คอคาร์บอน ไม่ใช่แค่เบาหวาน แต่เสี่ยง PCOS ผู้หญิงต้องระวัง ?

คอคาร์บอน ไม่ใช่แค่เบาหวาน แต่เสี่ยง PCOS ผู้หญิงต้องระวัง ?

ผิวบริเวณลำคอที่มีลักษณะคล้ำและหนากว่าปกติ อาจไม่ใช่ความสกปรกแต่เป็นสัญญาณเตือนสุขภาพ 

รศ.(พิเศษ) พญ.ปนัดดา ศรีจอมขวัญ  ฝ่ายอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ระบุว่า เป็นเรื่องจริง คอคาร์บอน ที่มีภาวะคอดำ ทางการแพทย์เรียกว่า โรคผิวหนังช้าง ซึ่งเป็นภาวะที่ผิวหนังบริเวณรอยพับ เช่น ลำคอ รักแร้ ขาหนีบ มีลักษณะหนาและมีสีคล้ำกว่าปกติ โดยสาเหตุเกิดจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน หรือ โรคเบาหวาน ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน หรือมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน อินซูลินในระดับสูงจะกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวหนังและเม็ดสี ทำให้ผิวบริเวณรอยพับมีลักษณะหนาและคล้ำขึ้น


นอกจากนี้ อาจเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมน เช่น กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ หรือ PCOS พันธุกรรมหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด ซึ่งรอยดำดังกล่าวการขัดผิวไม่ได้ช่วยให้อาการดีขึ้น แต่อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองหรือบาดเจ็บได้



สรุปข่าว

คอคาร์บอน ไม่ใช่แค่เบาหวาน แต่เสี่ยง PCOS ผู้หญิงต้องระวัง ? ซึ่ง แพทย์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ระบุว่าเป็นข้อมูลจริง หากพบว่าผิวบริเวณลำคอมีลักษณะคล้ำผิดปกติ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ และรับการรักษาที่ตรงจุด

ผิวบริเวณลำคอที่มีลักษณะคล้ำและหนากว่าปกติ อาจไม่ใช่ความสกปรกแต่เป็นสัญญาณเตือนสุขภาพ 

รศ.(พิเศษ) พญ.ปนัดดา ศรีจอมขวัญ  ฝ่ายอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ระบุว่า เป็นเรื่องจริง คอคาร์บอน ที่มีภาวะคอดำ ทางการแพทย์เรียกว่า โรคผิวหนังช้าง ซึ่งเป็นภาวะที่ผิวหนังบริเวณรอยพับ เช่น ลำคอ รักแร้ ขาหนีบ มีลักษณะหนาและมีสีคล้ำกว่าปกติ โดยสาเหตุเกิดจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน หรือ โรคเบาหวาน ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน หรือมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน อินซูลินในระดับสูงจะกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวหนังและเม็ดสี ทำให้ผิวบริเวณรอยพับมีลักษณะหนาและคล้ำขึ้น


นอกจากนี้ อาจเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมน เช่น กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ หรือ PCOS พันธุกรรมหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด ซึ่งรอยดำดังกล่าวการขัดผิวไม่ได้ช่วยให้อาการดีขึ้น แต่อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองหรือบาดเจ็บได้



ภาวะดื้ออินซูลิน คืออะไร  ?

เป็นภาวะที่เซลล์ในร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้น้อยกว่าปกติ ทำให้ร่างกายต้องใช้อินซูลินมากขึ้นในการนำน้ำตาลกลูโคสไปยังเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงาน ตับอ่อนจึงผลิตอินซูลินออกมาเพิ่มขึ้น เมื่อเวลาผ่านไปอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้ หากปล่อยให้มีภาวะดื้ออินซูลินเป็นเวลานานโดยไม่ได้รับการรักษา อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะก่อนเบาหวาน และโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ตามมา และหากผู้ป่วยเบาหวานมีภาวะดื้ออินซูลินร่วมด้วย อาจทำให้การควบคุมระดับนํ้าตาลในเลือดทำได้ยากขึ้น การปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการใช้ยารักษาจะช่วยรักษาภาวะดื้ออินซูลินได้

คุณหมอแนะว่า หากพบว่าผิวบริเวณลำคอมีลักษณะคล้ำผิดปกติ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ และรับการรักษาที่ตรงจุด เช่น ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดน้ำหนัก หรือปรับสมดุลฮอร์โมนตามดุลยพินิจของแพทย์ พร้อมให้ความมั่นใจว่า อาการดังกล่าวสามารถรักษาให้หายได้