ข่าวนี้จริงไหม.....ไวรัสตับอักเสบบี รู้เร็วรักษา ลดเสี่ยงมะเร็งตับ ?

ข่าวนี้จริงไหม.....ไวรัสตับอักเสบบี รู้เร็วรักษา ลดเสี่ยงมะเร็งตับ ?

นพ.ประกาศิต วิรุฬหกุล อายุรแพทย์ผู้สูงอายุ สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย บอกว่า เป็นเรื่องจริง ไวรัสตับอักเสบบี เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคตับแข็ง และมะเร็งตับได้ เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกาย อาการจะไม่รุนแรง ไม่ชัดเจน ทำให้ผู้รับเชื้อไม่รู้ว่าตนเองเริ่มมีอาการตับอักเสบ ส่วนมากผู้ป่วยจะทราบจากการตรวจร่างกาย แล้วพบค่าการอักเสบของตับผิดปกติ และตรวจเลือดจึงพบการติดเชื้อ


ไวรัสตับอักเสบบี สามารถติดต่อทางเลือด เพศสัมพันธ์ การสักตามร่างกาย เจาะหูหรืออวัยวะต่างๆ การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน อาจติดจากมารดาสู่ทารก ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีบางรายมีภาวะตับอักเสบเฉียบพลัน โดยมีอาการปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ไข้ต่ำๆ คลื่นไส้อาเจียน เหนื่อยง่าย ตัวเหลือง ตาเหลือง อาการจะดีขึ้นภายใน 2 - 3 สัปดาห์ จากนั้นร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานขึ้นมา และผู้ป่วยส่วนมาก จะไม่กลับมาเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีอีก ในทางกลับกันผู้ที่มีภูมิต้านทานไม่แข็งแรงพอ ไวรัสที่เหลืออยู่มากก็จะก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและมีพังผืดเกิดขึ้นมาแทนที่



สรุปข่าว

นพ.ประกาศิต วิรุฬหกุล อายุรแพทย์ผู้สูงอายุ สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย บอกว่า เป็นเรื่องจริง ไวรัสตับอักเสบบี เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคตับแข็ง และมะเร็งตับได้ เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกาย อาการจะไม่รุนแรง ไม่ชัดเจน ทำให้ผู้รับเชื้อไม่รู้ว่าตนเองเริ่มมีอาการตับอักเสบ ส่วนมากผู้ป่วยจะทราบจากการตรวจร่างกาย แล้วพบค่าการอักเสบของตับผิดปกติ และตรวจเลือดจึงพบการติดเชื้อ


ไวรัสตับอักเสบบี สามารถติดต่อทางเลือด เพศสัมพันธ์ การสักตามร่างกาย เจาะหูหรืออวัยวะต่างๆ การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน อาจติดจากมารดาสู่ทารก ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีบางรายมีภาวะตับอักเสบเฉียบพลัน โดยมีอาการปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ไข้ต่ำๆ คลื่นไส้อาเจียน เหนื่อยง่าย ตัวเหลือง ตาเหลือง อาการจะดีขึ้นภายใน 2 - 3 สัปดาห์ จากนั้นร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานขึ้นมา และผู้ป่วยส่วนมาก จะไม่กลับมาเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีอีก ในทางกลับกันผู้ที่มีภูมิต้านทานไม่แข็งแรงพอ ไวรัสที่เหลืออยู่มากก็จะก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและมีพังผืดเกิดขึ้นมาแทนที่



ทำไมผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี เสี่ยงตับแข็ง มะเร็งตับ ? 

ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีส่วนใหญ่จะไม่ทราบว่าตัวเองติดเชื้อ เนื่องจากมักไม่แสดงอาการ จะดำเนินโรคแบบค่อยเป็นค่อยไป อาจมีอาการน้อยและอาการเหมือนโรคทั่วไป ทำให้ไม่รู้ว่าตนเองมีตับอักเสบเรื้อรัง จนโรคดำเนินไปจนเข้าสู่ระยะตับแข็ง และส่งผลทำให้เกิดโรคมะเร็งตับในที่สุด


การรักษาผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี สามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ แบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรัง เมื่อมีการวินิจฉัยแล้วว่าผู้ป่วยเป็นไวรัสตับอักเสบบีระยะเฉียบพลัน ซึ่งสามารถหายได้เอง แพทย์จะแนะนำให้พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีโภชนาการสูง และดื่มน้ำปริมาณมากเพราะร่างกายกำลังต่อสู้ในการกำจัดเชื้อไวรัส


หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีแบบเรื้อรัง ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษาเพื่อลดความเสี่ยงที่ทำให้เป็นโรคตับที่รุนแรง และป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น โดยการรักษาขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของผู้ป่วย ใช้การรักษาด้วยยาต้านเชื้อไวรัส ยาอินเตอร์เฟอรอน เป็นต้น


การดูแลตนเองเมื่อเป็นผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ


- รับประทานอาหารที่ถูกสุขอนามัย สะอาดและครบทุกหมู่

- หลีกเลี่ยงยา อาหารเสริม ยาสมุนไพร ยาลูกกลอน ยาประเภทสเตียรอยด์ ซึ่งอาจกระตุ้นให้ไวรัสตับอักเสบเพิ่มปริมาณมากขึ้น และกดภูมิต้านทาน

- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด 

- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

- ตรวจเลือดทุก 3-6 เดือนและตรวจอัลตราซาวด์ทุก 6-12 เดือน

ทั้งนี้ ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ หากตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ และรักษาอย่างทันท่วงที ก็จะช่วยลดปริมาณไวรัส ลดการอักเสบของตับ ลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะตับแข็ง หรือมะเร็งตับได้

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : canva ช่างภาพ TNN