญาเก่า ถึงการปักปันที่ไม่จบ

เบื้องหลังจุดยุทธศาสตร์ทุกแห่ง คือกรอบกฎหมายที่ย้อนกลับไปถึงสนธิสัญญาฝรั่งเศส–สยาม พ.ศ. 2447 และ 2450 ที่ใช้สันปันน้ำแนวเทือกเขาพนมดงรักเป็นเกณฑ์กำหนดเขตแดน แม้ศาลโลกจะมีคำตัดสินปี 2505 ให้ตัวปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนกัมพูชา และมีคำตีความเพิ่มเติมในปี 2556 แต่พื้นที่รอบนอกจำนวนมากยังไม่มีการปักปันเขตแดนอย่างชัดเจน

ความไม่แน่นอนนี้ ทำให้แต่ละฝ่ายตีความแผนที่คนละชุด อ้างสิทธิ์ทับซ้อนในพื้นที่สูง ช่องเขา และกลุ่มปราสาทหิน เมื่อผนวกเข้ากับผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ การเมืองภายใน และแรงกดดันจากการใช้ประเด็นชาติพันธุ์–ชาตินิยม การปะทะจึงเกิดซ้ำเป็นระยะ ตั้งแต่ปี 2551 กระทั่งมาถึงเหตุการณ์รอบล่าสุดในเดือนธันวาคม 2568

ในภาพรวม ไทม์ไลน์ 7–9 ธันวาคม แสดงลำดับจากจุดปะทะแรกที่ภูผาเหล็ก ขยายวงสู่ช่องอานม้า–ช่องบก การยิง BM–21 ใส่ชุมชนบ้านสายโท 10 การโจมตีและโต้ตอบรอบปราสาทตาควาย–ปราสาทคนา และการยิงจรวดพร้อมกันหลายจุดที่ซำแต ภูผี และช่องตาเฒ่า สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าแต่ละจุดไม่ใช่แค่ “จุดบนแผนที่” แต่คือหัวใจของความมั่นคงชายแดนที่ทั้งสองฝ่ายไม่ยอมปล่อยมือ

 

ที่มาข้อมูล : TNN เรียบเรียง

ที่มารูปภาพ : กองทัพบก

บรรณาธิการออนไลน์